10อันดับบุคคลแห่งความลับ

10 อันดับบุลคลแห่งความลับ   ลำดับ 10-1 ลำดับ 1-10   กว่า ศตวรรษที่ผ่านมา ประวัติศาสตร์เต็มไปด้วยนิทานเรื่องลึกลับที่โลดเล่นด้วยบุคคลลึกลับ ที่ไม่เคยระบุชาติกำเนิดว่าเขาเป็นใครกันแน่ เขามาแล้วก็จากไป โดยทิ้งปริศนาลึกลับ ซับซ้อนไว้มากมาย จนเป็นเสน่ห์เล่าขานจนไม่รู้จัก และต่อไปนี้คือ 10 อันดับ 10 บุคคลลึกลับปริศนาที่จนบัดนี้ก็ยังไม่มีคำตอบว่าเขาคิอใครกันแน่?? 10 Monsieur Chouchani Chouchani (??-ตาย 1968) เป็นชื่อเล่นของอาจารย์ชาวยิว ที่ไม่มีใครรู้ชื่อจริงและชาติกำเนิดลึกลับ เป็นอาจารย์สอนนักเรียนระดับสูงของยุโรปหลังสงครามโลกครั้งที่สอง และลูกศิษย์ที่ได้รับคำสอนจากอาจารย์ท่านนี้ล้วนมีชีวิตและการงานที่ใหญ่โต ในอนาคต ที่ดังๆ ก็เช่น Emmanual Levinas(นักปรัชญา และนักการศึกษา ชาวฝรั่งเศสที่เกิดในประเทศรัสเซีย นับถือศาสนายิว) และ Elis Wiesel (เอลี วีเซล ผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขา สันติภาพ ประจำปี 1986) หากแต่ชีวิตของอาจารย์ท่านนี้ลึกลับอย่างยิ่ง ทางการได้เก็บประวัติอาจารย์ท่านนี้ชนิดเรียกว่าลับสุดยอด ทำให้หลายคนเรียกชื่ออาจารย์คนนี้หลายชื่อ ไม่ว่าจะเป็นชื่อ “shushani” ซึ่งหมายความว่าคนจาก Shushan(เมือง หนึ่งแถวๆ ทางใต้ของจีน) หรือชื่อจริงจะเป็น Hillel Perlmann สิ่งที่รู้เกี่ยวกับตัวChouchani คือเขาปรากฏตัวครั้งแรกที่ปารีสในสงครามโลกครั้งที่ 2 เขาเป็นอาจารย์ในช่วง 1947 และปี 1952 มีอยู่ช่วงหนึ่งที่เขาหายตัวไปอย่างลึกลับ หลังจากนั้นก็มีข่าวของเขาไปตามที่ต่างๆ บั้นปลายสุดท้ายของเขาเลือกอาศัยอยู่ที่อุรุกวัยก่อนเสียชีวิตลงในปี 1968 แม้ไม่มีใครรู้ชาติกำเนิดของเขาและทำไมทางการถึงได้ปกปิดอย่างลับ สุดยอด แต่ Chouchani ได้ทิ้งหลักการมรดกทางปัญญาหลายๆ อย่างแก่ลูกศิษย์เอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นความรู้วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และปรัชญา ซึ่งส่งผลต่อสาขาวิชาอื่นๆ ในเวลาต่อมา         9 The Poe Toaster เอ็ด การ์ อัลเลน โป(วันที่ 19 ม.ค. 1809 -เสียชีวิต ต.