แมลงผีดิบ กินซากศพ!


 

"เด อเมสธิด" คือชื่อแมลงที่อันตรายที่สุดในโลกในขณะนี้ เพราะมันคือแมลงร้ายที่สามารถฉีกกิน

เนื้อหนังของสัตว์ต่าง ๆ จนถึงกระดูกได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด

                ซาก ศพที่ถูกมันรุมทึ้งกินเนื้อหนังและเลือดสด ๆ นั้นจะกลายสภาพเป็นโครงกระดูกสีขาว

เนียนชวนสยอง ยิ่งกว่าการแล่เนื้อเถือหนังของยอดฝีมือถลกหนังรายใด ๆ ในโลกนี้

               

 และ ตอนนี้พวกมันกำลังถูกนำตัวมาใช้ในงายวิจัยของพิพิธภัณฑ์แห่งหนึ่ง ของสหรัฐอเมริกาอยู่

โดยที่งานหลัก ๆ ของมันก็คือทำหน้าที่กัดกินซากสัตว์หลายชนิดจนเหลือแต่โครงกระดูกที่สมบูรณ์

ที่สุดเพื่อที่จะได้ทำงานวิจัยอย่างสบายมือ และเมื่อทำงานเสร็จแต่ละชิ้นงานนั้นพวกมันก็จะ

ถูก "ทำลาย" ด้วยสารเคมีรุนแรงเพื่อให้แน่ใจว่า พวกมันจะไม่กระจัดกระจายออกไปก่อกรรมทำ

เข็ญกับสิ่งมีชีวิตนอกพิพิธภัณฑ์นั่นเอง


 

 

แมลงที่มีชื่อว่า เดอเมสธิด นี้เรื่มเป็นที่รู้จักกันในหมู่นักวิจัยของ

พิพิธภัณฑ์ The American Museum of Natural History (พิพิธภัณฑ์อเมริกันเพื่อประวัติศาสตร์

ธรรมชาติ) ในช่วงทศวรรษที่ 1930 (ราว 70 ปีก่อน) โดยที่ช่วงเวลานั้นทางพิพิธภัณฑ์กำลังรอรับ

สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมบางชนิดที่ถูกส่งตัวมาจากทวีปแอฟริกาอย่างใจจดใจจ่อ

                หาก แต่การส่งสัตว์ที่ต้องการมาทางเรือนั้นใช้เวลาในการเดินทางนานพอใช้ และเมื่อเรือ

มาถึงอเมริกาก็ปรากฏว่าสัตว์ที่ถูกส่งมาทางเรือนั้นกลายสภาพ เป็นกองกระดูกขาวโพลนไปหมด

เรียกว่าตอนออร์เดอร์กันได้ออร์เดอร์สัตว์เป็น ๆ แต่พอมาถึงจุดหมายปลายทาง ก็กลายเป็นกอง

กระดูกขาวโพลนแหงแก๋เสียนี่


 

                ที่น่าตกใจก็คือนักวิจัย(ในสมัยนั้น)ได้พบกับแมลงกินเนื้อหนังสุดโหดที่ชื่อ เดอเมสธิด

แมลงที่มีชื่อว่า เดอเมสธิด นี้เรื่มเป็นที่รู้จักกันในหมู่นักวิจัยของ

พิพิธภัณฑ์ The American Museum of Natural History (พิพิธภัณฑ์อเมริกันเพื่อประวัติศาสตร์

ธรรมชาติ) ในช่วงทศวรรษที่ 1930 (ราว 70 ปีก่อน) โดยที่ช่วงเวลานั้นทางพิพิธภัณฑ์กำลังรอรับ

สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมบางชนิดที่ถูกส่งตัวมาจากทวีปแอฟริกาอย่างใจจดใจจ่อ

               
 

 

จากการทดลองและวิจัยเกี่ยวกับแมลงนี้อย่างเนิ่นนาน ทำให้ได้ข้อสรุปหลายประการจากแมลงที่มี

ความยาวราว 5-7 มม.เหล่านี้ว่าพวกมันมีประโยชน์ต่อพิพิธภัณฑ์ด้วยเช่นกัน ไม่ใช่ว่าจะมีแต่

