ถ้าเอ่ยถึงวิญญาณสมัยโบราณ หรือภูตผีที่ยังไม่ได้ไปผุดไปเกิดนับร้อยๆ ปีมาแล้ว ส่วนมากมักจะนึกถึงเมืองหลวงเก่าของเราคืออยุธยากับจังหวัดใกล้เคียง เช่น สิงห์บุรี หรือสุพรรณบุรี อ่างทอง เป็นต้น
แน่ล่ะค่ะ ไม่ว่าใครก็ทราบดีว่าย่านนั้นเคยเป็นยุทธภูมิโชกเลือดระหว่างไทยกับพม่า บาดเจ็บล้มตายกันนับพันนับหมื่น ซากศพก่ายเกยและทับถมจมดินมากมายเหลือคณานับ
เชื่อกันว่า วิญญาณที่เจ็บปวด ทนทุกข์ทรมานก่อนจะด่าวดิ้นสิ้นใจยังสิงสู่อยู่ที่เรือนตาย วันดีคืนดีก็ปรากฏให้คนเห็นในรูปแบบต่างๆ เป็นที่กล่าวขวัญกันตลอดมาช้านาน
แต่ส่วนใหญ่มักจะลืมไปว่าจังหวัดปราจีนบุรีก็เคยเป็นสนามรบละเลงเลือดของไทย กับพม่าเช่นกัน นักรบที่บาดเจ็บล้มตายตามทุ่งไร่ทุ่งนามากมาย ล้วนแต่เคยแผดร้องโอดโอยโหยหวนด้วยความเจ็บปวดสุดขีด ก่อนวิญญาณจะโลดลิ่วออกจากร่างกันทั้งนั้น!
วันนี้จะเล่าเรื่องผีดุของนักรบในอดีตสู่กันฟังนะคะ
สมัยเด็กดิฉันอยู่อำเภอศรีมหาโพธิ ปราจีนบุรี ได้ฟังผู้ใหญ่เล่าถึงเรื่องแปลกๆ ที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง เช่น การทำไร่ทำนา โคนต้นไม้ แม้แต่การขุดหลุมลงเสาเรือนก็มักจะพบของโบราณ ตั้งแต่ถ้วยชามรามไห มีดพกจนถึงดาบสั้นดาบยาว ล้วนแต่ขึ้นสนิมผุกร่อน เป็นการบ่งบอกว่าจมอยู่ใต้ดินเนิ่นนานนับร้อยปีมาแล้วทั้งสิ้น
ส่วนเรื่องผีๆ สางๆ ที่ทำให้เด็กๆ อย่างพวกเราถึงกับอ้าปากค้าง ทำตาโตด้วยความตื่นเต้นไปตามๆ กันก็มีค่ะ!
นั่นคือตกดึกเงียบสงัด หลายๆ คนต้องสะดุ้งตื่น เพราะได้ยินเสียงควบม้าดังกึกก้องใกล้เข้ามาหาหมู่บ้าน ตอนแรกก็นึกว่าเป็นพวกโจรผู้ร้ายจะมาปล้นสะดม แต่เอะใจที่ทำไมถึงมีม้ามากมายนับร้อยๆ ตัวก็ว่าได้...
กองทัพพระยาตากที่แหกหักวงล้อมของพม่าจากกรุงศรีอยุธยา ห้อตะบึงมาทางนี้ หรือไม่ก็เป็นเสียงกองทหารม้าของพม่าข้าศึกที่ไล่ตามกระชั้นชิดเข้ามาทุกที แล้ว
ในที่สุดก็หายเงียบไปในรัตติกาลอันเยือกเย็นจับใจ!
บางคืนมีเสียงเอะอะเกรียวกราว เสียงโห่ฮึกคึกคะนอง ตามด้วยเสียงคมดาบปะทะกันฉาดฉับ ตามด้วยเสียงร้องโอดโอยโหยหวน บ่งบอกถึงความเจ็บปวดเพราะโดนคมอาวุธจนด่าวดิ้นสิ้นใจ
...ไม่มีใครกล้าลุกออกมาดูให้รู้แน่หรอกค่ะ นอกจากจะนอนคลุมโปงเหงื่อหยดเผาะๆ สวดมนต์ผิดๆ ถูกๆ เพราะความหวาดหวั่นพรั่นพรึง...จนกว่าเสียงสยองจะเงียบหายไปกับสายลมที่คร่ำ ครวญหวีดหวิว ฟังเผินๆ เหมือนเสียงใครกำลังสะอึกสะอื้น หรือถอนใจยาวด้วยเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าอย่างเหลือประมาณ!
เมื่อดิฉันเติบโตขึ้น จึงได้รับฟังรายละเอียดว่าพระยาตาก หรือพระเจ้าตากสินในเวลาต่อมา เห็นว่ากรุงศรีอยุธยาไม่อาจจะต้านทานพม่าข้าศึกได้แล้ว จึงนำทหารม้าห้าร้อยนายตีฝ่าวงล้อมศัตรูออกมา...
มุ่งหน้าเข้านครนายกแล้วตัดตรงเข้าศรีมหาโพธิ มีข้าศึกจำนวนมากไล่ตามมากระชั้นชิด หวังจะปราบปรามให้หมดสิ้นเสี้ยนหนามตลอดกาล
กำลังของพม่ามีจำนวนมากกว่า พระยาตากจึงวางอุบายทำเป็นคุมทหารเข้าโรมรันด้วยปัจจามิตร แต่ไม่อาจต้านทานได้จึงล่าถอยออกไป ฝ่ายพม่าหารู้ทันไม่ก็เร่งเร้าไพร่พลให้ติดตามเผด็จศึกแต่โดยพลัน!
พระยาตากตั้งปืนใหญ่รอคอยไว้ก่อนแล้ว ครั้นสบโอกาสก็ระดมยิงเข้าใส่พม่า จนบาดเจ็บล้มตายมากมาย เลือดไหลนองไปทั้งพื้นพสุธาศรีมหาโพธิ...ข้าศึกจนปัญญาและสิ้นกำลังใจจนต้อง ล่าถอย ปล่อยให้พระยาตากนำไพร่พลไปถึงชลบุรีและระยองเป็นลำดับ
ว่ากันว่า วิญญาณทหารพม่านับร้อยยังไม่สิ้นเวร จึงได้วนเวียนสิงสู่อยู่ที่เรือนตายของตน วันดีคืนดีส่งเสียงหวีดร้องโหยหวนบ้าง ปรากฏร่างขึ้นมาขอส่วนบุญบ้าง...
จนกระทั่งศรีมหาโพธิเจริญขึ้นตามกาลเวลา บ้านช่องและตึกรามหนาตา ร้านค้าต่างๆ ก็ผุดขึ้นคึกคัก ผู้คนคับคั่ง ทุ่งนาป่าเขานับวันจะร่อยหรอลงไปทุกที...วิญญาณทหารพม่าที่เคยปรากฏก็ค่อยๆ เลือนรางจางหายไป...แต่นึกถึงเรื่องนี้แล้วก็ขนหัวลุกค่ะ!