ไขปริศนาการสิ้นพระชนม์ของนโปเลียน
thairath
ประวัติ ศาสตร์ได้จารึกไว้ว่า หลังจากจอมจักรพรรดิ นโปเลียน ทรงแพ้สงครามครั้งหลังสุดแล้ว อังกฤษได้นำ พระองค์ไปกักไว้ ณ เกาะเซ็นต์เฮเลน่า อยู่นานถึง 6 ปี จนกระทั่งสิ้นพระชนม์ด้วยสาเหตุอันใดยังไม่ประจักษ์ชัด แต่สันนิษฐานกันว่า ทรงถูกลอบวางยาพิษ
แต่บัดนี้มีผู้พบ หลักฐานด้านประวัติศาสตร์เสียแล้วว่า พระองค์ หาได้สิ้นพระชนมชีพอย่างนักโทษ บนเกาะเซ็นต์เฮเลน่าอย่าง อ้างว้างว้าเหว่ ตามที่ทราบกันมาไม่ หากสิ้นพระชนม์ที่อื่นในเวลาหลังจาก วันสวรรคตตามประวัติศาสตร์ หลายปี และในฐานะที่มิใช่นักโทษการเมืองของอังกฤษเสียด้วย
ที่เป็นปริศนาน่าขบคิดก็คือ เรื่องนี้เป็นไปได้จริงหรือไม่ ประการใด?
ไม่ ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม สิ่งหนึ่งที่นักประวัติศาสตร์ส่วนมาก ยอมรับกันก็คือ พระเจ้านโปเลียน โบนาปาร์ต นั้นทรงเป็นนักรบ ผู้ยิ่งใหญ่ ที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์โลก เป็นที่เคารพยำเกรง แก่ทวยทหารมากหน้าและ แม้ในยามที่ทรงสูญสิ้นอำนาจวาสนา เสด็จไปประทับอย่างว้าเหว่ที่เกาะเซ็นต์เฮเลน่าในมหาสมุทร แอตแลนติก หลังจากทรงแพ้สงครามที่วอเตอร์ลูในปี ค.ศ.1815 แล้ว ก็ใช่ว่าจะทรงไร้เสียซึ่งมิตรสนิทผู้ศรัทธานับถือพระองค์เลย
และมิตรเหล่านั้นล้วนมั่งคั่งและมีอำนาจพอที่จะทำอะไรก็ได้ทั้งสิ้น
แม้กระทั่งการลอบพาองค์นโปเลียนหนีออกจากเกาะที่ไม่มีทางหนี!
เขาชื่อ ฟรังซัวส์ อูยีน โรโบด์ เกิดที่หมู่บ้านบาลีย์กูต์ เมื่อปี ค.ศ.1771
หลัง จากพระเจ้านโปเลียนทรงแพ้ สงครามและเสด็จนิราศ ไปสู่เกาะเซ็นต์เฮเลน่า ในปี 1815 นั้น โรโบด์ก็กลับไปใช้ชีวิตเงียบๆ อยู่ที่หมู่บ้านบาลีย์กูต์ ของเขาตามเดิม แต่อยู่ที่นั่นได้เพียง 3 ปี เขาก็มีอันหายหน้าหายตา ไปจากหมู่บ้านโดย ไม่มีใครรู้ระแคะระคาย แม้แต่ลูกเมียก็พากันหุบปากแน่น บอกกับใครๆ ที่มาถามไถ่ว่าสามีไปทะเลเท่านั้น
น่าสังเกตยิ่งขึ้นไปอีกก็คือเรอวารด์ ไม่ พอใจ และหลบหน้าไปทุกทีที่ใครๆ เกิดล้อเขาว่าเป็น “องค์เอมเพอเรอร์” และแล้วต่อมาในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1821 ที่เกาะเซ็นต์เฮเลน่า บุคคลผู้ที่ใครๆ รู้จักในนามของอดีตพระจักรพรรดินโปเลียนก็สิ้นพระชนม์ ด้วยโรคมะเร็งในพระนาภี
ประวัติศาสตร์พากันบันทึกไว้ตรงกันหมดทั้งโลกว่า พระเจ้านโปเลียนสิ้นพระชนม์ ที่เกาะเซ็นต์เฮเลน่าในปี ค.ศ.1821
