วันที่ 25 มกราคม 1959 ทีมนักเล่นสกีลงรถไฟ ที่เมืองอิฟเดล ก่อนจะต่อรถบรรทุกไป
ยังหมู่บ้านวิซไฮ ซึ่งเป็นหมู่บ้านสุดท้ายบนเส้นทางการสำรวจ และหลังจากนี้ ต่อไปพวก
เขาจะต้องเดินเท้าขึ้นยอดเขาไปตามลำพังโดยจะไม่ได้เห็นผู้คนไปตลอดทั้งเส้นทาง
วันที่ 28 มกราคม ยูริ ยูดิน เกิดป่วยกะทันหัน เขาจึงถูกบังคับให้เดินทางกลับ ทีมนักเล่นสกี
จึงเหลือเพียงแค่ 9 คน
เป็นระเบียบปฏิบัติสำหรับนักไต่เขาที่จะต้องระบุวันเดินทางกลับเอาไว้ เพื่อคนทางบ้านจะได้
ทราบกำหนดการ หากว่าพวกเขายังไม่กลับมาตามวันที่กำหนดจะได้ส่งทีมกู้ภัยไปช่วยเหลือ
ซึ่งการเดินทางครั้งนี้ อิกอร์กำหนดว่าจะส่งโทรเลขแจ้งเพื่อนฝูงเมื่อกลับลงมาจากเขาภาย
ในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ อย่างไรก็ตาม เมื่อยูริ ยูดิน ป่วยต้องเดินทางกลับ อิกอร์ก็ถือโอกาส
เปลี่ยนแผนโดยบอกกับยูริว่าเขาอาจจะลงเขาช้ากว่ากำหนด 2-3 วัน
วันที่ 31 มกราคม ทีมนักเล่นสกีเดินทางถึงสุดเขตที่ราบสูง พวกเขาสร้างเพิงชั่วคราวเพื่อ
เก็บเสบียงและอุปกรณ์ที่ไม่จำเป็นสำหรับการปีนเขา โดยจะกลับมาเอาไปใช้สำหรับขาลง
วันรุ่งขึ้นคนทั้งหมดก็เริ่มภาระกิจการปีนเขาเพื่อเดินทางไปยังช่องเขา ที่เชื่อมต่อกับยอด
เขาโอตอร์เทน แต่สภาพอากาศที่เลวร้าย พายุหิมะทำให้ทีมนักเล่นสกีหลงทาง เฉไฉไป
ทางทิศตะวันตกและมุ่งขึ้นสู่เทือกเขาโคแลต สแยกหล์ ซึ่งแปลเป็นภาษาไทยว่า
“เทือกเขามรณะ”
อิกอร์ รู้ตัวว่ามาผิดทางก็เป็นเวลาเย็นแล้ว ทีมนักเล่นสกีจึงตัดสินใจกางเต็นท์พักแรมบน
เชิงเขาโคแลต สแยกหล์ การตัดสินใจครั้งนี้เป็นหนึ่งในปริศนาที่ทีมกู้ภัยไม่เข้าใจ เพราะ
ทีมนักเล่นสกีอยู่ห่างจากเขตป่าไม้เพียงแค่ 1.5 กม. พวกเขาน่าจะเดินย้อนกลับไปกาง
เต็นท์ในป่า ซึ่งปลอดภัยกว่าการกางเต็นท์ในที่โล่งท่ามกลางอุณหภูมิ -30 องศาเซลเซียส
เพื่อนบางคน พยายามหาเหตุผลเข้าข้างอิกอร์ โดยคิดว่าเขาอาจอยากทดสอบความ
แข็งแกร่งของทีม แต่การนำกิ่งไม้สดมาก่อกองไฟใน ขณะที่มีกิ่งไม้แห้งมากมายอยู่ใน
บริเวณนั้น ทำให้เกิดทฤษฎีว่าจะเป็นด้วยเหตุผลใดก็ตาม ณ เวลานั้นทีมนักเล่นสกีสูญเสีย
ประสาทการมองเห็น
วันที่ 12 กุมภาพันธ์ เพื่อนร่วมสถาบันเริ่มเป็นห่วงทีมนักเล่นสกี เมื่ออิกอร์ไม่ติดต่อกลับมา
ตามกำหนดการ หากแต่ยูริ ยูดิน ให้ข้อมูลใหม่ว่าอิกอร์อาจจะกลับมาล่าช้ากว่ากำหนด
2-3 วัน
หลังจากที่ทนรอถึงวันที่ 20 กุมภาพันธ์ เพื่อนๆก็มั่นใจว่ามีสิ่งปรกติเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
จึงแจ้งเรื่องไปยังหน่วยกู้ภัยให้ออกค้นหา โดยประกอบไปด้วยคณะอาจารย์และนักศึกษา
สถาบันยูรัลโพลีเทคนิคอล เจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารส่งเครื่องบินเล็กและเฮลิคอปเตอร์
