The Greatest Stories Never Told : รวม ๑๐๐ เรื่องลับในประวัติศาสตร์ที่ไม่มีใครเคยรู้

 

หนังสือประวัติศาสตร์อ่านง่ายชุดหนึ่งที่น่าสนใจ เห็นจะเป็น The Greatest Stories Never Told ของ ริก เบเยอร์ (Rick Bayer) นักทำสารคดีและนักเขียนมือรางวัลชาวอเมริกัน ผู้คร่ำหวอดอยู่ในแวดวงสารคดีโทรทัศน์ เคยทำรายการให้กับทั้ง ซีเอ็นเอ็น, ดิสคัฟเวอรี่ แชนแนล, ฟ็อกซ์ นิวส์ ฯลฯ ทำให้เบเยอร์ย่อยเรื่องราวในประวัติศาสตร์ที่หนักอึ้งด้วยสาระ ให้ออกมาเป็นเกร็ดความรู้ที่เข้าใจง่าย ซึ่งหนังสือในคอนเซ็ปต์ The Greatest Stories Never Told นี้มีอยู่ด้วยกัน ๔ เล่ม ได้แก่ The Greatest Stories Never Told (เรื่องยิ่งใหญ่ที่ไม่เคยบอกเล่า), The Greatest War Stories Never Told (เรื่องยิ่งใหญ่ในสงครามที่ไม่เคยบอกเล่า), The Greatest Presidential Stories Never Told (เรื่องยิ่งใหญ่เกี่ยวกับประธานาธิบดีที่ไม่เคยบอกเล่า), The Greatest Science Stories Never Told (เรื่องยิ่งใหญ่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ที่ไม่เคยบอกเล่า), The Greatest Music Stories Never Told (เรื่องยิ่งใหญ่เกี่ยวกับดนตรีที่ไม่เคยบอกเล่า) ซึ่งเบเยอร์รวบรวมสุดยอด ๑๐๐ เรื่องในแต่ละหมวดที่ไม่มีใครรู้เอาไว้ ซึ่งบางเรื่องถึงจะเป็นเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่ไม่มีความสลักสำคัญอันใด แต่ก็เป็นกลวิธีการหลอกล่อให้ผู้อ่านที่คิดว่าประวัติศาสตร์เป็นเรื่องน่าเบื่อหยิบหนังสือเหล่านี้ขึ้นมาอ่านได้...เป็นวิธีที่น่าสนใจทีเดียว หากแวดวงประวัติศาสตร์บ้านเราต้องการขยายฐานผู้อ่านให้กว้างขึ้น

 

              ในบทความชิ้นนี้จะขอหยิบยกเรื่องราวสนุกๆ เกี่ยวกับประธานาธิบดีอเมริกันในหนังสือ The Greatest Presidential Stories Never Told ซึ่งผู้เขียนตีแผ่เรื่องลับต่างๆ ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปี ๑๖๒๐-ศตวรรษที่ ๒๐ และเรื่องมันส์ๆ เบื้องหลังประวัติศาสตร์สงครามในหนังสือ The Greatest Presidential Stories Never Told และ The Greatest Stories Never Told ที่ผู้เขียนนำเสนอเกร็ดแปลกๆ ที่มีที่มาจากการทำสงคราม ตั้งแต่ ๓๗๑ ปีก่อนคริสตกาล จนล่วงมาถึงสงครามร่วมสมัยในศตวรรษที่ ๒๐ ในปี ๑๙๙๑ มาเล่าสู่กันฟัง

 

เชือกเส้นเดียว...พลิกประวัติศาสตร์

                ใครจะรู้ว่า เชือกเส้นเล็กๆ เพียงเส้นเดียว จะเปลี่ยนโฉมหน้าประวัติศาสตร์อเมริกาได้ถึงเพียงนี้

