Herbert Mullin: วิธีกู้โลกตามแบบฉบับฆาตกร

เดือนสิงหาคมปี 1973 เฮอร์เบิร์ต มัลลิน ซึ่งถูกเบิกตัวขึ้นศาลได้ให้การต่อหน้าคณะลูกขุนไว้ดังนี้ "กระผม เฮอร์เบิร์ต มัลลิน เกิดเมื่อวันที่ 18 เมษายน 1947 และเมื่อวันที่ 18 เมษายน 1955 ก็ได้รับเลือกจากศาสตราจารย์อัลเบิร์ต ไอสไตน์ ให้เป็นผู้นำในรุ่นของพวกเรา ท่านบอกว่าคนที่เกิดในวันที่ 18 เมษายน มีความสามารถพิเศษ ซึ่งจะต้องใช้ความสามารถนั้นในการปกป้องทรัพยากรของโลกและอวกาศ แค่คนเดียวเท่านั้นเองครับ เพียงคนเดียวที่ต้องตายแล้วคนนับร้อยก็จะรอดพ้นจากแผ่นดินไหวและคลื่นสึนามิ ดังนั้นเหล่าผู้นำที่ศาสตราจารย์เป็นผู้เลือกมา ทุกๆ วันจะต้องเลือกคนขึ้นมาจำนวนหนึ่งและฆ่าพวกเขาซะ"

ในเวลาเพียง 4 เดือน มัลลินซึ่งอ้างว่าตัวเองได้รับบัญชาจากไอสไตน์คนนี้ทำการฆาตกรรมไปถึง 13 ราย แต่โดยตัวเขาเองนั้นไม่ได้มีความรู้สึกสำนึกผิดต่อการกระทำดังกล่าวเลยแม้ แต่น้อย นั่นก็เพราะเขาเชื่อมาจากใจว่าสิ่งที่ตนทำไปนั้นได้ช่วยให้คนอีกนับพันนับ หมื่นรอดตายจากแผ่นดินไหวมาได้

เฮอร์เบิร์ต มัลลิน เกิดเมื่อวันที่ 18 เมษายน 1947 ที่แคลิฟอร์เนียและโตมาในครอบครัวที่ปกติไม่มีปัญหา (ซึ่งถือเป็นเคสที่แปลกมากสำหรับคนร้ายคดีฆาตกรรมต่อเนื่อง) หากแต่ผู้เป็นพ่อเขานั้นเป็นเคยเป็นนายทหารผ่านศึกสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ก็ไม่ได้เคร่งอะไรกับเฮอร์เบิร์ตมากนัก เพียงแต่เขามักเล่าเรื่องความเก่งกาจของเขาตอนฆ่าคนในช่วงสงครามโลกให้เด็ก ชายฟังเสมอและสอนเขายิงอาวุธปืนตั้งแต่อายุยังน้อยถ้ามีโอกาส

 

เขาเป็นเด็กเรียนดี นิสัยร่าเริง ชอบเล่นกีฬาแต่ในปีที่มัลลินจบจากชั้นมัธยมนั่นเอง เพื่อนสนิทของเขาก็ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตลงอย่างกะทันหัน เขาเสียใจกับการจากไปนี้มากและร้องไห้อยู่กว่าอาทิตย์ เขาทำป้ายบูชาสำหรับเพื่อนไว้ในห้องตัวเอง แล้วก็เริ่มกลัวว่าตัวเองอาจจะเป็นเกย์ ทั้งๆ ที่มีแฟนสาวที่คบกันมาแล้วเป็นเวลานาน อีกสาเหตุหนึ่งอาจจะมาจากกระแสสังคมในช่วงที่เขาเข้ามหาวิทยาลัย อเมริกากำลังอยู่ในช่วง Counter Culture หนุ่มสาวพากันไว้ผมยาว ทำตัวแหกกฏและเสพ LSD กันเป็นว่าเล่น ซึ่งมัลลินก็ได้รับอิทธิพลนี้มาเต็มๆ – มัลลินเลิกกับคนรักของตัวเองโดยไม่ยอมบอกสาเหตุ เขาเริ่มแสดงท่าทีหวาดกลัวต่อแผ่นดินไหวและขอให้น้องสาวมีเซ็กส์กับตัวเอง แล้วอยู่ๆ ก็บอกว่าอยากจะไปเรียนการศาสนาที่อินเดีย (แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ไป)

