"มัธยันต์" เล่าเรื่องขนหัวลุกจากแดนสนธยา
หนทางไกลและเลือน สรรพสิ่งมีแต่ความสลัวราง มีแต่เสียงสายลมพัดหวีดหวิว ยอดไม้สะบัดกิ่งใบซู่ซ่าเกรียวกราว บางครั้งก็กลับเงียบเชียบ ก่อนจะมีเสียงหวีดร้องแหลมเล็กดังล่องลอยมาจากที่ไกลๆ ไม่ผิดกับเสียงเปรตขอส่วนบุญ
เดือนฉายเหลียวซ้ายแลขวาด้วยความตื่นตระหนก อกใจสั่นระรัวราวกับจะพังทลายออกมา ซอยเท้าถี่เร็วจนต้องหอบหายใจด้วยความเหน็ดเหนื่อย หวั่นหวาดสุดขีด
"นี่ฉันมาอยู่ที่ไหนกัน?" หญิงสาวได้แต่ถามตัวเองซ้ำๆ ซากๆ ให้ตายเถอะ! หล่อนกำลังนอนหลับผาสุกอยู่บนเตียงอบอุ่นในบ้านของตัวเองแท้ๆ แต่ทำไมกลับตื่นขึ้นมาตกอยู่ในป่าดิบดงดำ บรรยากาศน่าพรั่นสยองประหนึ่งตกอยู่ในนรกอเวจี?
"ฉันคงกำลังฝันร้ายน่ะ...ไม่ใช่ความจริงหรอก มันเป็นแค่ความฝันน่าสยองเท่านั้นเอง! ไม่ช้าฉันก็จะตื่นขึ้นมาพบกับแสงแดดอบอุ่นของวันใหม่แล้ว..."
ทันใดนั้น เสียงหัวเราะกึกก้องก็ดังกระหึ่มมาจากเบื้องบน เดือนฉายตกใจจนหวิดเซถลาไปล้มที่ข้างทางเปียกชุ่ม เฉอะแฉะเหมือนฝนเพิ่งขาดเม็ด...เสียงหัวเราะเขย่าขวัญนั่นยิ่งดังลั่น สะท้อนสะท้านมาจากทุกทิศทุกทาง
"ผีบ้าที่ไหนมาหลอกหลอนฉันในความฝันนะ?" หล่อนร้องร่ำ แทบจะปล่อยโฮออกมาด้วยความอกสั่นขวัญหาย...ขณะที่มองเห็นต้นไม้ใหญ่ทะมึนอยู่ตรงหน้า
ฉับพลันนั้นเอง ร่างของผีเปรตก็หล่นลิ่วลงมาห้อยหัวอยู่ตรงหน้า ดวงตาแดงก่ำจ้องมองหล่อนเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ ขาทั้งสองของมันเกี่ยวอยู่บนกิ่งไม้ แลบลิ้นยาวเฟื้อยราวกับงูปีศาจในเทพนิยาย...เดือนฉายกรีดร้องสุดเสียง หลับหูหลับตาแผดร้องพร้อมกับวิ่งเตลิดเหมือนคนวิกลจริต ล้มลุกคลุกคลานจนเนื้อตัวเปรอะเปื้อนด้วยดินและหญ้าเปียกชุ่ม
"ช่วยด้วย! ไปให้พ้น ไอ้ผีบ้า! ฉันกลัวแล้ว..."
