สูตรลึกลับของเครื่องดื่ม โคคา-โคล่า

สูตรลึกลับของเครื่องดื่ม โคคา-โคล่า

 

บริษัท ทรัสต์ คอมพานี แห่งรัฐจอร์เจีย ประเทศสหรัฐฯ
เป็นที่เก็บสูตรลับของเครื่องดื่มที่เป็นที่นิยมมากที่สุดในโลกชนิดหนึ่งที่ มีชื่อว่า โคคา-โคล่า หรือคนทั่วไปเรียกว่า โค้ก

สูตรลับนี้มีผู้ที่สามารถเปิดดูได้เพียงคนเดียวเท่านั้นคือผู้อำนวยการบริ ษัท
ถึงแม้จะมีผู้จัดจำหน่ายอยู่หลายแห่งทั่วโลก แต่ไม่มีสักรายที่ล่วงรู้ส่วนผสมที่แท้จริง
เพราะบริษัทจะจัดส่งหัวเชื้อซึ่งเป็นน้ำเชื่อมและส่วนผสมอื่นๆให้ผู้แทน จำหน่ายไปผสมกับน้ำโซดา
แม้กระทั่งรัฐบาลสหรัฐฯ ก็ไม่สามารถล่วงรู้สูตรลับของโคคา-โคล่า ได้

ปี ค.ศ.1983 นักเขียนอเมริกัน วิลเลียม พาวน์สโตน
ตีพิมพ์ผลงานที่มีความยากลำบากในการค้นคว้าชื่อว่า Top Secret เขาบอกว่า
ส่วนผสมหลักของโค้ก บริษัทจะกำหนดเป็นส่วนผสมหมายเลข 1-9 และเรียกว่าเป็นสินค้านั้น มีดังนี้คือ
1.น้ำตาล
2.น้ำตาลไหม้
3.กาเฟอีน(ไร้กาเฟอีน)
4.กรดฟอสฟอริก
5.สารสกัดจากใบโคคา(สกัดเอาโคเคนออกแล้ว) และสารสกัดจากเมล็ดโคลาปริมาณเล็กน้อย
6.กรดน้ำส้ม และโซเดียมไซเทรต
7X.มะนาวฝรั่ง ส้ม มะนาว แคสเซีย(cassia คืออบเชยชนิดหนึ่ง) น้ำมันลูกจันทร์เทศ และสารอื่นๆ
8.กลีเซอรีน
9.วานิลลา

การวิเคราะห์สารเคมีทำให้รู้ส่วนผสมบางอย่าง
แต่ส่วนที่ค้นพบยากที่สุดคือส่วนที่เป็นหัวน้ำมันหอมระเหยในสินค้าหมายเลย 7X (ไม่มีคำอธิบายความหมายของ X)

การนำเอาหัว เชื้อเหล่านี้มาผสมกันใช่ว่าจะได้กลิ่นและรสชาติตามสูตรของโคคา-โคล่า
เพราะน้ำมันเหล่านี้จะทำปฏิกิริยากันเกิดเป็นกลิ่นและรสชาติอื่นๆ ได้อีก
การที่จะลอกเลียนแบบต้องรู้ส่วนผสมและสัดส่วนที่แท้จริง
ซึ่งยากในการวิเคราะห์ ด้วยเหตุนี้ส่วนผสมก็ยังคงเป็นความลับสุดยอดของโคคา-โคล่า จนถึงทุกวันนี้