ค. ปี 1849) เป็นนักเขียนชาวสหรัฐฯ ที่ถูกขนานนามว่าเป็นบิดาแห่งวรรณกรรมรหัสคดี (Mystery) จากเรื่องสั้น "คดีฆาตกรรมที่ถนนมอร์ก" (The Murders in the Rue Morgue) กลายเป็นต้นแบบของนวนิยายนักสืบในเวลาต่อมา ชีวิตบั้นปลายของโปนั้นค่อนข้างลึกลับ แม้กระทั่งตอนเสียชีวิต โป มีอาการเพ้อแปลกๆ ไม่สามารถควบคุมตนเอง เสื้อที่เขาใส่ก็ไม่ใช่ของตัวเขาเอง และคืนก่อนเสียชีวิตเขายังเพ้อถึงชื่อ "เรย์โนลด์" ซ้ำๆ หลายคนจนเสียชีวิต ซึ่งก็ไม่มีใครรู้ว่า “เรย์โนลด์” ที่เขาเอ่ยถึงคือใครกันแน่? แต่เรื่องราวความ ลึกลับของโปยังไม่จบ เพราะหลังจากการเสียชีวิตของโป ที่หลุมฝังศพของเขาในบัลติมอร์ (สุสานเวสต์มินสเตอร์ที่มุมถนนฟาเย็ตต์ตัดกับ ถนนกรีนนี่ ในบัลติเมอร์ตะวันตก) ก็เริ่มมีคนลึกลับ สวมชุดดำ ปกปิดใบหน้าด้วยผ้าคลุมมีผ้าพันคอปิดปากปิดจมูก สวมห มวกสักหลาด ถือไม้เท้า เดินเข้าไปที่ป้ายหลุมศพของ โป ในทุก ๆ วันครบรอบวันเกิดของเขา และจะดื่มคอนยัคบรั่นดีหนึ่งขวดเพื่อคารวะก่อนจ ะวางขวดคอนยัคที่เหลือ เครื่องดื่มไว้ครึ่งขวด พร้อมดอกกุหลาบแดง 3 ดอก ไว้หน้าป้ายหลุมศพโดยบางครั้งก็มีการทิ้งโน้ตเอาไว้ด้วย บุคคลปริศนาผู้นี้ ถูกเรียกว่า 'ผู้ดื่มคารวะแก่โป' (Poe Toaster) เขาไปที่หลุมศพของโปเพื่อทำแบบเดียวกันทุก ๆ ปี ตั้งแต่ปี 1949 จนกระทั่งถึงถึงปี 1993 ไม่มีขาด การมาของเขาจะอยู่ในช่วงช่วงเที่ยงคืนถึงตี 5 ในวันที่ 14 มกราคม 1983 มีการจัดงานชุมนุมแฟนของโปกว่า 70 คน เพื่อฉลองวันเกิดครบรอบที่ 174 ของโป และพอถึงเวลาตีหนึ่งครึ่งบรรดาคนในงานเหล่านั้นต่างตระหนกตกใจไปตามๆ กัน เมื่อแลเห็นร่างของชายคนหนึ่งพุ่งเลาะไปตามริมรั้วสุสานด้านทิศตะวันออก ชายเสื้อคลุมยาวของเขาปลิวไสว เขามีผมสีทอง ถือไม้เท้าหัวเลี่ยมทองเหมือนโปชอบใช้ และเมื่อเขาจากไปก็พบขวดบรั่นดีและดอกกุหลาบวางอยู่ ต่อมาผู้ดื่มคารวะแก่โป ก็ทิ้งโน้ตเอาไว้ว่า "คบเพลิงจะถูกส่งต่อ " ทำให้เชื่อว่าผู้ดื่มคารวะแก่โปกำลังจะเสียชีวิต จนในปี 1999 ก็มีโน้ตวางไว้ยืนยันว่าผู้ดื่ม คารวะโปคนเก่าเสียชีวิตแล้ว และมีผู้ดื่มคารวะโปคนต่อไปมาสืบทอด ไม่ว่าชายคนนั้นจะเป็นใคร แต่ที่แน่ๆ เขาจะต้องเป็นแฟนหนังสือตัวยงของโปแน่นอน มีผู้ที่สนใจเรื่องนี้พยายามเข้ามาสืบว่าตัวจริงของผู้ดื่มคารวะโปคือใคร หลายคนพยายามจะจับตาดูและพยายามดักจับ หากแต่พวกแฟนของโปและผู้เกี่ยวข้องไม่ต้องการให้ผู้ชายคนนั้นถูกเปิดเผยและ พยายามใช้มาตรการป้องกันคนไปรบกวนผู้มาเคาระศพยามวิกาลและปฏิเสธคำให้ สัมภาษณ์เกี่ยวกับชายคนนั้นทั้งหมด ทำให้จนบัดนี้ก็ไม่มีใครรู้ว่าชายคนนั้นคือใครกันแน่ บ้างก็ว่าเป็นวิญญาณเพราะเคยเห็นเขาลอยละล่องกลางอากาศมาแล้ว หรืออาจเป็นผีของโปเอง หรือจะเป็นฝีมือของคนขี้แกล้ง หรือจะเป็นคนที่ชื่อ "เรย์โนลด์" ที่โปเพ้อก่อนตายกันแน่??         8 Babushka Lady ะหว่างที่มีการ วิเคราะห์วีดีโอเหตุการณ์ลอบสังหารจอห์น เอฟ เคนนาดี ในปี 1963 ก็เกิดเรื่องน่าสนใจและเรื่องลึกลับขึ้น เมื่อมีภาพหนึ่งจับภาพฝูงคนที่อยู่ใกล้ๆ รถที่เคนนาดี้โดนยิง มีผู้หญิงคนหนึ่งใส่เสื้อกันหนาวและผ้าพันคอสีน้ำตาลชมพูอยู่บนหัวของเธอ (ผ้าพันคอกลายเป็นสาเหตุเรียกชื่อเธอ ซึ่งการการใช้ผ้าคลุมคลุมที่หัวจะเหมือนการแต่งกายของหญิงรัสเซีย grandmothers เรียก ว่า babushkas) ซึ่งลักษณะท่าทางของเธอเห็นได้ชัดว่าเธอกำลังจับกล้อง(หรือวีดีโอ)บันทึกภาพ เหตุการณ์ที่จอห์น เอฟ เคนนาดี้โ ดนยิงที่หัวแบบจะๆ และคาดว่าภาพที่เธอจับนั้นจะเป็นภาพวินาทีสังหารเคนนาดี้ที่ชัดมากกว่าของ ใคร ทั้งหมด แต่แล้วเธอก็หายตัวไปอย่างลึกลับท่ามกลางฝูงชนที่หนีออกจากสถานที่เกิดเหตุ มีพยายบอกว่าเธอหนีไปทางตะวันออก พวกผู้เกี่ยวข้องและ FBI พยายามสืบและตามหาตัวเธอเพื่อขอหลักฐานนี้มาประกอบคดี หากจนบัดนี้ก็ยังไม่มีใครพบตัวเธอเลย และหลักฐานที่เธอได้นั้นไม่รู้ว่าจะสำคัญพอที่จะพลิกคดีจนเขย่าโลกได้หรือ ไม่? ทำไม หญิงคนนี้ถึงไม่ปรากฏตัว? ทำไมเธอถึงไม่มอบ หลักฐานนี้ให้ทางการ? มีข้อสันนิษฐานว่าเธออาจถูกเก็บโดยผู้สมคบคิดเพราะเธอมีหลักฐานพลิกโลก ในปี 1970 มีคนอ้างว่าเป็นเลดี้ Babushka ที่ชื่อ Lolita Davidovich หากแต่ต่อมาเธอก็รับสารภาพว่าโกหก จนบัดนี้ปริศนานี้ก็ไม่ได้ไขแต่อย่างใด         7 Kaspar Hauser คาสปาร์ เฮาเซ็นต์ [ (เกิด 30 เมษายน 1812 ?) - ตาย 17 ธันวาคม (อายุ 21 ?) ]เด็กหนุ่มผู้มีชาติ กำเนิดเป็นปริศนาและตายลงอย่างลึกลับ เรื่องของเขาเป็นปริศนาพิศวงที่เป็นตำนานเล่าขานของเยอรมันมานาน เรื่องของเรื่องเช้าวันหนึ่งในเดือน พฤษภาคม 1828 ได้มี เด็กหนุ่มอายุ 16 ปีปรากฏตัวกลางเมืองเข้า เด็กหนุ่มผู้นี้มีท่าทางงุนงง ตื่นตระหนกและแต่งตัวบอนๆ เดินเข้าไปในนูเร็มเบิร์ก ประเทศเยอรมัน