                ในปี ๑๖๒๐ จอห์น ฮาวแลนด์ (John Howland) ชายหนุ่มผู้กำลังโดยสารเรือเมย์ฟลาวเวอร์ข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก เกิดพลัดตกลงไปในทะเล ขณะที่ยืนอยู่บนดาดฟ้าเรือ ด้วยความที่คลื่นทะเลกำลังบ้าคลั่งเพราะพายุ ทำให้ฮาวแลนด์คิดว่าเขาคงไม่รอดแน่แล้ว แต่โชคยังเป็นของชายหนุ่ม เมื่อเขาคว้าเส้นเชือกตรงท้ายเรือเอาไว้ได้ ฮาวแลนด์ลอยคออยู่จนกระทั่งมีคนบนดาดฟ้าสังเกตเห็นเขา และสาวเชือกมาด้านข้างลำเรือ แล้วใช้ตะขอเกี่ยวเขาขึ้นมา

 

              เรื่องมีอยู่ว่า วันนั้นสาวน้อยนางหนึ่งอายุ ๑๒ ปี นามว่า อลิซาเบธ ทิลลี่ย์ (Elizabeth Tilley) ก็เฝ้าดูเหตุการณ์อยู่บนดาดฟ้าเรือลำนั้นด้วย ในการณ์ต่อมาทิลลี่ย์และฮาวแลนด์ก็ได้พบกันอีกครั้ง หลังจากผ่านไปหลายปี ทั้งคู่แต่งงานกัน และตั้งรกรากอยู่ในโลกใหม่ ทั้งคู่มีบุตรด้วยกัน ๑๐ คน มีลูกหลาน ๘๒ คน และเป็นบรรพบุรุษของคนอีกมากมายนับไม่ถ้วน

 

                ในบรรดาลูกหลานของพวกเขามีประธานาธิบดีของอเมริกาอยู่ด้วยถึง ๓ คน ได้แก่ แฟรงคลิน ดี. รูสเวลต์ (Franklin D. Roosevelt), จอช บุช (Josh W. Bushes) คนพ่อ และ จอช บุช จูเนียร์ (Josh W. Bushes Junior) หากไม่มีเส้นเชือกห้อยจากท้ายเรือในวันนั้น ประธานาธิบดีทั้ง ๓ คนนี้ คงไม่มีโอกาสได้ลืมตาดูโลกเป็นแน่


 

จอร์จ วอชิงตัน

เกือบจะไม่ได้เกิดที่อเมริกา

              จอร์จ เกล (George Gale) หนุ่มชาวอังกฤษ สมรสกับภรรยาหม้ายชาวเวอร์จิเนีย หลังจากนั้นเขาก็พาภรรยาและลูกติดของหล่อนอีก ๒ คน เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลกลับมาอังกฤษ ทว่า จอร์จ เกล ก็มีความสุขกับชีวิตสมรสได้ไม่นานนัก เพราะภรรยาของเขาเสียชีวิตระหว่างการคลอดบุตร ก่อนตาย เธอขอร้องสามีให้ช่วยดูแลบุตรทั้ง ๓ คน เกลจัดการตามความประสงค์ของภรรยา เขาส่งลอว์เรนซ์และออกุสติน บุตรชาย ๒ คน เข้าศึกษาในโรงเรียนประจำ และยื่นเรื่องเพื่อขอสิทธิในการเลี้ยงดู

 

                เด็กหนุ่มทั้งสองคงได้ใช้ชีวิตตามแบบสุภาพบุรุษอังกฤษ และลูกหลานของเขาก็คงจะใช้ชีวิตอยู่ในประเทศนี้ หากว่าญาติฝ่ายพ่อของทั้งสองในเวอร์จิเนียไม่ยื่นสิทธิในการขอเลี้ยงดูทั้งคู่เช่นกัน การต่อสู้เพื่อสิทธิในการเลี้ยงดูนับจากปี ๑๗๐๑ กินเวลาหลายปี กระทั่งในที่สุดญาติฝ่ายพ่อของทั้งคู่เป็นฝ่ายชนะ และเด็กหนุ่มทั้ง ๒ คนต้องกลับไปอยู่ที่อเมริกา

 

