ลัทธิบูชาจู๋..

 

เริ่มด้วยเรื่องที่มีสาระมากมาย ลัทธิบูชาจู๋ ฟังแล้วอย่าเพิ่งคิดอกุศล แนวคิดบูชาจู๋มีรากเหง้าอยู่ในหลาย ๆ วัฒนธรรมทั่วโลก และมันก็ไม่ใช่เรื่องมั่วเซ็กซ์ เรื่องบัดสีอะไร มันคือการบูชาเพื่อความอุดมสมบูรณ์ และการเจริญพันธุ์

ทำไมต้องจู๋

จริง ๆ ก็ไม่ได้มีแต่จู๋เ้ท่านั้นที่เขาบูชากัน จิ๋มก็มี แต่อาจจะไม่โดดเด่นเท่าจู๋ (แหม ตั้งตระหง่านขนาดนั้นจะไม่เด่นได้ยังไง) 

  มีนักมานุษยวิทยาเคยร่ายทฤษฎีเกี่ยวกับแนวคิดบูชาอวัยวะเพศไว้ว่า เกิดจากการที่คนโบราณสังเกตธรรมชาติ คือฟ้า และดิน เวลาฟ้าส่งอะไรบางอย่างลงมาบนดิน เช่น ฝน หรือแสงแดด เป็นต้น ผืนดินก็จะมีพืชพันธุ์อุดมสมบูรณ์ ออกดอกออกผล พอมามองในมุ้ง...อ้าวเฮ้ย จู๋ของผู้ชายก็ส่งบางอย่างเข้าไปในจิ๋มผู้หญิงเหมือนกันนี่หว่า เสร็จแล้วผู้หญิงก็ท้องมีลูกออกมา เหมือนผืนดินมีพืชพันธุ์เติบโตให้เก็บเกี่ยว 

เมื่อเห็นดังนั้นคนโบราณจึงมองว่าท้องฟ้า เป็นฝ่ายรุก (active agent) มีเพศชาย ส่วนดิน เป็นฝ่ายรับ (passive agent) มีเพศหญิง เป็นเหตุให้เทพแห่งท้องฟ้าส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย และพระแม่ธรณีของแทบทุกวัฒนธรรมเป็นผู้หญิง เพราะมีหน้าที่อุ้มชูพืชผลนั่นเอง

อธิบายคร่าว ๆ ได้ตามนั้น

วัฒนธรรมบูชาจู๋รอบโลก

มีร่องรอยการบูชาจู๋ให้เห็นในหลายแห่ง

ขอเริ่มจากกรีกก่อนก็แล้วกัน

 

© Roger Wood/Corbis 

  ภาพจู๋ยักษ์จากวิหารไดโอนิซุสบนหมู่เกาะเดลอส (Delos) เป็นเทพแห่งไวน์และองุ่น จึงไปเกี่ยวพันกับเรื่องความอุดมสมบูรณ์ (Fertility) ด้วย ก็เลยได้จู๋มาเป็นสัญลักษณ์อยู่หน้าวิหาร 

และลูกชายของไดโอนิซุสก็ไม่น้อยหน้า

 

©Frederic Soltan/Corbis 

พริอาพุส (Priapus) ลูกชายไดโอนิซุสกับอะโฟรไดต์ ความอุดมสมบูรณ์มาดองกับความรัก จะได้อะไรล่ะจ๊ะ ก็ลูกดกไงล่ะ เป็นเทพแห่งความอุดมสมบูรณ์ ปกป้องผลไม้ และเป็นเทพแห่งอวัยวะเพศชาย นอกจากของ ๆ เทพองค์นี้จะมหึมาแล้ว ยังกล่าวกันว่าแข็งตลอดเวลาอีกด้วย ใครมีอาการนกเขาไม่ขัน กรุณาไปหามาบูชาด่วน

