อย่า!!! อ่านถ้าใจไม่ถึง นี้คือเรื่องโรคจิตเท่าที่โลกเคยมีมา ตอน2 จบ

http://news.clipmass.com/story/29210 ลิ้งค์ตอน1 ถ้าใครยังไม่ได้อ่าน

 

 

การใช้ขวดโค้กทำอนาจารนั้นส่งผลให้ซิลเวีย เกิดอาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ ซึ่งมันทำให้นางเกอร์ทรูดโกรธซิลเวียอย่างมาก เลยจับเธอขังในห้องใต้ดิน จากนั้นนางเกอร์ทรูดก็ทำความสะอาดตัวเธอด้วยน้ำร้อนจัด เพื่อที่จะได้ "ชำระบาป"และขัดถูด้วยน้ำเกลือบริเวณที่แผลลวกไหม้

จากนั้นซิลเวียก็ถูกขังในห้องใต้ดิน ในสภาพเปลือยกายไม่นุ่งผ้า ถูกอดอาหารบ่อยครั้ง และถูกจอห์น แบนนิเชฟสกี้ จูเนียส(อายุ 12 ปี)บังคับให้เธอกินอุจจาระของตนเองเป็นอาหาร

แม้ระยะนี้น้องสาวของซิลเวียเจนนี่จะสามารถติดต่อกับพี่สาวได้ และรู้เรื่องราวความวิปริตที่เกิดขึ้นกับพี่สาว แต่เจนนี่ก็ไม่คิดช่วยพี่สาวโดยการแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือเพื่อนบ้านแต่อย่างใดเพราะเธอกลัวถูกจับได้และถูกลงโทษเหมือนพี่สาวอีกทั้งขาของเจนนี่ข้างหนึ่งพิการลีบเล็กด้วยโรคโปลิโอตั้งแต่เล็ก ทำให้เธอเดินเหินไม่สะดวก เกรงว่าคนอื่นสังเกตเห็นและจับได้

21 ตุลาคมนางเกอร์ทรูด สั่งให้ จอห์น จูเนียส, คอย และสเตฟานี  นำตัวซิลเวียออกจากที่ห้องใต้ดิน และใช้เชือกผูกถับตัวเธอติดกับเตียงนอน ตอนเช้าวันถัดไปนางเกอร์ทรูดโกรธซิลเวียจัดแพราะเธอปัสสาวะรดเตียง เธอเลยยัดขวดโค้กเข้าไปที่ช่องคลอดของเธออีกครั้ง ก่อนที่จะใช้นางเกอร์ทรูดจะสั่งให้ริชาร์ด ฮอบบ์ส์ ใช้เข็มขนาดใหญ่มาเผาไฟ เฉือนสลักหน้าท้องของซินเธียว่า

I'm a prostitute and proud of it"

“ฉันเป็นกะหรี่ และฉันโคตรภูมิใจ”

วันถัดไป นางเกอร์ทรูดปล่อยตัวซินเธียและบังคับให้เธอเขียนจดหมายหนีออกจากบ้านและถูกแก๊งค์ผู้ชายทำร้ายเธอ  หลังจากที่ซิลเวียเขียนเสร็จ นางเกอร์ทรูดก็ละสายตาจากซินเวียเพื่อสั่งงานให้จอห์นจูเนียส ผูกตาซิลเวียและเอาเธอไปทิ้งไว้ในป่าพร้อมกับจดหมายฉบับนั้นและปล่อยให้เธอตายอย่างช้า ๆ ซึ่งซินเวียแอบได้ยินเธอเลยวิ่งลงบันไดเพื่อหลบหนี แต่ก็ไม่ถูกจับตัวได้ในขณะที่เธอกำลังเปิดประตูหน้า  นางเกอร์ทรูดดึงหลังมาข้างในบ้าน เธอถูกโยนไปในห้องเก็บของ และถูกขังอยู่ในนั้น ได้รับแคร็กเกอร์เป็นอาหาร และไม่มีสิทธิใช้ห้องน้ำ

24 ตุลาคม นางเกอร์ทรูดและแก๊งของเธอลงที่ห้องใต้ดิน ทั้งหมดใช้กระบองและไม้กวาดกระหน่ำตีนางซินเวียตามร่างกายเกือบทุกจุด จนกระทั้งไม้กระบองนั้นฟาดไปโดนหัวของซินเวียอย่างจัง ส่งผลให้สมองของเธอกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง จนเธอสลบนอนคาไปกับพื้นห้อง