ปี 1969 พ่อแม่ซึ่งเป็นห่วงอาการลูกชายส่งเขาไปรับการบำบัดในโรงพยาบาล มัลลินถูกวินิจฉัยว่ามีอาการของ Schizophrenie (อาการเพ้อฝัน เห็นภาพลวงตา ปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด แต่มีการตั้งสมมติฐานว่าเกิดจากการหลั่งสารโดพามินมากเกินไป ผู้ป่วยโรคนี้มีจำนวนประมาณ 1% ของประชากรทั้งหมด) หากไม่ว่าจะเข้าออกโรงพยาบาลซ้ำแล้วซ้ำเล่าและทำการรักษาเช่นไร อาการของมัลลินก็มีแต่จะทรุดลง บางทีก็โกนหัวตัวเอง บางทีก็พูดด้วยสำเนียงแมกซิกัน บางทีก็ใช้บุหรี่จี้ตัวเอง (ทั้งหมดนี้ มัลลินอ้างว่า "เสียงในหัว" บอกให้เขาทำ) อยู่ๆ ก็คบกับผู้หญิงอายุมากกว่าแล้วไปเที่ยวฮาวายและถูกทิ้งที่ฮาวายนั่นเอง เขาเข้าโรงพยาบาลที่นั่นก่อนจะไถเงินพ่อแม่ซื้อตั๋วเครื่องบินกลับบ้าน พอมาถึงบ้านมัลลินก็ประกาศว่าจะไปเป็นนักมวยและเริ่มซ้อมอย่างหนัก ช่วงนี้เองที่อาการของเขามีทีท่าว่าจะดีขึ้น แต่หลังจากที่มัลลินแพ้การแข่งในนัดเปิดตัว ทุกอย่างก็กลับไปลงอีหรอบเดิมอีกครั้ง ….

ฟังดูเพี้ยนๆ อยู่บ้าง แต่ก็ยังนับว่าเบากว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากนี้


 กราฟประกอบทฤษฎีแผ่นดินไหวของมัลลิน

ในปี 1972 เฮอร์เบิร์ตย้ายไปอยู่กับพ่อแม่ที่ Santa Cruz เวลานั้นเองจู่ๆ เขาได้ยินเสียงที่อ้างว่าเป็นเสียงของ "อัลเบิร์ต ไอสไตน์" นักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ของโลกที่เสียชีวิตในวันที่ 18 เมษายน 1955 โดย อัลเบิร์ต ไอสไตน์ บอกว่าเขาเป็นผู้ได้รับเลือกให้เป็นผู้ช่วยโลก เพราะเกิดในวันที่ 18 เมษายน คนที่เกิดวันนี้มีความสามารถเหนือมนุษย์ เขาจะต้องใช้พลังนั้นปกป้องโลกจากภัยพิบัติธรรมชาติจากแผ่นดินไหวและคลื่น ยักษ์ แล้วจะให้ช่วยยังไงละ ? เสียงในหัวบอกเขาว่า เออ … รู้จักคำว่า "บูชายัน" ไหมละ ชีวิตเดียวแลกกับชีวิตนับร้อยนับพันนับหมื่นบนโลก นายต้องเริ่มฆ่าคนตั้งแต่เดี๋ยวนี้และทุกๆ วันนายต้องเลือกเหยื่อขอนายมาและจัดการกับพวกเขาซะ แล้วหนึ่งคนจะแลกกับการหยุดแผ่นดินไหวไปอีกหลายปี …

 