จริง ๆ มีหลายตำนาน บ้างก็ว่าเป็นลูกไดโอนิซุส บ้างก็ว่าลูกเฮอร์มีส บ้างก็ว่าลูกของซุสเอง แต่จะเห็นได้ว่า พ่อ ๆ แต่ละองค์เป็นเทพประเภทฮอร์โมนเพศชายเหลือเฟือทั้งนั้น ว่ากันว่าโดนเฮร่าสาปให้ขี้เหร่ตั้งแต่อยู่ในครรภ์ นับเป็นพวก "หน้าเน่า แต่เป้าเริด" ของแท้แต่ดั้งเดิม

กลับมาทางอู่อารยธรรมเอเชีย อินเดีย 

มีหรือจะพลาดการบูชาของแบบนี้ ที่คุ้นเคยกันดี ก็ศิวะลึงค์ไงล่ะจ๊ะ มักจะมาคู่กับฐานรองรูปโยนี ก็เป็นตัวแทนความอุดมสมบูรณ์ ความเป็นไปของโลกนั่นแหละ

 

 ©Lindsay Hebberd/DavidSamuel Robbins/Corbis 

ขยับใกล้เขามาอีกนิด ก็ที่ญี่ปุ่น ที่มีเทศกาลแห่จู๋ยักษ์กัน

 

©EVERETT KENNEDY BROWN/epa/Corbis 

จากภาพข้างบนคือการเอาจู๋ศักดิ์สิทธิ์มาทำความสะอาดที่น้ำพุร้อน โดยผู้หญิงที่อยากมีลูก ในตอนท้ายพิธีต้องขึ้นขี่จู๋ด้วยถึงจะได้ผล

ที่ภูฏาน ก็มีการเขียนรูปจู๋ไว้หน้าบ้าน เพื่อความเจริญรุ่งเรืองของบ้านและป้องกันสิ่งชั่วร้าย

 

 ©Lindsay Hebberd/Rob Howard/Christophe Boisvieux/Corbis

แล้วก็มีการเต้นระบำเพื่อความอุดมสมบูรณ์โดยมีการถือสัญลักษณ์ไอ้จู๋ไว้ด้วย 

เมืองไทยเองก็มีเหมือนกัน ที่ศาลเจ้าแม่ทับทิมที่ปาร์คนายเลิศ ก็มีลึงค์ตั้งโด่เด่ให้บูชาขอลูกเหมือนกัน และก็มีการแห่ลึงค์ของจังหวัดไหนสักแห่ง จขบ.เคยอ่านในสารคดี หรือศิลปวัฒนธรรมนี่แหละ แต่จำไม่ได้ซะแล้ว 

 

©Christophe Boisvieux/Christian Kober/Robert Harding World Imagery/Corbis

ภาพทางซ้ายที่ปาร์คนายเลิศ ทางขวาศาลเจ้าแห่งหนึ่งในญี่ปุ่น ที่เอามาเทียบกันเพราะจะให้ดูว่า สองอันนี้เขาทำรายละเอียดได้ถึงพริกถึงขิงดีจริง ๆ ทั้งรอยหยัก รอยย่น และเส้นเลือดปูดโปน 555 

 

 

ลัทธิบูชาจู๋สมัยใหม่

  การบูชาจู๋สมัยก่อนเกี่ยวพันกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ แต่ในปัจจุบันก็มีการบูชากันทางเซ็กซ์โดยเฉพาะ ก็คือความคลั่งไคล้ในอวัยวะัเพศชายนั่นแหละครับ ขนาด ความกว้าง ความยาว ความโค้งงอน รูปลักษณ์ ขลิบ ไม่ขลิบ เจาะ ไม่เจาะ โกน ไม่โกน ก็หมกมุ่นกันไป ไม่ใช่เฉพาะเกย์เท่านั้นนะ ที่คลั่งไคล้ของพวกนี้ ผู้หญิงบางคนก็ชอบนะขอบอก 

แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่ต่างกันระหว่างการบูชาทางพิธีกรรมกับการบูชาทางเพศก็คือ...

