ถึงวันนี้ก็ยังถกเถียงกันว่า ใครเป็นเหยื่อใครหรือใครเป็นเบี้ยของใครกันแน่ ระหว่างสมเด็จฮุนเซน นายกรัฐมนตรีแห่งกัมพูชา และอดีตนายกรัฐมนตรีไทย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลกัมพูชา และที่ปรึกษาส่วนตัวของสมเด็จฮุนเซน ซึ่งผลพวงจากการกระทำของบุคคลทั้งสองนี้ ได้ก่อประโยชน์คุณูปการต่อรัฐบาลกัมพูชาและ พ.ต.ท. ทักษิณ ขณะที่เกียรติภูมิของรัฐบาลไทยและกระบวนการยุติธรรมไทยถูกท้าทาย จนส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาล 2 ประเทศ แม้มีคำยืนยันจากผู้นำทั้ง 2 ชาติว่า จะไม่ให้เหตุการณ์ขยายวงกว้างลงถึงระดับพี่น้องประชาชนไทย-เขมร แต่จากสถานการณ์ขณะนี้น่าเป็นห่วงยิ่งนัก
   
การที่รัฐบาลกัมพูชาตัดบัวไม่เหลือใยปฏิเสธการส่งตัว พ.ต.ท.ทักษิณ กลับมาดำเนินคดีในไทยตามสนธิสัญญาว่าด้วยการส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนไทย -กัมพูชา ด้วยเหตุผลที่ว่า เป็นคดีการเมืองไม่ใช่คดีอาญา ซึ่งในส่วนของรัฐบาลไทย แม้จะรู้คำตอบล่วงหน้าว่า “ไม่สำเร็จ” แต่ก็ต้องปฏิบัติตามขั้นตอนทางการทูตด้วยการทำหนังสือยืนยันกลับไปยังรัฐบาล กัมพูชาอีกครั้งว่า คดี พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ใช่คดีการเมือง แต่เป็นคดีที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรง   ตำแหน่งทางการเมืองมีคำพิพากษาว่า เป็นการทุจริตในตำแหน่งหน้าที่
   
มีคำถามว่า หลังจากวันที่ 12 พฤศจิกายน เมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ เสร็จสิ้นภารกิจ เดินทางออกจากกัมพูชา ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลกัมพูชาจะดำเนินอย่างไรต่อไป จะลดระดับทบทวนความสัมพันธ์ต่อไปอีกหรือจะคืนสู่สภาพปกติ เสมือนหนึ่งไม่เคยเกิดเรื่องใดมาก่อน ขณะที่ พ.ต.ท.ทักษิณ อาจสบโอกาสใช้กลยุทธ์ “ลูกไม้เดิม” ตะลอนทัวร์เร่ขายฝัน “ทักษิโณมิกส์” กับผู้นำในกลุ่มอาเซียนหรือประเทศอื่น ๆ อีกหรือไม่ และหากมีประเทศใดยอมให้อดีตนายกฯ ผู้นี้เข้าประเทศ รัฐบาลไทยจะแสดง จุดยืนและดำเนินการอย่างไร มิให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเดิม
   
การเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ครั้งนี้ ถือ เป็นจุดเริ่มต้น “ป่วน” ก่อนเผด็จศึกขั้นแตกหัก ยกระดับปัญหาความขัดแย้งให้สูงขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องเพราะปมชี้เป็นชี้ตาย คดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาท งวดเข้ามาแล้ว ซึ่งตามกระบวนการยุติธรรม ศาลจะสอบพยานผู้ถูกร้องอีก 2 นัด จากนั้นเป็นการสอบพยานผู้ร้องอีกประมาณ 30 ปาก คาดว่าเดือนกุมภาพันธ์หรือมีนาคมปี 2553 ศาลคงมีคำพิพากษาชี้ชะตา “ทักษิณ” เชื่อว่าจากวันนี้ไป รัฐบาลยังต้องเผชิญปฏิบัติการท้าทายจากอดีตนายกฯ ผู้นี้อีกและจะเพิ่มดีกรีความเข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ หากไม่สามารถ “หยุดทักษิณ” ก็สมควร “ยุบสภา” คืนอำนาจให้ประชาชน.