เสียงที่ดังหัวของอัลเบิร์ตคืออะไร ? มันอาจจะเป็นอาการของโรคจิตชนิดหนึ่ง แต่อาการแบบนี้ค่อนข้างหายากโดยมีหลายประเภทด้วยกันคือ Audible thoughts ผู้ป่วยมีหูแว่วเป็นเสียง พูด เกิดขึ้นพร้อมๆ กันกับที่คิดเนื้อหาใจความเหมือนกับที่คิดทุกอย่าง ผู้ป่วยบางคนบอกว่าเป็นเสียงสะท้อนของความคิดหรือ Voices commenting ผู้ป่วยหูแว่วเสียงพูดหรือวิจารณ์ถึงการกระทำหรือกิจกรรมต่างๆ ของผู้ป่วย และ Somatic passivity ผู้ป่วยรู้สึกว่ามีการเปลี่ยนแปลงในร่างกายของตนเองร่วมไปกับเชื่อว่าความ ผิดปกติที่เกิดขึ้นนี้เป็นมาจากการกระทำของบุคคลหรืออำนาจภายนอก เฮอร์เบิร์ตเชื่อเสียงในหัวอย่างหมดใจ เพราะเขาก็ค้นพบว่ามีเหตุการณ์เกิดดินไหวครั้งใหญ่ของแคลิฟอร์เนีย วันที่ 18 เมษายน 1906 เหมือนกัน ซึ่งนี้อาจเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เขาคิดว่าการฆ่าคนเป็นเรื่องสำคัญมาก อีกสาเหตุหนึ่งที่อัลเบิร์ตเชื่อว่าการฆ่าเป็นการช่วยโลก เนื่องจากเขาชอบสงครามเวียดนาม เขามักได้ยินว่าการตายของทหารอเมริกันเป็นเสียสละให้แก่ ชาติและช่วยโลก เขาเริ่มทำการบันทึกการตายของคนที่เขาฆ่ามันเป็นกราฟแสดงอันตราการตายของคน (ที่เขาฆ่า) และการเกิดแผ่นดินไหว เป็นกราฟแบบง่ายๆ เขาทำเพื่อสังเกตการณ์หลังจากเขาฆ่าคน และแล้วแผนปฏิบัติการช่วยโลกแบบฉบับอัลเบิร์ตก็ได้เริ่มขึ้น …

 

13 ตุลาคม 1972 มัลลินใช้ไม้เบสบอลตีหัว ลอเรนซ์ ไวท์ (ประมาณ 50 ปี) ซึ่งเป็นคนจรจัดจนเสียชีวิต ศพถูกพบในเช้าวันต่อมา เขาอ้างคดีนี้ว่าเหยื่อคือ Jonah ในคัมภีร์ไบเบิลต่างหากและเขาได้ส่งพลังจิตมาบอกในหัวว่า "โปรดเลือกฉันและจับฉันโยนลงจากเรือสิ โปรดฆ่าฉันเพื่อช่วยมวลมนุษย์โลกทั้งหลายซะ"

24 ตุลาคม มัลลินรับแมรี่ กิลฟอยล์ (24) ขึ้นรถและแทงเธอจนเสียชีวิต เขาแหวกท้องเธอด้วยมีดก่อนจะทิ้งศพไว้ข้างทาง เขาเอาลำไส้ของเหยื่อมาเกี่ยวไปมาบนต้นไม้ 3 ต้น โดยอ้างว่าเพื่อทำการทดลองพิสูจน์สมมติฐานของตัวเองเกี่ยวกับตรวจสอบ "มลพิษ" ศพของแมรี่ถูกพบในเวลาไม่ช้า หากในตอนแรกถูกเข้าใจผิดว่าเป็นฝีมือของ "เอ็ดมุนด์ เคมเปอร์" ฆาตกร อีกคนที่ออกอาละวาดในพื้นที่แถวๆ นี้ 

2 พฤศจิกายน บาทหลวงชื่อ เฮนรี่ โทเมย์ (56) ถูกแทงเสียชีวิตในขณะที่กำลังสารภาพผิด เขาอ้างว่าบาทหลวงเป็นอาสาสมัครในการเป็นเครื่องสังเวยเพื่อหยุดการเกิดแผ่น ดินไหว หลังจากการฆาตกรรมครั้งนี้ มัลลินไปสมัครเป็นเข้ากองทัพเรือและสามารถผ่านการสอบข้อเขียนและภาคปฏิบัติ ไปได้ หากในขั้นตอนการสัมภาษณ์นั่นเอง เขาก็ถูกปฏิเสธเนื่องจากประวัติอาการผิดปกติทางจิตในอดีต แต่ "เสียงในหัว" บอกมัลลินว่านี่เป็นการแทรกแซงจากกลุ่มฮิปปี้ที่มีอิทธิพลเพื่อไม่ให้เขากู้ โลก