ตอนเย็นวันอังคารของวันที่ 26 ตุลาคม นางเกอร์ทรูดพบว่าซินเธียมีอาการหยุดหายใจ และใกล้ตาย นางกับพรรคพวกพยายามช่วยชีวิตซินเธียอย่างเต็มที่ แต่สายไปแล้ว เพราะหลังจากนั้นไม่นานซินเธียก็ลาจากโลกสาเหตุของการตายก็คือ สมองบวม สมองตกเลือด และช็อคจากอาการบาดเจ็บและขาดอาหาร เป็นอันสิ้นสุดระยะเวลาที่เธอถูกทรมานนานถึง 57 วัน

นางเกอร์ทรูดและแก๊งตกใจกลัว แต่กระนั้นเธอก็บอกให้พวกเด็กๆ โทรไปบอกตำรวจ เมื่อตำรวจมาถึงเธอและเด็กๆ ก็กลบเกลื่อนตำรวจแบบสุดฤทธิ์สุดเดช เกอร์ทรูดบอกกับตำรวจว่า เธอเป็นคนดูแลซิลเวียเพราะว่าพ่อแม่ของซิลเวียไม่อยู่ในเมืองนี้ และซิลเวียถูกแก๊งค์ผู้ชายทำร้าย พร้อมเอาจดหมายหนีออกจากบ้านของเธอมายืนยันเป็นหลักฐาน และท่ามกลางความวุ่นวายนั้นเจนนี่ก็เห็นโอกาสเธอได้กระซิบกระซิบประโยคหนึ่งแก่ตำรวจ

"เอาฉันออกมาจากที่นี่ และฉันจะบอกทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับที่นี่แก่พวกคุณ”

ศพของซิลเวียถูกพบและถูกนำไปชันสูตรในเวลาต่อมา จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็ทำการจับกุมนางเกอร์ทรูด, พอลล่า,  สเตฟานี  และจอห์นจูเนียส,  ริชาร์ด ฮอบบ์ส์ และ คอย ฮับแบร์ด ข้อหาทรมานคนอื่นจนถึงแก่ความตาย

คดีซิลเวีย ไลเคนส์ถูกเผยแพร่ในเวลาต่อมา ประเด็นหลักที่ผุ้คนสงสัยนอกเหนือเมนูการทรมานซินเธียแล้ว อีกอย่างคือในเมื่อนางเกอร์ทรูดลงมือทรมานซิลเวียอย่างต่อเนื่องมานานหลายวันหลายเดือน แต่คำถามคือ เพื่อนบ้านหายไปไหน? ทำไมไม่มีใครสังเกตเห็นความผิดปรกติที่เกิดขึ้นใต้จมูกของตัวเองเลยหรืออย่างไร?

ปรากฏว่ามี  นั้นคือตอนที่ซิลเวียนำตัวไปทรมานในเดือนสิงหาคม1965 ฟีลิส กับ เรมอน เวอร์มิลเลี่ยนเพื่อนบ้านข้างเคียงของครอบครัวแบนนิเชฟสกี้  สังเกตความรุนแรงมีพวกชายหนุ่มรุมกระทืบเด็กสาวซิลเวียอยู่ แต่อย่างไรก็ตามพวกเขาก็ไม่แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจแต่อย่างใด ด้วยเหตุผลคือ “ไม่รู้ไม่เห็น”, “ไม่อยากสอด”, “ไม่อยากซวย”, “ไม่รู้จะช่วยอย่างไร”, “ไม่เป็นไรมั้ง” ฯลฯ ซึ่งกรณีนี้ได้แสดงให้เห็นว่าคนเรามักจะหาเหตุผลชอบธรรมมาปลอบใจตนเสมอเวลาเห็นเพื่อนมนุษย์เดือดร้อน หลายคนมักแก้ตัวว่านี้คือลักษณะของสังคมเมืองยุคปัจจุบัน ที่วิถีชีวิตรีบเร่งทำให้ทุกคนมัวแต่หมกมุ่นวุ่นวายกับเรื่องของตัวเองมาก จนไม่สนใจใครอีกแล้วในโลก แม้กระทั่งคนที่อยู่บ้านรั้วติดกับตัวเองแท้ๆ ก็ไม่สนใจที่จะทักทายหรือสร้างความสนิทสนม

ไม่ว่าใครจะมีเหตุผลอย่างไรก็ตาม ผลสุดท้ายจุดจบของเรื่องนี้คือ มีมนุษย์คนหนึ่งถูกทำร้าย ถูกทรมานจนขาดใจตาย โดยไม่มีใครยื่นมือมาช่วยเลยแม้แต่คนเดียว

 

……………………………………………….