ออกสำรวจ
วันที่ 26 กุมภาพันธ์ ทีมกู้ภัยพบเต็นท์ร้างของทีมนักเล่นสกีบนเชิงเขาโคแลต สแยกหล์
สภาพเต็นท์ทุกหลังจมใต้กองหิมะ มีรอยถูกฉีกขาดจากด้านในจนยับเยิน ข้าวของเครื่องใช้
ยังอยู่ในเต็นท์ครบถ้วน แต่ไม่พบนักเล่นสกีแม้แต่คนเดียวในบริเวณนั้น มีเพียงรอยเท้ามุ่ง
ตรงไปยังเขตป่าไม้ ทีมกู้ภัยจึงแกะตามรอยเท้าไปเป็นระยะทางเกือบกิโลเมตรก็พบซาก
กองไฟและร่าง ของ ยูริ คริโวนิเชนโก้ กับยูริ โดโรเชนโก้ จมอยู่ใต้หิมะ
การหนีออกมานอนหนาวตายห่างจากเต็นท์ถึง 500 เมตรก็นับว่าประหลาดมากอยู่แล้ว
แต่สภาพศพของคนทั้งสองที่นุ่งเพียงชุดชั้นในไม่สวมรองเท้ายิ่งทำให้แปลกประหลาดมาก
ยิ่งขึ้นไปอีก รอยหักของกิ่งสนสูง 5 เมตร ที่อยู่ใกล้ๆกองไฟทำให้เชื่อได้ว่าใครคนใดคน
หนึ่งปีนขึ้นไปบนต้นไม้เพื่อมอง หาอะไรสักอย่าง
เมื่อสำรวจบริเวณโดยรอบ ก็พบร่างของอิกอร์ ดยัตลอฟ, ซิไนด้า กอลโมโกโรวา, และรัสเตม
สโลโบดิน ดูเหมือนว่าทั้งสามคนกำลังเดินทางกลับเต็นท์เพราะทนความหนาวเย็นไม่ไหว
แต่ไม่มีร่องรอยของคนที่เหลืออยู่ในบริเวณนั้น การชันสูตรไม่พบร่องรอยบาดแผลใดๆ บน
ร่างกาย จึงลงความเห็นว่าผู้เคราะห์ร้ายทั้ง 5 คน เสียชีวิตจากภาวะร่างกายสูญเสียความร้อน
(Hypothermia) แม้ว่ารัสเตม สโลโบดิน จะมีรอยร้าวเล็กๆที่กะโหลกศีรษะแต่มันไม่รุนแรง
ถึงขั้นทำให้เสียชีวิต
หลังจากนั้นอีก 2 เดือน วันที่ 4 พฤษภาคม ทีมกู้ภัยก็พบร่างที่เหลือของทีมนักเล่นสกีจม
อยู่ใต้กองหิมะหนา 4 เมตรลึกเข้าไปในป่า ทุกศพไม่มีร่องรอยบาดแผลใดๆบนร่างกาย
เหมือน 5 ศพแรกที่พบ
อเล็กแซนเดอร์ โคลีวาตอฟ เสียชีวิตจากร่างกายบอบช้ำภายในอย่างรุนแรง
นิโคไล ทิบอกซ์บริจนอลลี กะโหลกศีรษะร้าว
อเล็กแซนเดอร์ โซโลทาเรฟ และลยุดมิลา ดูบินิน่า ซี่โครงหักหลายแห่ง
ซึ่งแพทย์ให้ความเห็นว่าบาดแผลดังกล่าวเกิดจากการถูกกระแทกอย่างรุนแรงโดย
เฉียบพลันเท่านั้น เช่น การถูกรถยนต์วิ่งด้วยความเร็วสูงพุ่งเข้าชน ยิ่งน่าประหลาดมาก
ที่สุดเมื่อพบว่าลิ้นของลยุดมิลาหายไป
4 ศพสุดท้ายที่พบล้วนแล้ว แต่แต่งกายในชุดป้องกันความหนาวอย่างถูกต้องกับ
สภาพอากาศ อเล็กแซนเดอร์ โซโลทาเรฟ สวมเสื้อกันหนาวและหมวกของลยุดมิลา
ดูบินิน่า ในขณะที่ลยุดมิลาพันเท้าด้วยเศษผ้าจากกางเกงของยูริ คริโวนิเชนโก้
จากหลักฐานนี้ทำให้เชื่อว่าพวกเขาพยายามต่อสู้กับสภาพอากาศที่หนาวเย็นด้วย
การนำเสื้อผ้าของผู้ที่เสียชีวิตก่อนมาสวมใส่ แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่มีใครชนะสภาพอากาศ
ที่ทารุนโหดร้ายไปได้
สภาพอวัยวะภายในที่เหมือนถูกของแข็งกระแทกอย่างรุนแรง จนแตกหักโดยไม่มีบาดแผล
