อะไรเอ่ย ที่คนสนใจใคร่รู้ แต่ถ้าจะให้ดูให้เห็นกันแบบจะจะ ก็มักไม่ค่อยอยากจะเจอสักเท่าไหร่ คำตอบคือ "ผี" นั่นไง แล้วผีคืออะไร เชื่อว่าท่านผู้อ่านก็ยังสงสัยอยู่แน่ๆ
จากพจนานุกรม ราชบัณฑิตยสถาน ได้ให้ ความหมายของคำว่า "ผี" ไว้ว่า "สิ่งที่มนุษย์เชื่อว่าเป็นสภาพลึกลับ มองไม่เห็นตัว แต่อาจจะปรากฏเหมือนมีตัวตนได้ อาจให้คุณหรือโทษได้ มีทั้งดีและร้าย เช่น ผีปู่ย่าตายาย ผีเรือน ผีห่า, เรียกคนที่ตายไปแล้ว" สรุปง่ายๆ ว่า ไม่ว่าอย่างไร ผี ก็ยังคงเป็นสิ่งลึกลับที่ไม่มีใครรู้แน่ แต่ (ส่วนใหญ่) ก็ขอกลัวเอาไว้ก่อน
แม้คนส่วนใหญ่จะไม่เคยเห็นผี แต่ทุกวันนี้ เราก็ "คุ้น" กับผีดี เพราะสื่อหลายสื่อ ไม่ว่าจะเป็นหนังสือ ภาพยนตร์จอแก้ว จอเงิน ฯลฯ ล้วนแล้วแต่รังสรรค์ผีในรูปแบบต่างๆ มาให้ได้สะดุ้งเฮือกกันเสมอๆ
ในบรรดาผีชนิดต่างๆ ตัวที่น่าเกลียดน่ากลัว ประเภทที่ว่าโผล่มาทีไรเด็กเล็กเป็นต้องร้องไห้จ้า เห็นจะไม่มีใครเกิน "แฟรงเกนสไตน์" ด้วยหน้าตาที่เป็นสัญลักษณ์ของผีดิบ แถมมีรอยปะ รอยเย็บ มีนอตที่หัว ทำให้แฟรงเกนสไตน์เป็นตัวแทนของผีในลำดับต้นๆ
แต่แฟรงเกนสไตน์เป็นผีจริงหรือ หากจะตอบคำถามนี้ คงต้องย้อนไปที่ต้นตอของเรื่อง แม้ว่าเรื่องเกี่ยวกับผีดิบจะมีมานานแล้ว ในหลากหลายวัฒนธรรม หลายประเทศที่มักจะมีเรื่องเล่าถึงคนที่ตายไปแล้ว แต่วันร้ายคืนร้ายก็ยังมาเดินท่อมๆ ให้เห็นเหมือนตัวเป็นๆ และเรียกขานกันว่าผีดิบ แต่กรณีของแฟรงเกนสไตน์นั้นแตกต่างไป ประการแรก แฟรงเกนสไตน์ไม่ใช่เรื่องเล่าลือ แต่เป็นนิยายจากปลายปากกาของแมรี เชลลี ซึ่งประพันธ์ขึ้นในปี ค.ศ.1818 ดังนั้นนี่จึงเป็นเรื่องแต่งล้วนๆ
อีกประการหนึ่ง แฟรงเกนสไตน์ไม่ใช่ผี แต่มีความเข้าใจผิดกันมากว่า เจ้าตัวประหลาดหน้าตาน่ากลัวนั้นชื่อแฟรงเกนสไตน์ ทั้งๆ ที่ในนิยายนั้น แฟรงเกนสไตน์คือชื่อของนักวิทยาศาสตร์ผู้ที่สร้างเจ้าตัวประหลาดนั้นขึ้นมา ต่างหาก เขาใช้เทคนิควิธีทางวิทยาศาสตร์ โดยใช้กระแสไฟฟ้าปลุกร่างที่เกิดจากซากไร้ชีวิตให้ลุกขึ้นมาเดินเหินได้ แต่เมื่อเจ้าสิ่งนั้นโหยหาความรัก ความเมตตา และความเป็นเพื่อน กลับไม่มีใครมอบให้ เรื่องจึงกลายเป็นโศกนาฏกรรม