ใครถามอะไรก็ไม่รู้เรื่อง แต่ในมือเขามีจดหมายที่จ่าหน้าถึงผู้บังคับบัญชากองร้อยที่ 4 แห่งกองพันทหารม้าที่ 6 จดหมายมี 2 ฉบับ โดยฉบับที่ 1 เขียนไว้ว่า "กระผมส่งเด็กผู้ปรารถนาจะรับใช้ชาติการเป็นทหารมาให้ท่าน เขาถูกทิ้งที่บ้านผมตั้งแต่ยังเป็นทารก กระผมมีลูกของตัวเองที่ต้องเลียงดูถึง 10 คน และไม่อาจดูแลเขาได้อีกต่อไป หากท่านไม่ต้องการเขาก็ฆ่าหรือแขวนคอเขาก็แล้วกัน" จดหมายอีกฉบับลงในปี 1812 คนเขียนอาจเป็นมารดา แท้ๆ ของเด็กหนุ่มผู้นั้น เขียนไว้ว่า "ดูแลลูกดิฉันด้วย พ่อของเขาอยู่กองพันทหารม้าที่ 6" แต่ ถึงอย่างไรผู้บังคับการกองร้อยที่ 4 ที่เป็นผู้รับจดหมายกับไม่เชื่อถืออะไรกับจดหมายนั้น จึงส่งเด็กหนุ่มไปให้ตำรวจและถูกจับส่งเข้าคุกในฐานะคนจรจัด ในระหว่างเขาถูกคุมขัง ผู้คุมสั งเกตว่าเขาสามารถอยู่นิ่งๆ เป็นเวลานานๆ ชอบอยู่ในที่มืดๆ และเคลื่อนไหวในความมืดได้ดี เขารักในการเล่นม้าไม้ ไม่กินเนื้อสัตว์ กินแต่ขนมปังและน้ำ เมื่อส่งกระดาษให้เขาจะเขียนคำว่า "ทหารม้า" กับ "คาส ปาร์ เฮาเซอร์" ซึ่งสันนิ ษฐานว่านี้คงเป็นชื่อและนามสกุลเขา กิริยาคล้ายเด็กหัดเดิน และมองสิ่งรอบตัวก็เหมือนเป็นของแปลกใหม่ทุกอย่าง ผู้คุมชอบจึงสอนให้เขาฝึกพูด และเขียน ภายใน 6 สัปดาห์ออกมาเขาก็สามารถ เล่าเรื่องราวชีวิตข องเขาก่อนหน้านี้ได้ เขาเล่าว่าตั้งแต่จำความได้ก็ถูกขังในที่ห้องมืดๆ ทั้งวัน มีแต่ม้าไม้และหุ่นไม้เป็นของเล่น และไม่เคยเห็นใครหรือได้ยินใครกับใครมาก่อนเลย เมื่อเขาตื่นมาก็มีขนมปังกับน้ำมาวางไว้ให้ บางครั้ง น้ำก็มีรสเฝื่อนๆ และบางครั้งเมื่อเขาหลับและตื่นขึ้นมาก็พบว่าผมเผ้าและเล็บก็ถูกเล็มเรียบ ร้อย มีเพียงครั้งเดียวเท่านั้นที่ได้ติดต่อคนอื่น เมื่อมีมือยื่นออกมาห้องขังพร้อมกระดาษและปากกาและสอนให้เขาเขียนสองคำคือ ทหารม้าและ คาสปาร์ เฮาเซอร์ และต่อมาก็พบว่าตัวเองกะโผลกกระเผลกอยู่ในเมืองนูเร็มเบิร์ก และแล้วเรื่องเล่าของคาร์ปาร์ก็ก่อให้เกิดความฮือฮาขนานใหญ่ในหมู่ชาวเมือง นูเร็มเบิร์ก มีการประกาศหาเบาะแสของเขาอย่างกว้างขวาง แต่ไม่มีใครสามารถหาข้อมูลอะไรได้เลย มีแต่ข่าวลือบางก็ว่าคาสปาร์เป็นลูกของซาตานบ้าง มาจากต่างดาวบ้าง บ้างก็เชื่อว่าเขาอาจมีเชื้อพระวงค์ และแล้วก็เกิดเหตุลึกลับขึ้นเมื่อเคา