              เรื่องมีอยู่ว่า พ่อแท้ๆ ของเด็กหนุ่มทั้ง ๒ คน มีชื่อว่า ลอว์เรนซ์ วอชิงตัน (Lawrence Washington) เมื่อทั้งคู่กลับไปอเมริกาจึงต้องใช้นามสกุลเดิมของพ่อ ภายหลัง ออกุสติน วอชิงตัน (Augustine Washington) สมรสและมีบุตร ๓ คน เขาตั้งชื่อบุตรชายคนหนึ่งว่า จอร์จ เกล วอชิงตัน (George Gale Washington) ตามชื่อพ่อเลี้ยงชาวอังกฤษของเขา ซึ่ง เด็กชายจอร์จ วอชิงตัน ผู้นี้ก็คือวีรบุรุษสงครามประกาศอิสรภาพ และประธานาธิบดีคนแรกของอเมริกานั่นเอง


 

ประธานาธิบดีผู้มั่งคั่ง

และประธานาธิบดีผู้ยากไร้

 

              จอร์จ วอชิงตัน และ โทมัส เจฟเฟอร์สัน (Thomas Jefferson) เป็นประธานาธิบดีอเมริกาที่ต่างกันสุดขั้ว

              จอร์จ วอชิงตัน มีหัวการค้า ไม่ว่าเขาจะหยิบจับอะไรก็ดูเป็นเงินเป็นทองไปเสียหมด ในขณะที่เจฟเฟอร์สันกลับไม่ค่อยมีโชคนัก เขาเป็นประธานาธิบดีที่มีหนี้สินท่วมท้น ยิ่งกว่านักพนันบางคนเสียอีก

 

              หลายคนรู้ว่าประธานาธิบดีคนแรกของอเมริกาครองตำแหน่งทั้งนายพล และประธานาธิบดี แต่น้อยคนนักจะรู้ว่าเขาเป็นผู้ผลิตวิสกี้รายใหญ่คนหนึ่งของอเมริกาเลยทีเดียว หลังรับตำแหน่งประธานาธิบดีอเมริกา ๒ สมัย วอชิงตันก็กลับไปที่ภูเขาเวอร์นอนในปี ๑๗๙๗ เพื่อมองหาช่องทางสร้างกำไรให้กับฟาร์มข้าวไรย์ของเขา วอชิงตันมองว่าการทำโรงกลั่นสุรานี่แหละเหมาะที่สุด เพราะนอกจากสุรา จะเป็นสิ่งจำเป็นต่อสุขภาพแล้วŽ ยังจะสร้างรายได้ให้กับคนในละแวกนี้อีกด้วย

 

                นักโบราณคดีขุดค้นบริเวณนั้น และพบว่าโรงกลั่นสุราของวอชิงตันเป็นโรงกลั่นสุราที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกาแห่งหนึ่งเลยทีเดียว ในปี ๑๗๙๙ โรงกลั่นสุราแห่งนี้ผลิตวิสกี้จากข้าวไรย์ได้ถึง ๑๑,๐๐๐ แกลลอน และทำกำไรให้กับเจ้าของถึง ๗,๕๐๐ ดอลลาร์

 

              ต่างกับ โทมัส เจฟเฟอร์สัน ประธานาธิบดีผู้ชาญฉลาดคนหนึ่งของอเมริกา นอกจากเขาจะเป็นคนร่างหนังสือประกาศอิสรภาพแล้ว เขายังมีความสามารถอีกหลายด้าน ทั้งนักปรัชญา นักประดิษฐ์ วิศวกร นักดนตรี ว่ากันว่าเขาคือบุรุษผู้ฉลาดที่สุดเท่าที่ทำเนียบขาวเคยมี

 

              แล้วมีสิ่งใดหรือไม่ที่บุรุษที่ฉลาดที่สุดผู้นี้ทำไม่ได้...คำตอบคือมี

 

