ตะลึงหลังเผยแพร่ภาพ "ควันปริศนา" ซึ่งเชื่อว่าเป็นคล้ายกับภาพมัจจุราช ปรากฏบนท้องฟ้า หลังเหตุการณ์สึนามิถล่มประเทศญี่ปุ่นราบคาบ...
สยดสยองและกลายเป็นทอล์กออฟเดอะทาวน์ทันที เพราะมีคนไทยตาดีตั้งข้อสังเกตผ่านไทยรัฐออนไลน์กับภาพปริศนาเป็นควันสีดำทะมึนขนาดมหึมาพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าหลังจากสึนามิเข้ากลืนประเทศญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 11-03-2011 สร้างความเสียหายมหาศาล บ้างก็ภาพควันว่าเป็นภาพมัจจุราช บางคนบอกว่าเป็นภาพคล้ายกับหน้ากากอาถรรพ์ของประเทศญี่ปุ่น หรือ “คะบูกิ” (หรือคนทั่วไปเรียกว่า คาบากิ) ศิลปะดั้งเดิมในสมัยโบราณของประเทศญี่ปุ่น
เมื่อไทยรัฐออนไลน์ลองนำภาพดังกล่าวมาวิเคราะห์และตรวจสอบพบว่าภาพปริศนาที่ว่าเป็นถ่ายความเสียหายมุมสูงของจังหวัดฟุกุชิมาหลังคลื่นสึนามิถล่มญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 11 มี.ค. 2011 “จริง” แต่หากมองภาพปริศนาดังกล่าวด้วยมุมปกติ จะไม่สามารถเห็นภาพหน้ามัจจุราชดังกล่าวได้ชัดเจนเท่าไหร่
ทว่าเมื่อลองนำภาพกลุ่มควันสีดำซึ่งกำลังพวยพุ่งกลับภาพถ่ายลง สิ่งที่ปรากฏตรงหน้าก็สร้างความประหลาดใจเป็นอย่างมาก เนื่องจากภาพดังกล่าวมีลักษณะน่ากลัวและชวนขนหัวลุกอย่างยิ่ง ยิ่งเมื่อลองนำภาพหน้ากาก “คะบูกิ” ซึ่งเป็นหน้ากากอาถรรพ์ของประเทศญี่ปุ่นแล้วยิ่งชวนสยดสยองไปใหญ่
สำหรับประวัติความเป็นมาของหน้ากาก “คะบูกิ” ผู้เชี่ยวชาญบอกว่าเป็นศิลปะการแสดงแบบดั้งเดิมที่ของประเทศญี่ปุ่นเกิดขึ้นในศตวรรษที่ 17 โดยนางรำที่ชื่อว่า Izumo no okuni แต่ในสมัยนั้นยังไม่ได้รับความนิยมเท่าไหร่ เนื่องจากไม่ประณีตและวิจิตรบรรจงเท่ากับปัจจุบัน
เดิมละครคะบูกินั้นใช้ผู้หญิงเล่นเป็นตัวนาง ซึ่งผู้หญิงเหล่านั้นมักจะเป็นโสเภณี แต่เพราะเป็นผู้หญิง การแสดงจึงดูอ่อนช้อยและงดงาม แต่ในสมัยโทคุกาวามีการห้ามโดยเด็ดขาด ด้วยเห็นว่าไม่ดีงามต่อศีลธรรม ตัวละครจะมีการเคลื่อนไหวที่กระฉับกระเฉง แสดงออกซึ่งท่าทางที่มีความหมาย เช่น ร้องไห้ เสียใจ ดีใจ โกรธ บ้าคลั่ง ฯลฯ จึงทำให้ละครคาบูกิเป็นที่นิยมดูกัน
การแสดงถูกอัพและพัฒนามาเรื่อยๆ จนกลายเป็นที่นิยมที่สุดในสมัยเอโดะศตวรรษ ที่ 20 แต่ไม่ถูกจัดว่าเป็นละครคลาสสิคเนื่องจากคะบูกิเป็นรูปแบบความ บันเทิงที่ผสมผสานกันหลากหลาย ตั้งแต่ดนตรี การร่ายรำ การเล่าเรื่องตลกชวนหัว เรื่องเศร้าซึ้งและทุกอย่างที่ผู้ชมต้องการดู ในละครคะบูกิไม่มีผู้แสดงหญิง ใช้นักแสดงชายแสดงเป็นผู้หญิง
โดยเนื้อเรื่องของการแสดงคะบูกิจะมีอยู่ 2 ประเภท คือเรื่องเกี่ยวกับสังคมซามูไร ตำนานวีรบุรุษ เวทมนต์และเรื่องราวอันยิ่งใหญ่ และอีกประเภทคือเรื่องราวชีวิตของชาวเมืองเรื่องเศร้าเคล้าน้ำ ละครคะบูกิเป็นเป็นการแสดงที่เต็มไปด้วย ฉากที่ตื่นเต้นเร้าใจและมักจะต้องมีการต่อสู้กันเกิดขึ้นมากมายในเนื้อเรื่อง