ภายนอกร่างกายให้เห็นแม้แต่น้อยก็นับว่าเป็นปริศนามากพอดูอยู่แล้ว แต่หลังจากตรวจ
สอบเสื้อผ้าของผู้เสียชีวิตพบว่า มีการปนเปื้อนสารกัมมันตรังสีเข้มข้นก็ยิ่งทำให้คดีนี้เป็น
ปริศนามากยิ่ง ขึ้นไปอีก
จากการสืบสวนของตำรวจไม่พบว่ามีทีมนักไต่เขาทีมอื่นในช่วงเวลานั้น ไม่มีบ้านเรือนผู้คน
อาศัยอยู่ หรือร่องรอยของสัตว์ร้ายในบริเวณนั้น ไม่พบสิ่งผิดปรกติใดๆทั้งสิ้น ทีมนักเล่นสกี
ทั้ง 9 คนอยู่บนเทือกเขามรณะโดยลำพัง แต่อะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้พวกเขาละทิ้งเต็นท์ที่
พักออกมานอนหนาวตายในกองหิมะ
สมุดบันทึกการเดินทางและภาพถ่าย ตั้งแต่วันเริ่มออกเดินทางจนถึงเย็นวันที่ 2 กุมภาพันธ์
ก็ไม่แสดงถึงสิ่งผิดปรกติใดๆ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในคืนนั้นจะต้องเกิดขึ้นโดยทันทีทันใด
อย่างที่ไม่มีใคร คาดคิดมาก่อน
สิ่งที่ยังคงเหลืออยู่บนเชิงเขามรณะคือ อนุสาวรีย์ของนักเล่นสกีและชื่อสถานที่ที่ถูกเรียกว่า
“ช่องเขาดยัต ลอฟ” ตามนามสกุลของอิกอร์ ดยัตลอฟ หัวหน้าคณะทีมสำรวจ
มี 2 ทฤษฎีพอจะอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนเทือกเขามรณะในคืนวันที่ 2 กุมภาพันธ์ได้
ระดับหนึ่ง ทฤษฎีแรกคือเกิดหิมะถล่มลงมาทับเต็นท์ที่พักของนักเล่นสกี ซึ่งเป็นเหตุผลว่า
ทำไมเต็นท์จึงจมอยู่ใต้กองหิมะ นักเล่นสกีใช้ของมีคมกรีดเต็นท์ เพื่อหาทางออกซึ่งเป็น
เหตุผลว่าทำไมเต็นท์จึงอยู่ในสภาพยับเยิน
แรงกระแทกของก้อนหิมะอาจส่งผลให้นักเล่นสกีบางคนได้รับบาดเจ็บกะโหลกศีรษะร้าว
และบางคนซี่โครงหัก นักเล่นสกีเกรงว่าหิมะอาจจะถล่มซ้ำลงมาอีก จึงตัดสินใจหนีออกห่าง
จากเต็นท์ที่พัก เหลือเพียงเรื่องเดียวที่ไม่สามารถอธิบายได้คือสารกัมมันตรังสีเข้มข้นจาก
เสื้อผ้าของผู้เสียชีวิตมาจากไหน
อีกทฤษฎีคือ นักเล่นสกีกางเต็นท์ในเขตทดลองอาวุธลับของทหาร ในคืนวันที่ 2 กุมภาพันธ์
นักเล่นสกีอีกชุดหนึ่งซึ่งออกเดินทางขึ้นเขาห่างจากทีมของผู้เสียชีวิตไปทางตอนใต้ราว 50 กม.
อ้างว่าพวกเขาเห็นลูกไฟทรงกลมสีส้มขนาดใหญ่ลอยอยู่บริเวณใกล้เคียงกับจุดที่ พบผู้
เสียชีวิต ทีมนักเล่นสกีอาจจะออกจากเต็นท์ ที่พักเพื่อดูลูกไฟประหลาด และทันใดนั้นก็เกิด
การระเบิดขึ้น แรงกระแทกจากการระเบิดทำให้นักเล่นสกีบางคนได้รับบาดเจ็บ ซึ่งทฤษฎีนี้
สามารถอธิบายเรื่องสารกัมมันตรังสีเข้มข้นบนเสื้อผ้าของนักเล่นสกีได้ หากแต่ไม่มีร่องรอย
การระเบิดในบริเวณที่เกิดเหตุ และพยานที่อ้างว่าเห็นลูกไฟประหลาดก็ไม่เห็นการระเบิด
และที่สำคัญที่สุดคือ ณ เวลานั้นยังไม่มีการสร้างสถานีทดลองอาวุธทางทหารในบริเวณนั้น
แต่ถ้ามีการทดลองอาวุธลับจริงมันก็ยังคงถูกปิดเป็นความลับอยู่จนถึงทุกวันนี้