                เจฟเฟอร์สันเป็นคนที่มีปัญหาเกี่ยวกับการบริหารจัดการการเงิน ตลอดชีวิต เขามักใช้จ่ายไปมากกว่าที่หามาเสมอ แม้จะได้รับเงินเดือนจากตำแหน่งประธานาธิบดี และมีรายได้จากฟาร์ม แต่ก็ไม่พอกับรายจ่ายของเขา ยิ่งหลังจากดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี หนี้สินของเขาก็เพิ่มพูนขึ้นเป็นเท่าตัว เขาไม่มีแม้แต่เงินจะจ่ายค่าใช้จ่ายภายในบ้าน เจฟเฟอร์สันถึงทางตันกระทั่งร้องขอให้สภาเวอร์จิเนียผ่านกฎหมายพิเศษ เพื่อให้เขาออกลอตเตอรี่ในนามของเขาเอง แล้วเอารายได้จากการขายลอตเตอรี่นั้นมาหมุนชำระหนี้ ทว่าโชคร้ายที่แทบไม่มีใครซื้อลอตเตอรี่ในนามของเขาเลย

 

              เมื่อเจฟเฟอร์สันเสียชีวิตในปีที่ ๕๐ ของการประกาศอิสรภาพอเมริกา เขามีหนี้สินอยู่ถึง ๑ ล้านดอลลาร์ เมื่อเทียบกับค่าเงินในปัจจุบัน ทายาทของเขาต้องขายคฤหาสน์มอนติเซลโลเพื่อใช้หนี้ ชายผู้ฉลาดที่สุด ตายจากไปพร้อมกับหนี้สินก้อนโต และไม่เหลือมรดกไว้ให้บุตรสาวแม้สักแดงเดียว


 

ความฝันกลายเป็นจริง

                ประธานาธิบดีอับราฮัม ลินคอล์น (Abraham Lincoln) เป็นคนที่มีความฝันบอกเหตุแม่นอย่างเหลือเชื่อ และเขามักจะเล่าเรื่องราวในความฝันให้เพื่อนๆ ฟังเสมอ ซึ่งส่วนใหญ่มักมีเหตุการณ์คล้ายกับความฝันของลินคอล์นเกิดขึ้นเสมอ ในเดือนเมษายน ปี ๑๘๖๕ ลินคอล์นเล่าความฝันเมื่อคืนก่อนหน้านี้ให้บรรดาผู้ร่วมงานฟัง

 

                ในฝันนั้น ลินคอล์นได้ยินเสียงร่ำไห้ ราวกับมีผู้คนมากมายกำลังสะอึกสะอื้นด้วยความเสียใจอย่างสุดแสน เขาจึงลุกจากเตียงและเดินไปตามทางเดินในทำเนียบขาว ทว่าในห้องโถงกลับว่างเปล่า แต่เสียงร่ำไห้ด้วยความโศกเศร้านั้นก็ยังไม่จางไป ลินคอล์นเล่าว่า

 

              เขาประหลาดใจเหลือเกิน ว่าเกิดเหตุร้ายแรงใดขึ้นในสถานที่แห่งนี้ ด้วยความสงสัยเขาจึงเดินไปเรื่อยๆ จนถึงห้องทางด้านตะวันออก แล้วก้าวเข้าไปข้างใน เขาเห็นผู้คนมากมายสะอึกสะอื้นร่ำไห้ในห้องนั้น และเห็นโลงศพตั้งอยู่บนเชิงตะกอน มีทหารยืนรายรอบ ราวกับกำลังอารักขาโลงศพนั้น

 

                ′มีใครในทำเนียบขาวเสียชีวิตหรือ′ ลินคอล์นถามทหารนายหนึ่ง ซึ่งตอบว่า′ประธานาธิบดีขอรับ ท่านถูกลอบสังหาร′

 

                หลังจากนั้น ๓ วัน ลินคอล์นก็ถูกลอบสังหาร ศพของเขาถูกนำไปตั้งไว้ที่ปีกด้านตะวันออกของทำเนียบขาว และมีทหารยืนรายรอบเชิงตะกอน เช่นที่เขาเห็นในความฝัน