อันตรายอย่างเดียว

                นั่นก็คือทางส่วนงานที่เรียกว่า กองพิพิธภัณฑ์ปลา ภายในพิพิ

ภัณฑ์ The Museum of Natural History แห่ง นี้จำเป็นจะต้องใช้แมลงกินเนื้อเหล่านี้ในการกำจัด

ซากปลาหายากบางพันธุ์ ที่ต้องการเก็บเฉพาะแต่โครงกระดูกเอาไว้ได้อย่างยอดเยี่ยมมาก นั่นคือ

เมื่อปล่อยพวกมันลงไปกินเนื้อปลากันอย่างตะกละตะกรามกันแล้ว พวกมันจะแทะเนื้อเถือหนัง

ปลานั้นอย่างรวดเร็วและเรียบร้อยเป็นที่สุด และสุดท้ายซากปลานั้นก็จะกลายเป็นกระดูกที่สวย

งามพอที่จะดำเนินการขั้นต่อไป ได้ทันที

 

 แต่ ถ้าไม่มีแมลงพวกนี้มาช่วยงาน เหล่าเจ้าหน้าที่ของกองฯนี้จะต้องลำบากในการนำปลาไปต้ม

เคี่ยวจนกระทั่งเนื้อหนังหลุดร่อนออกไปและยังต้องมาวุ่นวายกับการต่อกระดูก ปลารวมกัน เป็นตัว

ปลาอย่างลำบากลำบนคล้ายการต่อจิ๊กซอว์อีกด้วย

 

นอก จากการให้มันสวาปามซากปลาแล้วยังมีกสัตว์อื่น ๆ ที่ทางพืพืธภัณฑ์ได้อาศัยแมลงเดอเม

สธิด ในการช่วยกัดกินเลือดเนื้อของมันพวกมันเหล่านั้นก็คือ สัตว์เลื้อยคลานต่าง ๆ สัตว์เลี้ยงลูก

ด้วยนมขนาดเล็กหรือ แม้กระทั่งหัวอันใหญ่ โตของช้างที่ตายแล้วก็เป็นเหยื่ออันโอชะของแมลง

พวกนี้

                ไม่ มีใครรู่ว่าถ้ามันกลุ้มรุมกัดกินสัตว์เป็น ๆ แล้วจะเป็นอย่างไร แต่กับซากสัตว์ที่ตายแล้ว

จำเป็นจะต้องนำซากสัตว์(โดยเฉพาะปลา)ไปผึ่งลมให้ ความชื้นระเหยไปเสียก่อน พวกแมลงเหล่า

นี้จึงจะกินซากสัตว์อย่างร่าเริง แต่ถ้านังมีความชื้นอยู่มาก มันก็จะละเลยเสีย

แต่ ถ้าเป็นกรณีสัตว์เป็น ๆ นั้นทางพิพิธภัณฑ์ยังอุบเงียบอยู่ เพียงแต่บอกว่า ถ้าปล่อยให้

แมลงเหล่านี้เป็นอิสระหรือโบยบินสู่โลกภายนอกแล้วล่ะก็ มันคงสร้างความประหวั่นพรั่น

พรึงได้ไม่น้อยเช่นกัน ดังนั้น จึงจำเป็นอยู่เองที่จะต้อง  " สังหาร" พวกมันเสียทุกคราวที่นำ

แมลงเดอเมสธิดจำนวนหนึ่งนี้ออกมาใช้งาน โดยที่ยังเก็บส่วนที่เหลือไว้ในที่เก็บอย่างดี

ในคลังเก็บของพิพิธภัณฑ์เพื่อเอาไว้กัดกินซากสัตว์ต่าง ๆ กันต่อไป

ไม่น่าเชื่อว่าเรื่องร้ายแรงแบบนี้จะถูก  " ปิดเงียบ" มานานถึง  70  ปีมาแล้ว และเมื่อชาวโลก

ส่วนใหญ่ได้รับรู้เรื่องราวนี้เข้าไปแล้วจะมีความคิดเป็นเช่นไร  ?

                 ช่างน่าขนพองสยองเกล้าเสียจริง ๆ



Credit :  postjung.com
 



 

14 เม.ย. 54 เวลา 18:49 9,874 7 60
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...