25 มกราคม 1973 อัลเบิร์ตได้ตั้งใจหยุดการใช้ยา ซึ่งวิธีการหยุดเลิกยาของเขาทำแบบไม่เหมือนใคร มัลลินซื้อปืนหลายกระบอกและตั้งใจจะฆ่า จิม เกียเนร่า (25) ซึ่งเป็นผู้ขายกัญชาให้กับเขา – วันที่ 25 มกราคม 1973 มัลลินไปบ้านของจิม หากก็พบว่าเจ้าตัวย้ายบ้านไปแล้ว โชคไม่ดีนักที่ เคธี่ ฟรานซิส (29) ซึ่งเป็นผู้อาศัยคนปัจจุบันรู้ที่อยู่ของจิม เธอบอกมันกับมัลลินซึ่งตามไปยังที่อยู่ใหม่แล้วฆ่าทั้งจิมกับโจแอน เกียเนร่า (21) ภรรยาของจิมด้วยการยิงที่ศีรษะ … แต่เรื่องยังไม่จบ มัลลินย้อนกลับไปหาเคธี่ ฆ่าเธอพร้อมกับลูกชายอีกสองคน เดวิดอายุ 9 ขวบ และดีย์ม่อนเพิ่งจะอายุเพียง 4 ขวบ มัลลินอ้างในภายหลังว่าเป็นการฆ่าเพราะทั้งหมดต่างเกี่ยวข้องกับการค้ายาเสพ ติด (สามีของแคธี่ซึ่งไม่อยู่บ้านพอดี เป็นดีลเลอร์ค้ายา)

10 ภุมภาพันธ์มัลลินไปเดินเล่นที่ Henry Cowell Redwoods State Park และเห็นเด็กวัยรุ่น 4 คนมาตั้งแคมป์ แล้วจู่ๆ เสียงก็ดังมาในหัวของเขา บอกว่าพวกมันตั้งใจจะยึดครองสวน สาธารณะ พวกมัน "สกปรก" เป็นตัวการที่ทำให้ธรรมชาติถูกทำลาย โลกไม่ต้องการพวกเขา จัดการกับเขาซะ – เขาจึงเดินเข้าไปหาพวกวัยรุ่นโดยอ้างตนว่าเป็นผู้ดูแล แล้วอยู่ๆ ก็ชักปืนออกมายิงเด็กทั้งสี่คน สก็อต คาร์ด (19) ร็อบ สเปคเตอร์ (19) เดวิด โอลิก้า (18) มาร์ค จอห์นสัน (15)

 

สุดท้ายฆาตกรก็ไปไหนไม่รอด … เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ เฟรด เบเลซ (72) ถูกยิงกลางวันแสกๆ ขณะเดินอยู่ในสนามหญ้าบ้านตัวเอง และเนื่องจากมีผู้เห็นเหตุการณ์แจ้งตำรวจให้ทราบในทันที มัลลินจึงถูกจับกุมระหว่างกำลังขับรถหนีในที่สุด ซึ่งหากมัลลินไม่ถูกจับกุมในคดีนี้ก็เป็นที่แน่นอนว่าจะมีจำนวนของเหยื่อ เพิ่มขึ้นอีก เพราะการที่ "เอ็ดมุนด์ เคมเปอร์" ก่อคดีในช่วงเดียวกันนี้เองที่ทำให้การสืบสวนเป็นไปอย่างขลุกขลัก และตำรวจไม่คิดว่าจะมีฆาตกรสองคนอาละวาดอยู่พร้อมกันในแคลิฟอร์เนีย (มัลลินเริ่มก่อคดีหลังเคมเปอร์ แต่ถูกจับกุมก่อนเคมเปอร์) ในศาล มัลลินอ้างว่าเพราะการฆาตกรรมที่ตนก่อขึ้น ทำให้เปอร์เซนต์การเกิดแผ่นดินไหวลดลงฮวบฮาบ แน่นอนว่าทฤษฎีนี้ไม่เป็นที่รับฟัง หากมันก็ทำให้เขาถูกตัดสินว่าบกพร่องทางจิต จนไม่สามารถรับผิดชอบได้และถูกลงโทษจำคุกตลอดชีวิต

ซึ่งเขาอาจจะได้รับสิทธิ์ในการปล่อยตัวอย่างไม่เป็นทางการอีกครั้งในปี 2025 ซึ่งในตอนนั้นมัลลินก็จะมีอายุ 77 ปี และไม่รู้จะเหลือโลกใบนี้ให้เค้ากู้อีกรึเปล่าก็ไม่รู้

Credit: http://atcloud.com/stories/94741
23 เม.ย. 54 เวลา 09:13 7,417 10 190
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...