หากจะสังเกตหน้าตัวแสดงให้ดี จะมีการแต่งหน้าที่เป็นเอกลักษณ์ โดยเฉพาะที่ตาจะดูน่ากลัวมาก และบทพูดก็ฟังยากมาก แม้กระทั่งคนญี่ปุ่นเองก็ยังฟังเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้างแต่ก็ดูขลังดีการแต่งตัวจะแต่งตัวให้บ่งบอกถึงบทของคนนั้น เช่นตัวผู้ดีหรือพระเอกจะถือร่มกระดาษ คาดผ้าคาดหน้าผาก และพกดาบสั้นไว้ที่เอว แต่ถ้าเมื่อไรพระเอกหรือตัวเอกถูกฆ่า การแต่งกายจะเปลี่ยนไปในรูปเกินจริง กล่าวคือเป็นวิญญาณที่มีอำนาจหวนกลับมาแก้แค้น ที่เด่นชัดที่สุด และคิดว่าใครๆก็เคยเห็น เพราะมักจะเอามาเป็นสัญลักษณ์ของคะบูกิ ก็คือชายที่หน้าขาว มีลวดลายสีดำและสีแดงบนใบหน้า หน้าตาดุดัน
ขณะที่ วิกิพีเดียระบุว่าถึงคะบูกิคล้ายกันว่า เป็นศิลปการแสดงของญี่ปุ่น โดยมีการแต่งหน้าที่เป็นเอกลักษณ์ มีการเคลื่อนไหวที่กระฉับกระเฉงแสดงออกซึ่งท่าทางที่มีความหมาย เช่น ร้องไห้ เสียใจ โดยมีเนื้อเรื่อง 2 ประเภท คือเรื่องเกี่ยวกับสังคมซามูไร และ เรื่องราวชีวิตของชาวเมือง
คะบูกิ เริ่มต้นในตอนต้นของศตวรรษที่ 17 โดยมีการเปิดการแสดงในเกียวโต โดยคณะละครที่ประกอบด้วยผู้ร่ายรำสตรีที่นำโดยผู้ดูแลศาลเจ้าอิซุโมะ แต่หลังจากนั้นปี ค.ศ. 1629 ได้มีประกาศรัฐบาลห้ามสตรีแสดงด้วยมีจุดประสงค์ที่จะรักษาศีลธรรมของประชาชน ดังนั้นคะบุกิจึงแสดงโดยเด็กหนุ่มและเมื่อรัฐบาลห้ามมิให้เด็กหนุ่มแสดงคะบุกิจึงแสดงโดยผู้ชายที่เป็นผู้ใหญ่
ทั้งนี้ก่อนหน้านี้ สำนักข่าวต่างประเทศได้มีการกล่าวถึงภาพควันดำพวยพุ่งหลังจากเหตุการณ์สึนามิถล่มที่ประเทศญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 11-03-2011คล้าย แบบนี้เช่น ว่าเป็นภาพคล้ายกับอนุสาวรีย์ของ ด.ญ.ซาดาโกะ ซาซากิ (Sadako Sasaki) ซึ่งเสียชีวิตเพราะสหรัฐอเมริกาทิ้งระเบิดใส่เมืองฮิโรชิมา ทำให้เธอได้รับสารกัมมันตภาพรังสี และทนทุกข์ทรมาณมาหลายปี ที่สุดก็เสียชีวิตลง
สำหรับ ประวัติเด็กหญิง ซาดาโกะ ซาซากิ (Sadako Sasaki) เกิดเมื่อวันที่ 7 มกราคม 1943 ที่เมืองฮิโรชิมา ประเทศญี่ปุ่น ต่อมาในวันที่ 6 สิงหาคม 1945 ขณะที่เธอมีอายุได้เพียง 2 ขวบ เครื่องบินของกองทัพสหรัฐอเมริกาได้ทิ้งระเบิดปรมาณูลูกแรกของโลกที่มีชื่อว่า “Little Boy” ใส่เมืองฮิโรชิมา โดยจุดที่ระเบิดตกลงมานั้นอยู่ไม่ไกลจากบ้านของเธอ ตลอดระยะเวลา 10 ปีหลังจากนั้นเธอต้องกลายเป็นหนึ่งในเหยื่อที่ต้องเจ็บป่วยด้วยอาการโรคมะเร็งในเม็ดเลือดขาว หรือ ลูคีเมีย จากผลของสารกัมมันตภาพรังสีจากระเบิดนิวเคลียร์ในครั้งนั้นนั่นเอง หลังจากที่เธอต่อสู้กับโรคร้ายมานาน ในที่สุด เด็กหญิงซาดาโกะก็ได้เสียชีวิตลงในวันที่ 25 ตุลาคม1955 ขณะอายุได้ 12 ปี
สิ่งหนึ่งที่ทั่วโลกจดจำได้เกี่ยวกับเด็กหญิงชาวญี่ปุ่นผู้นี้ คือความพยายามในการพับกระดาษเป็นนกกระเรียนของเธอตามความเชื่อโบราณของชาวญี่ปุ่นที่ว่า “ถ้าหากว่าคนที่เจ็บป่วยสามารถพับนกกระเรียนได้ถึงพันตัว สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทำให้คนนั้นกลับมามีสุขภาพแข็งแรงอีกครั้งหนึ่ง เพราะนกกระเรียนเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่จะมีอายุถึงพันปี”
ตอนที่เธอเสียชีวิตนั้น เธอเพิ่งพับนกกระเรียนได้ 644 ตัวเท่านั้นทำให้ในวันประกอบพิธีศพเพื่อนๆ ของเธอต้องร่วมกันพับนกให้ครบหนึ่งพันแล้วจึงนำไปฝังพร้อมกับร่างของ ซาดาโกะ