มติชนออนไลน์" สัมภาษณ์พิเศษ ดร.อานนท์ สนิทวงศ์ ณ
อยุธยา รักษาการผู้อำนวยการสำนัก
งานเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (สทอภ.) และผู้อำนวยการศูนย์เครือข่ายงานวิเคราะห์
วิจัย และฝึกอบรมการเปลี่ยนแปลงของโลกแห่งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
Q: หลังเกิดโศกนาฎกรรมสึนามิในญี่ปุ่น คนไทย วิตกกังวลเรื่องภัยพิบัติกันมาก รู้สึกว่า เป็นภัยใกล้ตัวเข้ามาทุกที
A: เวลาเกิดภัยพิบัติ ความเสียหายที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นมวลชน ชีวิต
ทรัพย์สิน หรือมูลค่าทาง
เศรษฐกิจต่างๆ นั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับขนาดของภัย แผ่นดินไหวขนาดเท่ากัน น้ำ
ท่วมขนาดเท่ากัน
หรือสึนามิขนาดเท่ากัน ไม่ได้หมายความว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นจะเท่ากัน
ขนาดของภัยต้นทาง
อาจจะมีผลแค่ 20-30 % ส่วนอีก 60-70% อยู่ที่ความพร้อมในการรับมือ ที่
ญี่ปุ่นในตอนนี้เสียชีวิต
ไปเกือบหมื่น แต่ถ้ากรุงเทพฯไปตั้งอยู่ตรงนั้นอาจจะตายเป็นล้านก็ได้
นั่นเพราะความที่ไม่พร้อม ความที่ไม่ได้ใส่ใจ อาจทำให้เกิดความเสียหายได้
มากกว่าเพราะฉะนั้น
เวลามองประเทศไทย เราจะเห็นได้ว่า ขนาดของภัยเราน้อยกว่าประเทศอื่น
ตลอด แต่ความเสีย
หายที่เกิดขึ้น เราสูสีกับเขา อาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ คือ ปัญหาของเราต้องแก้ที่
ตัวเราเอง
อย่างคนญี่ปุ่นเขาไปห้ามธรรมชาติไม่ได้ เขาแก้ที่ตัวเขาเต็มที่แล้ว ก็ได้แค่นี้
แต่คนไทยไม่ต้อง
ไปแก้ที่ธรรมชาติหรอก เพราะตัวเราเองยังมีช่องว่างให้แก้ได้อีกเยอะเลย ผม
เชื่อว่า ถ้าเรามีขีด
ความสามารถในการรับมือเท่าญี่ปุ่น ความสูญเสียจากภัยพิบัติในประเทศของ
เรา แทบจะไม่มีเลย
Q: แล้วเราจะต้องเตรียมตัวในการรับมืออย่างไรบ้าง?
A: ประการแรกเลย เราต้องเริ่มจากการประเมินความเสี่ยงให้ได้ก่อน ความ
เสี่ยงของเราถึงแม้
จะน้อย แต่ก็มี เหตุการณ์บางอย่างอาจจะ 10 ปีมีครั้งแต่ก็เกิดขึ้นได้ ที่ผ่านมา
เรามักจะคิดว่า 10 ปี
มีครั้ง ฉะนั้นถือว่าไม่มี แต่พอเหตุการณ์เกิดขึ้น เราก็เดือดร้อน เราจึงจำเป็น
ต้องมีความพร้อมที่ เพิ่มขึ้นในการรับมือ
คราวนี้ความพร้อมก็เกิดขึ้นจากหลายอย่าง สิ่งสำคัญประการแรกคือ ความรู้ เรา
ต้องรู้ว่าพื้นที่ของ
เรา มีความเสี่ยงเรื่องอะไร ประเทศเราไม่ได้เสี่ยงทุกเรื่อง ทุกที่ ทุกเวลา พื้นที่นี้
อาจจะเสี่ยงเรื่อง
นี้ และเฉพาะในช่วงเวลานี้ของปี เพราะฉะนั้นทั้งในเชิงพื้นที่ และเวลา เราต้อง
รู้ให้ได้