ดูเหมือนว่า จะเชื่อกันว่าดีต้องใหญ่ ใหญ่ต้องดี

ถึง แม้นักจิตวิทยาหรือหมอ ๆ จะพยายามพูดจนปากฉีกว่า ขนาดไม่สำคัญ ใช้ยังไงต่างหากที่สำคัญกว่า ก็ดูเหมือนว่าจะไม่ฟังคำเตือนกันซักเท่าไร... จริงมั๊ยจ๊ะ



ขอบคุณบทความดีๆจาก :

http://pisces.exteen.com/20100715/phallus-worship





 

บุญบั้งไฟเป็นหนึ่งในฮีตสิบสองเดือนของชาวอีสานนิยมทำกันในเดือน 6 หรือเดือน 7 อันเป็นช่วงฤดูฝนเข้าสู่การทำนา ตกกล้า หว่าน ไถ เพื่อเป็นการบูชาแถนขอฝนให้ตก ต้องตามฤดูกาลเหมือนกับการแห่นางแมวของคนภาคกลาง ในสองพิธีกรรมที่อยู่คนละภาคนี้มีความคล้ายคลึงกันในเรื่องของสัญลักษณ์ที่ใช้ อันส่อไปทางเพศสัมพันธ์ เช่น การใช้ไม้มาแกะสลักเป็นอวัยวะเพศชายเรียกว่า "บักแบ้น" หรือ "ปลัดขิก" ในอีสานหรือ "ขุนเพ็ด" ในภาคกลางเข้าร่วมขบวนแห่ ทั้งยังมี การร้องเซิ้งด้วยเนื้อหาที่เกี่ยวกับอวัยวะเพศและเพศสัมพันธ์ สัญลักษณ์นี้เป็นเครื่องหมา ยของความสัมพันธ์ระหว่างฟ้ากับดิน หญิงกับชาย ที่เป็นพลังก่อกำเนิดชีวิตและเป็นพลัง แห่งความอุดมสมบูรณ์ จึงมีความสัมพันธ์กับการขอฝนซึ่งเป็นที่มาของพลังแห่งการเติบ โตของพืช และด้วยเหตุที่อวัยวะเพศและเพศสัมพันธ์เป็นสัญลักษณ์สำคัญของงานบุญ จึงถือว่างานบุญบั้งไฟเป็นงานบุญของพระยามาร ซึ่งจัดแข่งกับงานบุญของพระพุทธเจ้า

เครื่องหมายที่เป็นองค์แทนของพระศิวะนั้น ชาวไศวะนิกายใช้รูปของศิวลึงค์ หรือ เครื่องเพศของชาย เป็นสัญลักษณ์สำคัญโดยให้เหตผลว่า นี่คือสัญลักษณ์แห่งพระผู้สร้าง สัญลักษณ์แห่งการให้กำเนิด คติการนับถือนี้นับว่ามีมานานมากที่สุด มีมานานนับพันๆ ปีมาแล้วและแพร่เขาสู่สยามประเทศผ่านทางวัฒนธรรมขอม และหัวเมืองฝ่ายใต้ด้านมลายู

แต่เป็นที่แปลกที่ว่าหากเราไปในประเทศอินเดียพูดถึง ปลัดขิก กลับไม่มีใครรู้จัก แต่เขารู้จักเครื่องรางชนิดนี้ในนามของ "ศิวะลิงคัม"ซึ่งแท้ที่จริงก็มาจากคำว่า ลิงคะ หรือภาษาไทยคือ ลึงค์ นั่นเอง..

http://www.siamganesh.com/shiva_6.html พี่ไทยไม่พลาด..... ขอหวย  

Credit: http://atcloud.com/stories/95368
26 เม.ย. 54 เวลา 09:48 16,095 50 340
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...