เสียงหัวเราะเขย่าขวัญดังไล่หลังมาก่อนจะค่อยจางหาย...เดือนฉายลืมตาขึ้นอีกครั้งก็เห็นเด็กหัวจุกปล่อยผมรุ่ยร่าย นุ่งกางเกงขาสั้นตัวเดียว อวดซี่โครงเหมือนลูกระนาด กำลังยืนเท้าเอวจ้องมองหล่อนมาด้วยนัยน์ตาแดงฉานเหมือนถ่านไฟแดงๆ
"จะไปไหนจ๊ะ..." เสียงแหบห้าวไม่ผิดกับเสียงผู้ใหญ่ทำให้หล่อนรู้ดีว่ามันคือปีศาจอีกตนที่กำลังคอยหลอกหลอนหล่อนเป็นครั้งที่สอง
"โอย...กลัวแล้ว! อย่าทำอะไรฉันเลย..." หญิงสาวร้องร่ำ เด็กจากอเวจีแหงนหน้าหัวเราะร่า ทำให้หล่อนต้องเตลิดหนีเหมือนคนสติแตก...วิ่งเตลิดไปจนสะดุดรากไม้ หัวทิ่มโครมลงไปที่พงหญ้าใต้ซุ้มไม้ใบหนา...ครั้นใช้สองมือพยุงกายขึ้นมา น้ำตาไหลอาบหน้าก็พบกับภาพสยองเป็นครั้งที่สาม
...หญิงเฒ่าเหี่ยวย่นไม่ผิดกับเปลือกส้มโอตากแดด ผมสีเทาเป็นกระเซิง นัยน์ตาจมลึกอยู่ในเบ้าฉายแววเจ้าเล่ห์แสนกล แก้มบุบบุ๋มจนเป็นหลุมลึก จมูกงองุ้ม ปากยุบเพราะไร้ฟัน ทำให้คางยื่นยาวออกมาไม่ต่างอะไรกับแม่มดในนิยาย
"กลัวหรือ แม่หนู? เหอๆๆ" เดือนฉายแทบจะปล่อยโฮ อ่อนล้าหมดเรี่ยวแรง จะขยับเขยื้อน เพราะหญิงเฒ่าสุดแสนอัปลักษณ์นั่นนั่งใกล้ชิด ได้กลิ่นเหม็นสาบเหม็นสางจนแทบสำลัก...แสงสลัวจากที่ใดไม่ปรากฏทำให้หน้าตาของยายแม่มดยิ่งดูน่าเกลียดน่ากลัวทวีคูณ?
"หนูกลัวแล้ว ยายจ๋า..." น้ำตาไหลพรากอาบแก้ม พนมมือไหว้สั่นระริก แต่ยายเฒ่าหัวเราะชอบอกชอบใจจนตัวโยน
"อย่ากลัวไปเลย แม่หนูเอ๊ย! แต่ก่อนยายก็เคยเป็นสาวเหมือนแม่หนูนี่แหละ หน้าตาขาวผ่องสะสวย ท่อนแขนกลมกลึง หน้าอกตึงเต่งเหมือนดอกบัวแรกผลิ ไม่ใช่เหี่ยวแห้งอย่างตอนนี้ สะโพกก็ผึ่งผายงอนงาม ขาอ่อนอวบขาวเหมือนงาช้าง เจ้าพวกผู้ชายมองเห็นเข้าก็ตะลึงลานไปตามๆกัน...เหอๆๆๆ"
ยายแก่กาลีหัวเราะชอบอกชอบใจอีกครั้งก่อนจะยกมือที่มีแต่หนังหุ้มกระดูก เส้นเอ็นปูดโปน ยื่นมาตรงหน้าหล่อน
"ดูเถอะ! ดูให้เต็มตาว่าแก่ตัวเข้าจะเป็นยังไง ยายเคยเป็นสาวสวยเหมือนแม่หนู แต่อีกไม่นานแม่หนูก็จะเหี่ยวแห้งเป็นยายแก่แร้งทึ้งอย่างยายนี่แหละ! เหอๆๆๆ อย่ากลัวไปเลย"
"แต่...หนูกลัว..." เดือนฉายกลืนน้ำลายยากเย็น ขณะที่เริ่มเข้าใจอะไรขึ้นรางๆ "นี่หนูตายไปแล้วใช่ไหม? เราอยู่ที่ไหนกันคะยาย? หรือในนรก..."
"ยัง! แต่ก็จวนแล้วละ...ไปกันเถอะ" แกฉุดมือหล่อนให้ลุกขึ้นมา "ไปด้วยกัน ยายจะพาแม่หนูไปเอง...หายกลัวแล้วใช่มั้ยล่ะ? ไม่มีใครหนีพ้นหรอก จะมัวกลัวมันไปทำไม?"
ว่าแล้วหญิงเฒ่าร่างร้ายก็จูงมือเดือนฉายมุ่งหน้าไปตามทางสายเปลี่ยว...แต่หญิงสาวเพิ่งตระหนักว่าความหวาดกลัวจางหายไปแล้ว ขณะที่เดินตามแกไปตามหนทางที่ไกลและเลือน...ที่ไม่มีใครอาจประจักษ์แจ้งเลยตลอดกาล!