ประการที่สอง เมื่อรู้แล้ว เราต้องมีแผนเตรียมการรับมือที่เหมาะสม ปัญหาใหญ่
ของบ้านเรา
อีกอย่างหนึ่ง คือ เราชอบ copy คนอื่นมา ไม่ว่าใครจะทำอะไร อย่างไร ก็จะไป
เอาวิธีการของเขา
มาทั้งดุ้น แต่กลับใช้ไม่ได้ผล เขามีหอเตือนภัย เราก็พยายามจะมีบ้าง โดยไม่
ได้คำนึงถึงบริบท หรือปรับให้สอดคล้องกับวิถีชีวิต ความเชื่อ และวัฒนธรรม
ของเรา สิ่งที่ใช้ได้ดีในที่อื่นๆ ไม่ได้หมายความว่าจะใช้ได้ดีกับบ้านเรา ของ
หลายๆอย่างที่สุดท้าย กลายป็นราวตากผ้าก็มีตั้งเยอะ
ประการที่สาม เราต้องรู้จักที่จะลงทุน ต้องรู้สึกว่านี่เป็นเรื่องของความจำเป็น
เป็นปัญหาที่ควรรับมือ อย่าคิดว่าทุกอย่างเป็นภาระ เราต้องมองภาพใหญ่ให้
ออกว่า เวลาลงทุนตรงนี้แล้ว เม็ดเงินที่ใช้ในระยะยาว จะน้อยกว่าการรอให้
ปัญหาเกิดขึ้น แล้วค่อยแก้ไข
Q: เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเราควรจะลงทุนตรงนี้ หรือไม่ควรจะลงทุนตรงนี้ และ
การลงทุนจะคุ้ม ค่า หรือไม่?
A: อย่างที่บอกว่า สิ่งที่เราต้องมี คือ การประเมินความเสี่ยง ซึ่งเป็นเรื่องของ
การศึกษาที่ต้องมี
ความชัดเจนในระดับหนึ่ง แต่ไม่ได้ความว่า เราจะต้องรู้ว่าแผ่นดินไหวจะเกิดวัน
ไหน หรือปีไหน เราไม่สามารถจะพยากรณ์อย่างนั้นได้ แต่อย่างน้อย เราควรจะรู้
ในช่วงกว้าง ๆ ว่า โอกาสที่จะเกิด เหตุการณ์เหล่านี้อยู่ในช่วง 10 ปีมีครั้ง หรือ
100 ปีมีครั้งสิ่งเหล่านี้จะช่วยให้เราตัดสินใจในเรื่องของการจัดการความเสี่ยง
อย่างถ้าเราบอกว่า100 ปีจะมีครั้งหนึ่ง สู้รอให้เกิดขึ้นมาเลยก็น่าจะถูกกว่าไปลง
ทุน แต่ถ้า 10 ปีมีครั้งก็อาจจะคุ้มค่า ผมคิดว่าในประเทศไทย เราพอที่จะหา
ข้อมูลในเรื่องพวกนี้ได้เกือบทั้งหมด แต่ปัญหาอยู่ที่ว่า เวลาเรามีวิกฤตให้แก้
ต่างฝ่ายก็จะมีคำตอบอยู่แล้วว่าจะต้องทำอย่างนั้น อย่างนี้ ทุกคนมีธงของ
ตัวเองเสมอ ถ้าไม่ใช่ธงของฉัน ฉันก็จะไม่รับ การแก้ปัญหาแบบนี้จึงนำไปสู่
ความล้มเหลวในการตกลงร่วมกัน เพราะไม่ได้เอาปัญหาเป็นตัวตั้งไม่ได้มอง
ภาพรวมของวิกฤตที่เกิดขึ้นอย่างกรณีพื้นกรุงเทพและปริมณฑล เรารู้อยู่แล้วว่า
ปัญหาจะรุนแรงมากขึ้นกว่าเดิม เกิดแผ่นดินทรุด น้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้น แต่พอเอา
คนมาพูดคุยกัน กลับหาข้อยุติไม่ได้ พวกที่จะสร้างเขื่อนก็จะสร้าง พวกที่จะ
ปลูกป่าชายเลนก็จะปลูกอย่างเดียว อย่างอื่นไม่สนคือทุกคนมีคำตอบของตัว
เองหมด การแก้ไขปัญหาร่วมกันก็เลยไม่สำเร็จ
Q: หมายความว่า เราไม่มีหน่วยงานที่จะตัดสินใจ หรือมีหน่วยงานเยอะเกินแต่
ไม่มีการ บูรณาการที่ดี อย่างนั้นหรือเปล่า?