เครื่องดื่มที่ติดปากของคนทั่วโลก
ดร.จอห์น เอส เพมเบอร์ตัน เป็นผู้คิดค้นสูตรดั้งเดิมของโคคา-โคล่า
เขาเป็นเภสัชกรที่แอตแลนตา จอร์เจีย ในปี ค.ศ.1885
เขานำเอาเครื่องดื่มที่ผสมเหล้าองุ่นแดงมาดัดแปลโดยผสมใบโคคาลงไปด้วย
ซึ่งโคคามีสารที่กระตุ้นประสาทที่เรียกว่าโคเคน
แต่กลับขายไม่ดี เขาจึงปรับปรุงสูตรอีกโดยเอาลูกโคลามาแทนเหล้าองุ่นแดง
ซึ่งโคลานี้เป็นโคลาพันธุ์แอฟริกา
มีสารประตุ้นประสาทที่เรียกว่า กาเฟอีน เข้าได้เติมน้ำตาลและแต่งกลิ่นไม่ให้ขม

สัญลักษณ์โคคา-โคล่า เป็นการออกแบบของหุ้นส่วนที่ชื่อว่า
แฟรงค์ เอ็ม โรบินสัน เมื่อปี 1887 เพมเบอร์ตันขายสูตรนี้ให้ วิลลิส อี เวเนเบิล
และ จอร์จ เอส ลอนเดส และอีก 5 เดือนต่อมาก็ขายต่อให้ วูลโฟล์ค วอล์เคอร์ และ เอ็ม ซี โดเซียร์
และต่อมาอีก 1 ปี ก็ขายให้ เอซา จี แคนด์เลอร์

ซึ่งเพมเบอร์ตันก็ถึงแก่กรรมในปีนั้น แคนด์เลอร์ได้ผสมส่วนผสมนี้กับน้ำโซดา
และคิดว่าต้องเป็นเครื่องดื่มที่คนนิยมอย่างมาก จึงได้เก็บสูตรนี้ไว้เป็นความลับ แคนด์เลอร์ได้ปรับปรุงสูตรใหม่อีก
และรับแฟรงค์ เอ็ม โรบินสัน เข้าเป็นหุ้นส่วน และได้ก่อตั้งบริษัทโคคา-โคล่า ในปี 1892 จนถึงปี 1903
ก็มีเพียง 2 คนเท่านั้นที่รู้สูตรของเครื่องดื่มชนิดนี้ และมีสิทธิ์ในการผสมน้ำเชื่อมในห้องลับ

เขาได้แกะฉลากส่วนผสมต่างๆ ออกและชำระเงินด้วยตัวเองเพื่อไม่ให้ฝ่ายบัญชีรู้ว่าซื้อส่วนผสมอะไรมา
เมื่อบริษัทเติบโตขึ้น เขาทั้งสองคนไม่สามารถผสมส่วนผสมต่างๆ ได้ด้วยตัวเองอีก
เขาจึงกำหนดหมายเลข 1-9 เพื่อใช้เรียกชื่อส่วนผสม

ผู้จัดการสาขาจะรู้เพียงสัดส่วนและวิธีผสมเท่านั้น เมื่อปี 1909 รัฐบาลสหรัฐฯ
ยื่นฟ้องบริษัทว่าใช้ส่วนผสมที่มีโคคาอยู่ด้วย ซึ่งอาจจะมีโคเคนผสมอยู่
คดียืดเยื้อกว่า 10 ปี แต่ก็ไม่มีใครสามารถยืนยันได้ว่าในส่วนผสมพบโคเคนอยู่ในสารสกัดโคคาหรือโคลา แม้แต่น้อยนิด

วิลเลียม พาวน์สโตน กล่าวในหนังสือ Top Secret ว่า
ในโคคา-โคล่า มีส่วนผสม โคคา หรือ โคลา เพียงนิดเดียว ซึ่งไม่มีผลต่อรสชาติสักเท่าใด

ในสงครามโลกครั้งที่ 2 กองกำลังฝ่ายพันธมิตรในแอฟริกา

ได้สั่งซื้อโคคา-โคล่า จำนวนถึง 3 ล้านขวด ส่วนโคคา-โคล่าที่เป็นกระป๋องพึ่งมีในปี 1955


26 มี.ค. 54 เวลา 10:03 2,939 7 120
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...