เรื่องราวอันโด่งดังของแฟรงเกนสไตน์ กลายเป็นเรื่องที่ตราตรึงอยู่ในความทรงจำของคนทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อมันถูกสร้างเป็นภาพยนตร์มาแล้วหลายต่อหลายครั้ง ตั้งแต่ปี ค.ศ.1910 เป็นต้นมา ถึงปัจจุบันนี้ก็ยังคงมีคนนำภาพลักษณ์ของเจ้าตัวประหลาดนี้ไปใส่ไว้ในหนัง หลายเรื่อง ทำให้มันยังคงเป็นผีที่อยู่ในกระแสเสมอ และกลายเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของคำว่าผีดิบไปโดยปริยาย
ผีอีกตัวหนึ่งที่คนทั่วโลกรู้จักกันดีคือ แวมไพร์ หรือ ผีดูดเลือด ซึ่งไม่ต่างจากผีดิบ ในแง่ที่ว่ามีเรื่องเล่ามากมายในหลายประเทศเกี่ยวกับคนที่ตายไปแล้ว แต่กลับมาและอยู่ได้ด้วยเลือด ในสมัยก่อนมักจะลือกันว่า ผีดูดเลือดจะกลับมาหาคนรัก และเมื่อไหร่ก็ตามที่มีผีดูดเลือดมาเยือนหมู่บ้านนั้นก็จะมีแต่ความตาย
ในช่วงต้นศตวรรษที่ 18 ชาวยุโรปหลายประเทศกลัวผีดูดเลือดกันมาก ขนาดที่ว่า หากเกิดความกังวลใจว่าใครตายไปแล้วจะกลายเป็นผีดูดเลือด ก็จะป้องกันไว้ก่อน ด้วยการตอกหมุดปักศพเอาไว้เสียเลย จะได้ไม่ลุกมาเพ่นพ่านทีหลัง
เรื่องของผีดูดเลือดโด่งดังขึ้น เมื่อมีนักเขียนชื่อ จอห์น โพลิโดรี่ เขียนเรื่องแวมไพร์ ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับผู้ที่ดำรงตนอยู่ด้วยเลือดขึ้นใน ค.ศ.1819 และหลังจากนั้น คำว่าแวมไพร์ก็กลายเป็นคำฮิตที่เอาไว้เรียกผีดูดเลือด
แต่ผีดูดเลือดที่โด่งดังที่สุด เห็นจะหนีไม่พ้น แดร็กคิวลา ท่านเคานท์ที่มาในชุดเสื้อคลุมยาวสีดำ มีเขี้ยวน่ากลัว ชอบลักพาตัวสาวๆ ไปดูดเลือด ซึ่งเป็นเรื่องที่มีที่มาจากนิยายอีกเช่นกัน นั่นคือเรื่องจากฝีมือของบราม สโตเกอร์ ผู้บรรจงเขียนให้เคานท์ แดร็กคิวลา เป็นผีดูดเลือดที่ดูเป็นจริงเป็นจังในปี ค.ศ.1897 และกลายเป็นสัญลักษณ์เจ้าแห่งผีมานับแต่นั้น
หลังจากความโด่งดังของแดร็กคิวลา ก็มีการสืบเสาะเพิ่มเติม และเป็นที่คาดกันว่า บราม สโตเกอร์ ได้แรงบันดาลใจเรื่องนี้มาจากประวัติศาสตร์ของทรานซิลวาเนีย ว่าด้วยเรื่องของเจ้าชายวลาดที่ 3 แดร็กคิวลา ซึ่งเป็นผู้ปกครองที่โหดเหี้ยมในสมัยศตวรรษที่ 15 ว่ากันว่า วลาดฆ่าคนด้วยวิธีพิสดารต่างๆ ไปประมาณ 2-4 หมื่นคนเลยทีเดียว
แต่หากลืมเรื่องประวัติศาสตร์ไป แดร็กคิวลาก็เป็นผีที่โด่งดังมากที่สุดอีกตัวหนึ่ง เกิดการสร้างภาพยนตร์ตามมาอีกหลายเรื่อง และแดร็กคิวลาก็ดูเหมือนจะเป็นเจ้าแห่งแวมไพร์ไปในที่สุด