สปาร์ถูกปล่อยตัวจากที่คุมขัง เขาได้ไปอยู่กับกับศาสตราจารย์ จอร์จ ดอร์เมอร์ เขาพยายามสอนให้เขามีความรู้กว้างขวาง แต่แล้ววันวันหนึ่งเรื่องลึกลับก็เกิดเมื่อดอร์เมอร์กลับมาบ้านมา พบ ว่าคาสปาร์นอนจมกองเลือดอยู่ที่ห้องใต้ทุนบ้าน โดยมีบาดแผลที่หน้าและลำคอ แต่ไม่ถึงตาย เมื่อคาร์ปาร์ได้สติเขาเล่าว่าถูกชายสวมหน้ากากคนหนึ่งเข้ามาในบ้านและทำ ร้ายเขา จนข่าวลือนี้แพร่สะพัดจนชาวบ้านลือว่าพระญาติที่ขึ้นครองบัลลังก์บาเดนอาจ จ้างนักฆ่ามาเพื่อกำจัดรัชทายาทที่แท้จริง กระนั้นยังมีหลายคนคิดว่าคาสปาร์เป็นจอมโกหก เขาอาจสร้างเรื่องที่ถูกทำร้ายเพื่อเรียกร้องความสนใจ ต่อมาลอร์คสแตนโฮปเกิดรู้สึกสนใจเรื่องราวของเด็กหนุ่มนี้ขึ้นมา และขอรับเป็นผู้ดูแลคาสปาร์ เขาพาคาสปาร์เดินทางตามราชสำนักเล็กๆ ในยุโรป ทั้งยังพยายามพิสูจน์ว่าคาสปาร์เป็นลูกของผู้ดี แต่ความพยายามของเขากลับล้มเหลว และเขาก็เริ่มหมดความสนใจต่อตั วคาส ปาร์แล้ว จึงทิ้งเด็กนี้ไว้ให้กับ โจฮันน์ เมเยอร์ ครูสอนศาสนาใจแคบ ที่เมืองอังสบาคใกล้ๆ นูเร็มเบิร์กเป็นผู้ดูแล โดยในขณะนั้นคาลปาร์อายุ 21 ปีแล้ว และเริ่มทำงานเป็นเด็กฝึกหัดเข้าปกหนังสือ เย็นวันที่ 14 ธันวาคม 1833 คาสปาร์วิ่งพรวดพราดกลับ บ้านของเมเยอร์โดยมีบาดแผลถูกแทงที่หน้าอกด้านซ้าย เขาบอกว่าถูกชายคนหนึ่งแทงขณะที่เขากำลังเดินผ่านสวนสาธารณะ แต่ไม่มีใครเชื่อเขา หาว่าเขากุเรื่องขึ้นและทำร้ายตัวเองเพื่อเรียกร้องความสนใจเหมือนครั้งที่ แล้ว ซึ่งกว่าเมเยอร์จะเชื่อและเรียกหมอก็สายเกินไปแล้ว เพราะ อีกสามวันต่อมาคาสปา ร์ก็ได้ชีวิตลงเพราะถูกแทงที่ท้อง เขานอนตายที่สวนสาธารณะ ใน ที่เกิดเหตุนั้น ตำรวจพบกระเป๋าเงินใบหนึ่ง ภายในมีกระดาษเขียนข้อความด้วยตัวอักษรกลับด้านที่ต้องใช้กระจกส่องอ่าน มันเขียนไว้ว่า "คาสปาร์จะบอกให้ว่าผมคือใคร ผมอยู่ที่หมู่บ้าน....................... ชายแดนบาวาเรีย ผมชื่อ MLO" และผลสุดท้ายตำรวจไม่ทราบคนที่เข้ามาแทง คาสปาร์ว่าเขาเป็นใคร มาจากไหน คดีนี้จึงไขปริศนาไม่ได้จนถึงทุกวันนี้ ส่วนศพของตาร์ปาสเขาถูกฝังที่สุสานเล็กๆ แห่งหนึ่งที่อังสปาคพร้อมปริศนาอีกมากมายในตัวเขาที่ไขไม่ออกจนถึงทุกวันนี้ เรื่องราวของคาสปาร์ยังคงเป็นปริศนาที่ถกถียงกันอย่างไม่สิ้นสุด เป็นเวลานาน