เป็นคืนวันที่ 4 กันยายน 1823 ทหารรักษาพระราชวังมองเห็นเงาบุรุษลึกลับคนหนึ่งปีนกำแพงวังเข้าสู่พระราชฐานชั้นใน ซึ่งโอรสของนโปเลียน โบนาปาร์ต ประชวรหนักอยู่ด้วยโรคอีดำอีแดง ทหารยามจึงยิงขู่ออกไป เผอิญกระสุนถูกบุรุษผู้นั้นเข้าอย่างจังถึงกับล้มลงเสียชีวิตทันที
ศพ ชายลึกลับถูกนำไปยังกระท่อมในสวนแล้วเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่ในวังก็มาตรวจดู พอเห็นรูปร่างหน้าตาของคนตายเข้าเท่านั้น เจ้าหน้าที่ดังกล่าวก็หูตาเหลือก รีบสั่งให้ปิดล็อกประตู หน้าต่างกระท่อมเป็นการใหญ่ ต่อจากนั้นใครต่อใครก็วนเวียนกันมาดูศพราวกับว่าเป็นคนสำคัญเต็มประดา รวมทั้งเอกอัครราชทูตฝรั่งเศสประจำกรุงเวียนนาด้วย ต่อมาอีกไม่นาน ศพชายคนนั้น ก็ถูกนำเข้าไปภายในพระราชวังเชินบรูนน์ และฝังไว้ในที่เดียวกับสุสานประจำราชวงศ์
ท่านผู้อ่านพอจะเดาอะไรออกรางๆ แล้วใช่ไหมเมื่ออ่านมาถึงตรงนี้?
ทางด้านนายเปต รุซซี่ก็เฝ้ารอการกลับของหุ้นส่วนของเขาจนกระทั่ง 3 เดือนผ่านไปก็ไม่มีวี่แววนายเรอวารด์กลับมาสักที เขาเกือบจะทำตามคำสั่งอยู่แล้ว คือนำจดหมายปิดผนึกนั้นไป ถวายพระเจ้าแผ่นดินฝรั่งเศส ก็พอดีมีเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่จากพระราชสำนักฝรั่งเศสมาดั้นด้นตามหาเปตรุ ซซี่จนพบ มอบเงินให้จำนวนมากถึง 100,000 คราวน์เพื่อแลกกับจดหมายฉบับนั้น พร้อมทั้งขอให้เย็บปากตัวเอง ซึ่งเปตรุซซี่ก็ทำตาม จึงไม่มีใครรู้ความลับเรื่องนี้เลยนอกจากต่อมาในภายหลัง
ขอให้เราปะติดปะต่อเหตุการณ์ที่น่า สับสนนี้ดู
ส่วนบุรุษลึกลับที่ถูกยิงตายในบริเวณพระราชวังเชินบรูนน์ ซึ่งโอรสของนโปเลียน ประชวรหนัก อยู่นั้น ก็คงไม่ใช่ใคร คือนโปเลียนนั่นเอง ทรงได้รับข่าวประชวรของ โอรสโดยบุรุษผู้มากับรถม้า ซึ่งนายเปตรุซซี่มองเห็นผู้นำข่าวมาถวาย นโปเลียนจึงรีบร้อนเสด็จไปเยือนโอรสจนต้องประสบกับวาระสุดท้าย อันน่าเศร้าสลดและไม่คาดฝัน ณ บริเวณพระราชวังเชินบรูนน์ นั่นเอง
ที่ จริงเรื่องราวของบุรุษผู้ถูกยิงตายนี้ อาจไม่มีใครคิดลึกไปว่าเป็นองค์นโปเลียนหากข้อเท็จจริง อย่างหนึ่งจะไม่เปิดเผยขึ้นในปี ค.ศ.1956
และข้อพิสูจน์ประการสุดท้ายมีอยู่ที่ทะเบียนท้องถิ่นของหมู่บ้านบาลีย์กูต์ ที่นั่นบันทึกไว้ว่า ฟรังซัวส์ โรโบด์ ถึงแก่กรรมที่เกาะเซ็นต์เฮเลน่า โดยไม่ยอมบอกวันเดือนปีที่ตาย...คนที่รู้เรื่องนี้จึงแน่ใจว่า โรโบด์ตายที่เกาะเซ็นต์ เฮเลน่า ในฐานะที่เป็นนโปเลียนโบนาปาร์ต!
เรื่องที่เล่ามานี้ ท่านผู้อ่านจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ย่อมได้ แต่ทว่าเป็นเรื่องจริง.
คิดทุกคำที่พูด แต่อย่าพูดทุกคำที่คิด