 

เกอร์ทรูด แบนนิเชฟสกี้, ลูกๆ ของเธอ, ริชาร์ด ฮอบบ์ส์ และ คอย ฮับแบร์ด ถูกคุมขังรอวันตัดสินโดยไม่ให้มีประกันตัว ซึ่งระหว่างที่ทั้งแก๊งถูกจำคุกอยู่นั้น ซึ่งผลจากการสืบสวนสอบสวนและการชันสูตรศพของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ศพของซิลเธีย พบว่าร่างกายของเธอเต็มไปด้วยบาดแผล มีรอยไหม้มากมาย, แผลถลอก,   และที่ช่องคลอดเกือบบวมปิด อย่างไรก็ตามผลการตรวจสอบเยื่อพรหมจารีของเธอนั้นไม่เสียหายแต่อย่างใดแสดงว่าเธอไม่ถูกข่มขืน นอกจากนั้นคำอ้างเกอร์ทรูด ที่ว่าซิลเธีย คือโสเภณีและเธอกำลังตั้งครรภ์ เป็นอันตกไป

ต่อมามีการแถลงสาเหตุการตายของซินเธียอย่างเป็นทางการว่า เธอตายเพราะสมองบวม สมองตกเลือด และช็อคจากอาการบาดเจ็บและขาดอาหาร

นางเกอร์ทรูด แบนนิเชฟสกี้ ถูกดำเนินคดี วันที่ 9 พฤษภาคม 1966 ลูกขุนตัดสินว่าเกอร์ทรูดผิดด้วยข้อหาฆ่าคนโดยเจตนา พอลล่ามีความผิดข้อหาฆ่าคนตายโดยวางแผนไว้ก่อน และเด็กผู้ชายอีกหลายคนถูกข้อหาฆ่าคนโดยไม่เจตนา ส่งผลให้เกอร์ทรูดกับพอลล่าถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิตโดยปราศไม่ให้มีปล่อยตัวออกจากคุกโดยมีทัณฑ์บนไว้

อีกหนึ่งปีต่อมา นางเกอร์ทรูดปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา อ้างว่าพวกเด็กๆ เป็นคนทำ และบอกว่าตนเองมีอาการทางจิต

 ต่อมาในปี 1971 ศาลของอินเดียน่าอนุญาตให้มีการพิจารณาคดีของนางเกอร์ทรูดกับพอลล่าใหม่ นางเกอร์ทรูดถูกตัดสินด้วยข้อหาเดิมอีกครั้ง ส่วนของพอลล่าได้ถูกเปลี่ยนข้อหาใหม่เป็นฆ่าคนโดยไม่เจตนา และชดใช้ความผิดในคุกอีก 2 ปี ส่วนพวกเด็กผู้ชายถูกปล่อยโดยภาคทัณฑ์เอาไว้ในปี 1968 หลังจากถูกจำคุก 2 ปี

อย่างไรก็ตามศาลก็ได้ลดโทษนางเกอร์ทรูด หลังติดคุกได้ 18 ปี เนื่องจากเธอเป็นนักโทษตัวอย่าง ประพฤติตัวดีในคุก ทำงานอย่างขยันขันแข็งในโรงตัดเย็บ จนเธอมีชื่อเล่นในคุกว่า"แม่"(เนื่องจากเธอเป็นนักโทษที่มีอายุมากที่สุดในคุก)  

ข่าวศาลกำลังจะปล่อยตัวนางเกอร์ทรูดออกจากคุกโดยมีทัณฑ์บนไว้ ทำให้ประชาชนอินเดียนาและญาติของซิลเวีย รวมไปถึงสมาคมต่างๆ ไม่พอใจอย่างยิ่ง พวกเขาออกข่าวโจมตีนางเกอร์ทรูด  ระดมพลรวบรวมลายเซ็น 4500 ลายเซ็นเพื่อให้ศาลตัดสินใหม่อีกครั้ง   แต่สุดท้ายมันก็ไม่ได้ผล ศาลตัดสินใจไม่เปลี่ยนคำตัดสิน

และนี้คือคำแถลงการณ์ของนางเกอร์ทรูด

I'm not sure what role I had in it... because I was on drugs. I never really knew her... I take full responsibility for whatever happened to Sylvia.