จนถึงปัจจุบันได้นำเทคโนโลยีสมัยใหม่และหลักฐานในประวัติศาสตร์มาแก้ไขใน ปริศนา แต่หลายฝ่ายไม่ยอมรับเพราะมันส่งผลทำให้ปริศนาที่จุดประกายของจินตนาการถูก ทำลาย และส่งผลต่อแหล่งท่องเที่ยวของคาสปาร์ได้ ซึ่งหลังจากนั้นมาก็ไม่มีการพิสูจน์ใดๆ เกี่ยวกับชาติกำเนิดของคาสปาร์อีก ทำให้จนบัดนี้ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครกันแน่ มกุฏราชกุมารแห่งบาเดนหรือเด็กช่างโกหกเพ้อเจ้อธรรมดาๆ....................         6 Fulcanelli Fulcanelli (1839-1953??) เป็นนามแฝงของนักเล่นแร่แปรธาตุชาวฝรั่งเศสผู้ลึกลับ ในศวรรษที่ 19 ไม่มีใครรู้ที่มาที่ไปของเขา แต่ผลงานของเขานั้นล้วนแต่สร้างความน่าอัศจรรย์ใจต่อผู้พบเห็น โดยเฉพาะผลงานที่เขาอ้างว่าเขาสามารถแปรธาตุ(ตะกั่ว 100 กรัม )กลายเป็นทองคำได้โดยใช้ “ผงสูตรวิเศษลับ” ของเขาโปรยให้เป็นทองต่อหน้า Julien Champagne และ Gaston Sauvage อีกหนึ่งผลงานที่น่าพิศวงไม่แพ้กันคือ คือเขาได้อธิบายหลักการเทคโนโลยีอาวุธนิวเคลียร์ ซึ่งตอนนั้น Fulcanelli ได้พบนักฟิสิกส์ปรมาณูชาวฝรั่งเศส เขาได้ให้รายละเอียดที่ถูกต้องเกี่ยวกับนิวเคลียร์ อีกทั้งเขายังอธิบายเสริมว่าอีกไม่นานมนุษย์จะสามารถใช้อาวุธนิวเคลียร์เช่น นี้ได้ สิ่งที่รู้เกี่ยวกับนักแปรธาตุคน นี้มีน้อยยิ่งกว่าน้อย สิ่งที่พอรู้ประวัติเขาคือจากคำบอกเล่าของลูกศิษย์เท่านั้น และในปี 1953 เขาเกิดหายตัวไปอย่างลึกลับ ไม่รู้ว่าเขาหายไปไหนกันแน่ บ้างบอกว่าเขาไปสเปนไปยังปราสาทสูงๆ เพื่อนัดพบนายเก่าของเขา หรือเขาอาจยังมีชีวิตอยู่จนถึงอายุ 114 ปี หรืออาจเป็นอมตะเลยก็เป็นได้         5 D. B. Cooper ดี บี คูเปอร์ ไม่ใช้ชื่อยี่ห้อเหล้าที่ไหน แต่เป็นนามแฝงสลัดอากาศเครื่องบินผู้โด่งดัง (FBI เรียกเขา ว่า Norjak)เรื่องเกิดขึ้นในสมัยสายการบินที่ไม่มี การจับเอ็กซ์เรย์ตรวจจับตรวจสัมภาระผู้โดยสาร และไม่มีการทำประวัติผู้โดยสาร เมื่อ 24 พฤศจิกายน 1971 ที่เครื่องบินโบอิ้ง 727 ประเทศสหรัฐอเมริกา มีสลัดอากาศคนหนึ่งเลยตนเองว่า ดี บี คูเปอร์ ได้ยึดเครื่องบินพร้อมกับผู้โดยสารไว้เป็นตัวประกันบนลานบิน เขาเรียกร้องเงิน 200,000 ดอลลาร์พร้อมกับร่มชูชีพ เขาได้ไปทั้งสองอย่างที่ต้องการ และเขาได้สั่งนักบินนำเครื่องบินขึ้นกว่าที่นักบินจะนำเครื่องบินลงจอด