 กำเนิดครัวซอง

     รู้หรือไม่ว่าแท้จริงแล้วขนมครัวซอง ไม่ได้มีต้นกำเนิดในฝรั่งเศส แต่มีการอบครัวซองครั้งแรกในกรุงเวียนนาต่างหาก

     ต้นกำเนิดของครัวซองย้อนกลับไปได้ถึงปี ๑๖๘๓ เมื่อกองทัพเติร์กยกพลมาปิดล้อมกรุงเวียนนาอยู่หลายเดือน แต่ก็ยังไม่สามารถตีกรุงเวียนนาได้เสียที วันหนึ่งทหารเติร์กขุดกำแพงเมือง เพื่อเจาะอุโมงค์เข้าไปในเมือง คนทำขนมปังที่ทำงานทั้งวันทั้งคืนก็ได้ยินเสียงบางอย่าง จึงส่งสัญญาณเตือน ทำให้ชาวเวียนนารอดมาได้

 

     หลังจากนั้นกษัตริย์จอห์นที่ ๓ ก็ยกทัพมาช่วย บรรดาคนทำขนมปังจึงพากันเฉลิมฉลองด้วยการจำลองรูปพระจันทร์เสี้ยวบนธงมาทำเป็นขนม แล้วเรียกว่าคิปเฟล ตามภาษาเยอรมัน ซึ่งหมายถึงพระจันทร์เสี้ยว (crescent )นั่นเอง แล้วคิปเฟลก็เพี้ยนเป็นครัวซอง (croissant) ในปี ๑๗๗๐ เมื่อพระนางมารี อังตัวเน็ตต์ เจ้าหญิงจากออสเตรีย สมรสกับพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ชาวปารีสจึงอบขนมนี้ขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแด่พระนาง และเรียกว่าครัวซอง


 

กองทัพพลีชีพแห่งคาร์เธจ

(Sacred Band of Carthage)

     ทหารสปาร์ตัน ขึ้นชื่อว่าเป็นนักรบที่แข็งแกร่งที่สุดในอาณาจักรกรีก เด็กชายชาวสปาร์ตัน จะถูกพรากจากอกแม่ เพื่อเข้ารับการฝึกเป็นทหารตั้งแต่อายุ ๗ ขวบ และชายชาวสปาร์ตันทุกคนที่อายุตั้งแต่ ๒๐-๖๐ ปี จะต้องเข้ารับใช้กองทัพ ทว่าเมื่อ ๓๗๑ ปีก่อนคริสตกาล กองทัพสปาร์ตันกลับพ่ายแพ้ให้แก่กองทัพของชาวธีบส์ ซึ่งกองทหารธีบส์เป็นที่รู้จักกันในนาม Sacred Band ซึ่งสามารถตีฝ่าปีกขวาของกองทัพสปาร์ตาไปได้ ทั้งๆ ที่มีกำลังทหารเพียง ๓๐๐ นาย...ปรากฏว่าสิ่งที่กลายเป็นแรงขับเคลื่อนให้กองทัพธีบส์แข็งแกร่งก็คือ ทหารทุกนายล้วนเป็นเกย์ หรือพวกรักร่วมเพศนั่นเอง ซึ่งพวกเขาทั้ง ๑๕๐ คู่ต่างเป็นคู่รักที่มีความผูกพันกันอย่างยิ่ง

 

     ปัจจุบันมีการวิเคราะห์กันว่า กลยุทธ์ของกองทัพธีบส์ ที่เรียกกันว่า ′Band of Lovers′ เป็นกลยุทธ์การจัดทัพที่มีประสิทธิภาพยิ่ง เพราะนอกจากชายชาติทหารทุกคนจะมีความห้าวหาญแล้ว พวกเขายังพยายามปกป้องคนที่ตนรัก และไม่อยากทำตัวแข็งแกร่งเพื่อให้คนรักชื่นชมด้วย กองทหาร Sacred of Band ของธีบส์ยืนหยัดมาได้ ๓๐ ปี โดยไม่เคยรบแพ้สักครั้ง กระทั่งสมรภูมิสุดท้ายของชีวิตที่พวกเขารบกับกองทัพมาซีโดเนี่ยน ไม่มีใครยอมแพ้ คู่รักทั้ง ๑๕๐ คู่ ล้วนสู้จนตัวตาย