อันว่าแวมไพร์นี้ นับตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ 10 กว่าๆ เป็นต้นมา ก็มีการพัฒนาความเชื่อไปมากมาย เช่น แวมไพร์สามารถแปลงกายได้หลายรูปแบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแปลงกายเป็นค้างคาว นอกจากนี้ สิ่งที่น่ากลัวที่สุดของแวมไพร์ เห็นจะเป็น "การถ่ายทอด" เพราะไม่เพียงแต่แวมไพร์จะดูดเลือดคนเท่านั้น แต่ยังสามารถทำให้เหยื่อกลายเป็นผีดูดเลือดไปด้วยได้
การถ่ายทอดความเป็นผีแบบนี้ บ้านเราก็มีเหมือนกัน นั่นคือ ผีกระสือ ที่เชื่อกันว่า สามารถถ่ายทอดกันได้ทางน้ำลาย
กระสือเป็นผีผู้หญิง ที่ยามกลางวันก็เป็นเหมือนคนทั่วไป แต่พอกลางดึก ก็จะถอดหัว พร้อมอวัยวะภายในต่างๆ บินลอยไปลอยมาได้ เรียกว่า ไส้ห้อยต่องแต่งไปไหนต่อไปพร้อมแสงแว้บ...แวบ...ให้คนตกใจเล่น
แต่เห็นน่ากลัวอย่างนี้ กระสือก็ไม่เป็นอันตรายกับคน นอกจากทำให้หัวโกร๋นเท่านั้น อาหารของกระสือคือ สัตว์เล็ก สัตว์น้อย รวมถึงสิ่งปฏิกูลอย่างอุจจาระ แต่ถึงจะไม่กินคน แต่คนส่วนใหญ่ก็คงคิดว่า อย่าให้ได้เจอะได้เจอกระสือเลยจะเป็นดีที่สุด
นอกจากจะถ่ายทอดความเป็นผีกันได้แล้ว สิ่งที่กระสือเหมือนกับแวมไพร์ อีกอย่างคือ มีการสร้างหนัง สร้างละครกันมามากต่อมากหลายเรื่อง โดยกระสือที่บ้านเรารู้จักกันดีที่สุดตัวหนึ่งน่าจะเป็น "ยายสาย" ที่เคยเป็นละครดัง และทำเอาเด็กๆ กลัวกันไปทั้งบ้านทั้งเมือง
ย้อนกลับไปหาผีฝรั่งอีกหน ผีที่เด็กเห็นแล้วร้องไห้อีกตัวหนึ่ง น่าจะเป็น เฟรดดี้ ครูเกอร์ ผีในความฝันที่โด่งดังมานาน นับตั้งแต่มีการสร้างภาพยนตร์เรื่อง A Nightmare on Elm Street ออกฉายใน ค.ศ.1984
อันที่จริง เฟรดดี้เคยเป็นคนมาก่อน สมัยเป็นคนก็โหดเหี้ยม เป็นฆาตกรต่อเนื่อง ซึ่งถูกชาวบ้านรุมกันจับเผา และก่อนตาย ซาตานก็มามอบข้อเสนอให้เขาได้เป็นผีอมตะ ที่สามารถเข้าไปหลอกผู้คนในฝัน แล้วทำให้มันเป็นจริง ว่าแล้วเฟรดดี้ก็โผล่เข้าไปหลอกหลอนคนในความฝันอย่างสุดสยองจนหลายคนไม่กล้า เข้านอน
บ้านเราเองก็ใช่ย่อย เฟรดดี้ ครูเกอร์ ที่ว่าแน่ๆ มีแล้ว 6 ภาค แต่หนังผีของเราเด็ดกว่า อย่างบ้านผีปอบ ที่เริ่มสร้างครั้งแรก พ.ศ.2532 แล้วก็มีต่อมาอีกเรื่อยๆ
หนังบ้านผีปอบ ทำให้ชื่อของ "ปอบหยิบ" กลายเป็นตัวแทนของปอบ ซึ่งไม่ต่างจากเฟรดดี้ ครูเกอร์ นั่นคือ ปอบหยิบโผล่มาทีไร เด็กเล็กเป็นต้องร้องจ้า...