ชายคนนั้นก็หายกลีบเมฆไปเสียแล้ว โดยเขาโดดร่มสู่ท้องฟ้าครึ้มพายุที่ความสูง 10,000 ฟุต หายไปตรงที่ใดที่หนึ่งแถบภาคกลางด้านตะวันตกของสหรัฐอย่างลอยนวล แม้การปฏิบัติการที่บ้าบิ่นจะทำให้โจรรายนี้หายสาบสูญไป แต่ผู้คนก็ยังคงติตตาม ดี บี คูเปอร์ ที่คาดว่าเขาและเงินค่าไถ่ยังคงอยู่ หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้นมา 9 ปี เด็กอายุแปดปีพบ เงิน 5,800 เหรียญ ในสภาพฝังอยู่ในสันทรายกลางแม่น้ำโคลัมเบียซึ่งจากหมายเลขธนบัตรและระบุตรง กับเงินค่าไถ่ของสลัดอากาศไม่มีผิดและล่าสุดในปี 2008 มีการพบร่มชูชีพที่ดี บี คูเปอร์ใช้ในเมืองเอ็บเบอร์ แต่ตัวสลัดอากาศดี บี คูเปอร์นั้นจนบัดนี้ยังไม่พบตัว มีข้อสันนิษฐานต่างๆ นาๆ ว่าบางทีเขาอาจจะตายจากเหตุการณ์กระโดดร่มไปแล้วก็ได้ หรือบางทีเขาอาจเคยเป็นทหารที่มีประสบการณ์โดดร่ม แต่จนบัดนี้ไม่มีใครรู้ชื่อจริงของเขาหน้าที่แท้จริง ไม่ มใครรู้ว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหนกันแน่ หรือบางทีเขาอาจมีชีวิตที่สุขสบายไหนสักแห่งบนโลกใบนี้ก็เป็นไปได้ เรื่องราวของดี บี คูเปอร์ส่งผลให้สายการบินจัดระเบียบใหม่และเริ่มมีการใช้เอ็กซ์เรย์ตรวจจับ ตรวจสัมภาระผู้โดยสารในที่สุด         4 Comte St Germain เคาท์ เซนต์ เกอร์แมน เป็นที่ปรึกษาข้อราชการของกษัตริย์หลายพระองค์ในฝรั่งเศส เป็นชายหนุ่มที่เจนจัดสังคม และมีชื่อเสียงมาก นอกจากนี้ยังเป็นคนฉลาดที่หาตัวจับยากอีกด้วย เนื่องจากเขามีความรู้หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น นักประดิษฐ์, นักวิทยาศาสตร์, นักเล่นไวโอลิน, นักแต่งเพลง. นักการเมือง จนถึงขนามนามว่า “Wonderman” แต่ทว่าเรื่องราวประวัติของเคาท์ เซนต์ เกอร์แมนนั้นยังคงเป็นปริศนาดำมืด และน่าประหลาดใจอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเรื่องที่ว่า เขาเกิดที่ไหน เมื่อไร หรือตายเมื่อใด บางคนบอกว่าเขาคือทายาทที่แท้จริงในการสืบทอดราชบัลลังก์ของอังกฤษ, บุตรของกษัตริย์โปตุเกส, หรือลูกนอกสมรสของคนในราชวงค์พระองค์หนึ่ง เคาท์ เซนต์ เกอร์แมน เริ่มปรากฏตัวในราวกลางพุทธศตวรรษที่ 23 โดยมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพระเจ้าหลุยส์ที่ 15 ของฝรั่งเศส