 

อาวุธลับของอาร์คิมิดีส

     ในปี ๒๑๓ ก่อนคริสตกาล ทหารโรมันเดินทัพเข้าล้อมเมืองไซราคีสในอาณาจักรกรีก พวกเขามั่นใจว่าต้องยึดเมืองนี้ได้ภายใน ๕ วัน ทว่ากองทัพโรมันต้องใช้เวลาเกือบปี...นั่นก็เพราะไซราคีส มีนักปราชญ์ที่ชื่ออาร์คิมิดีส (Archimides) อยู่นั่นเอง  

 

     แน่นอนว่าเรารู้จักอาร์คิมิดีสจากการที่เขาค้นพบสูตรทางคณิตศาสตร์ แล้วร้องตะโกนว่ายูเรก้า พร้อมกับวิ่งตัวเปล่าออกไปบนท้องถนน แต่อาร์คิมิดีสมีดีมากกว่านั้น เขาเหมือนกับ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ รวมกับ โทมัส อัลวา เอดิสัน ชายผู้นี้คือนักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ และนักประดิษฐ์ผู้ปราดเปรื่องของโลกโบราณโดยแท้ ในฐานะที่ปรึกษาด้านกองทัพของกษัตริย์แห่งไซราคีส

 

     อาร์คิมิดีสใช้เวลาหลายปีประดิษฐ์ ′อุปกรณ์′ ลึกลับ เพื่อปกป้องเมือง เมื่อทหารโรมันกรีธาทัพเข้ามา ชาวไซราเคสก็นำอาวุธของอาร์คิมิดีสออกมาใช้งาน พวกเขาใช้ทั้งเครื่องยิงหินและธนูยิงไปที่เรือของชาวโรมัน และท้ายที่สุดก็ใช้อาวุธเด็ด ทำให้เรือของโรมันเกิดการลุกไหม้...อาวุธลับของอาร์คิมิดีสคือกระจกนั่นเอง ซึ่งเขาใช้กระจกรวมแสง แล้วส่องไปที่เรือจนเกิดการลุกไหม้...นี่คือลำแสงพิฆาตครั้งแรกในโลกโบราณเลยก็ว่าได้

 

     จากนั้นในปี ๑๗๔๗ บรรดานักวิทยาศาสตร์ที่สงสัยในเรื่องเล่าเหล่านี้จึงทดลองเลียนแบบวิธีของอาร์คิมิดีส แล้วพบว่ากระจกที่สร้างจำลองขึ้นมานั้น สามารถทำให้ท่อนไม้ที่อยู่ห่างออกไปกว่า ๒๐๐ ฟุต ติดไฟได้จริงๆ

 

              เรื่องสนุกๆ ในประวัติศาสตร์ยังมีอีกมากมาย ซึ่งการที่เราเรียนรู้ประวัติศาสตร์จากหลายมุมมองนั้น ทำให้เราสามารถนำไปประยุกต์ใช้ วิเคราะห์ วิพากษ์ได้อย่างแม่นยำขึ้น เพราะประวัติศาสตร์คือองค์ความรู้ที่สามารถศึกษาและตีความได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ฉะนั้นวีการนำเสนอที่น่าสนใจ น่าจะดึงให้คนรุ่นใหม่หันมาใส่ใจประวัติศาสตร์มากขึ้น ซึ่งยิ่งเรารู้ประวัติศาสตร์ให้ลึกเท่าไหร่ ยิ่งทำให้เราสามารถกำหนดทิศทางในอนาคตได้มากเท่านั้น


http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1300366913&grpid=&catid=53&subcatid=5300

Credit: http://atcloud.com/stories/95399
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...