วันที่ 4 ธันวาคม1985 นางเกอร์ทรูด แบนนิเชฟสกี้ ถูกปล่อยตัวเป็นอิสระโดยมีทัณฑ์บนไว้  หลังจากนั้นเธอก็เปลี่ยนชื่อเปลี่ยนแซ่ใหม่เป็น นาดีน แวน ฟอสแซน ย้ายที่อยู่ใหม่ที่ไอโอว่า  และเธอก็ตายที่นั่นด้วยโรคมะเร็งปอดเมื่อวันที่ 16   มิถุนายน1990

 

ในปี 2007 กว่า 4 ทศวรรษหลังเกิดเหตุ มีหนังอเมริกันที่ได้รับแรงบันดาลใจจากเรื่องราวของซิลเวีย ไลเคนส์ ออกฉายในเวลาไล่เลี่ยกัน 2 เรื่อง

หนึ่งคือ An American Crime ผลงานกำกับของ ทอมมี่ โอฮาเวอร์ (Ella Enchanted) มี เอลเลน เพจ รับบทซิลเวีย ไลเคนส์ และ แคเธอรีน คีเนอร์ รับบทเกอร์ทรูด แบนนิเชฟสกี้ และอีกหนึ่งคือ The Girl Next Door ผลงานของ เกรกอรี่ วิลสัน

หากเปรียบเทียบหนังทั้ง 2 เรื่องในแง่ของความถูกต้องเที่ยงตรงต่อเหตุการณ์จริงแล้ว An American Crime ตรงกว่ามาก ทั้งชื่อเสียงเรียงนาม พื้นเพปูมหลัง ความสัมพันธ์ของตัวละคร และเรื่องราวการทารุณทำร้าย ถอดแบบมาจากเรื่องที่เกิดขึ้นจริงแทบจะทุกส่วน

ขณะที่ The Girl Next Door นั้น เป็นการดัดแปลงมาจากนิยายชื่อเดียวกันของ แจ็ก เคทชัม ซึ่งออกวางจำหน่ายในปี 1989 อีกที และนิยายเล่มดังกล่าว แม้จะอิงอยู่กับเรื่องราวของซิลเวีย ไลเคนส์เป็นหลัก ทว่ารายละเอียดต่างๆ ก็ถูกปรับและเปลี่ยนไปหลายอย่าง

แต่น่าเสียดาย An American Crime เป็นหนังนอกกระแส เลยไม่มาไทย ซึ่งมีเพียงเรื่องเดียวที่คนได้น่าจะได้เห็นบ้างคงมีแต่เรื่อง The Girl Next Door หรือเรื่องแอบดูข้างบ้านในชื่อของไทยเท่านั้น

ฉากหลังของ The Girl Next Door ขยับจากกลางยุค 60 ในเรื่องจริง กลายมาเป็นยุค 50 ซิลเวีย ไลเคนส์วัย 16 ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น เม็ก ลาฟลิน วัย 14 และนางเกอร์ทรูด แบนนิเชฟสีกี้ ม่ายลูก 7 เปลี่ยนเป็น รูธ แชนด์เลอร์ ม่ายลูก 3 ขณะที่ความสัมพันธ์ระหว่างรูธกับเม็กนั้น จากคนรู้จัก ถูกเปลี่ยนเป็นป้ากับหลาน โดยมีเรื่องอยู่ว่าเม็กกับน้องสาวต้องมาอาศัยบ้านป้าเพราะว่าพ่อแม่ทั้งคู่ ประสบอุบัติเหตุจนเสียชีวิต และทั้งสองก็ไม่มีญาติ ทำให้ทั้งสองต้องมาอยู่บ้านป้าแท้ๆ ของตน

หนัง The Girl Next Door ชื่อมันออกจะออกใสก๊กกิ๊ก แต่เนื้อเรื่องค่อนข้างโหดร้ายมาก โดยหนังจะ เล่าเรื่องผ่านมุมมองของ เดวิด มอแรน เด็กชายวัย 12 ปี (เป็นตัวละครที่ไม่มีอยู่จริง) ซึ่งอาศัยอยู่บ้านติดกันกับครอบครัวแชนด์เลอร์ และเป็นเพื่อนเล่นกับลูกๆ ของรูธ แชนด์เลอร์มาตั้งแต่เด็ก

จากนั้นเดวิดก็หลงรักเม็ก และมีความทรงจำดีๆ ร่วมกับเธอ อย่างไรก็ตาม การรู้จักเด็กสาวผู้นี้ก็นำมาซึ่งฝันร้ายสุดชีวิตในเวลาต่อมา เมื่อเดวิดกลายเป็นประจักษ์พยานต่อการทารุณกรรมอันโหดเหี้ยมที่รูธกับลูกๆ และเด็กวัยรุ่นในละแวกใกล้เคียง กระทำต่อเธอ

และการที่เขาได้แต่ทนดูโดยไม่อาจช่วยเหลือใดๆ ได้ ก็เป็นต้นเหตุของความรู้สึกผิดบาปถาโถมที่ไม่อาจเยียวยาและลบเลือนชั่วชีวิต…………..

 

 

Credit: อย่า อ่านถ้าใจไม่ถึง นี้คือเรื่องโรคจิตเท่าที่โลกเคยมีมา ตอน2 จบ
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...