และยังเป้นที่ไม่ไว้วางใจของบรรดาราชบริพารในสมัยนั้น เนื่องจากเขาเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าหลุยส์อย่างมาก ในเวลาต่อมาเขาโดนจับขังคุกด้วยเรื่องการเมือง จึงหนีไปอังกฤษ และเสียชีวิตลงเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ ปี 1784         3 The Man in The Iron Mask ความจริงเรื่อง ชายหน้ากากเหล็กนั้น เป็นวรรณกรรมอมตะของนักเขียนชาวฝรั่งเศสนาม อเล็กซองด์ ดูมาส์ เขียนขึ้นเมื่อปี 1848 ถูกนำไป สร้างภาพยนตร์หลายครั้งแล้วโดยเรื่องนี้มีเค้าโครงจากเรื่องจริงเรื่องหนึ่ง ใน ปี 1703 มีชาย ลึกลับคนหนึ่งเสียชีวิตในคุกบาสตีล หลังถูกจองจำมาอย่างยาวนานถึง 34 ปี และเอกลักษณ์ซึ่งผู้พบเห็นเขาไม่มีวันลืมเลยคือใบหน้าเขาถูกคลุมด้วยหน้ากาก สีเข้มมีจดหมายที่เจ้าหญิงแห่งฝรั่งเศสเขียนถึงพระสหายในอังกฤษว่า “มีชายผู้หนึ่งสวมหน้ากากเอาไว้ตลอดถูกจองจำ มาบัดนี้เขาสิ้นชีวิตลงแล้ว ขณะที่เขาถูกจองจำอยู่นั้นทหารองครักษ์สองคนคอยเฝ้าอยู่มิห่างตา และขู่ว่าจะสังหารเขาทันทีที่เขาถอดหน้ากากออก แน่นอนว่าเรื่องนี้จะต้องมีเหตุผลบางอย่างที่อยู่เบื้องหลังแน่ เพราะว่าเขาจะถูกขังคุก แต่เขาก็ได้รับการดูแลเอาใจใส่อย่างดีเป็นพิเศษ .............” เขาคือใคร? จากประวัติที่สืบสาวกันมา เริ่มขึ้นเมื่อปี 1669 ที่เมืองท่าดันเคิร์ก ทางตอนเหนือฝรั่งเศส เมื่อมีข้ารับใช้กษัตริย์หลุยส์ที่ 14 ได้จับกุมชายนิรนามคนหนึ่งแล้วถูกนำตัวส่งเข้ าคุกลับแห่งปิกเนรอล นครตูลิน ประเทศตาลี(สมัยก่อนเมืองนี้เคยเป็นของฝรั่งเศส) ซึ่งมีการคุ้มกันอย่างแน่นหนา เมอซิเออร์ แซงต์ มาร์ ผู้คุมสูงสุดแห่งคุกแห่งนี้ได้รับข้อความทำนองที่ว่า “นักโทษผู้นี้จะไม่ได้รับอนุญาตให้บอกเรื่อง ราวใดๆ ของตัวเองแก่ผู้อื่นเด็ดขา ด เจ้าจะต้องไปหาเขาวันละหนึ่งครั้งเพื่อจัดการเรื่องอาหารและเรื่องสัพเหระใน ชีวิตประจำวันแก่เขา และจงอย่ารับฟังคำใดๆ ที่นักโทษผู้นี้พยายามบอกหากนักโทษยังไม่เลิกราที่จะเล่าเรื่องไร้สาระ เกี่ยวกับตัวเอขาละก็ จงมอบความตายแก่เขาเสีย” หลัง จากนั้นไม่กี่ปี แซงต์ มาร์ ก็ถู
Credit: ท็อปเทนดอดคอม
#ความลับ #บุคคล
THEPOco
ผู้กำกับภาพ
สมาชิก VIP
25 เม.ย. 54 เวลา 07:01 3,304 5
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...