A: ใช่...แล้วเราก็ยังขาดส่วนสำคัญอีก 2 ส่วน อย่างแรกคือ เราขาดเวที ไม่ใช่
เวทีแบบที่แค่มานั่งคุย แต่เป็นเวทีในลักษณะของการแก้ปัญหาที่มีความต่อ
เนื่อง และไม่จำเป็นต้องจัดตั้งโดยรัฐเพียงอย่างเดียว อีกอย่างที่สำคัญมาก คือ
ความใจกว้าง เพราะตอนนี้คนไทยใจแคบลงไปทุกที ทุกเรื่องเลย และนับวัน
กรอบนี้ก็จะยิ่งเล็กลงๆ แต่กลับไม่หลอมเป็นหนึ่งเดียวกัน เราก็ไม่รู้จะแก้ปัญหานี้
อย่างไร
Q: สงสัยเราต้องรอให้วิกฤตข้างในเกิดก่อนใช่หรือเปล่า?
A:จริงๆวิกฤตที่เคยเกิดขึ้น เรามักจะแก้ไขปัญหาแบบเฉพาะหน้า ซึ่งคนไทยเก่ง
เรื่องนี้ แต่พอ
ผ่านไปสักปีสองปี ก็เกิดขึ้นใหม่อีกแล้ว คือ เราไม่คิดจะใช้วิกฤตอันนั้นให้เป็น
โอกาส ในการแก้ไข ปัญหาระยะยาว ผมไม่เข้าใจเหมือนกันว่า ทำไมถึงไม่
สามารถทำอะไรให้เกิดความต่อเนื่องได้เสียที
Q: ถ้าแก้ปัญหาโดยให้รัฐบาลเรียกประชุมสักทีหนึ่ง มีนายกรัฐมนตรีนั่งหัวโต๊ะ
แล้วเอาทุกเรื่องมาคุยกัน อย่างนี้จะดีหรือเปล่า?
A: ผมไม่คิดว่าจะแก้ปัญหาได้ ผมไม่คิดว่านายกฯสำหรับเมืองไทย จะเป็นคนที่
มีบารมีหรืออำนาจที่ แท้จริงในการชักจูงคนทั้งหมดได้ เขาชักจูงได้เฉพาะคนที่เขาอาจมีอำนาจชี้ เป็นชี้ตายได้เท่านั้น
Q: เวลาเราเปรียบเทียบกับญี่ปุ่น ทำไมประเทศเขาถึงมีการบริหารจัดการ และ
การรับมือป้องกันวิกฤตต่างๆได้ดี?
A: ผมมองว่าเป็นเพราะความตระหนักส่วนตัว ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมาก นายกฯ
ญี่ปุ่นเขาก็ไม่ได้ มานั่งหัวโต๊ะ คนเขาเป็นอย่างนั้นเองอยู่แล้ว ไม่ต้องมีใครมา
บอก คงเป็นเพราะเป็นค่านิยม ที่หาก
ใครไม่ทำตามนั้น ก็จะถูกมองเป็นคนแปลกแยกจากสังคม
แต่บ้านเราไม่มีค่านิยมแบบนั้น การทำอะไรเพื่อคนอื่น หรือเพื่อส่วนรวมไม่ได้
เป็นสิ่งที่ได้รับการ
ชื่นชมมากเท่าที่ควร แต่คนไทยกลับไปให้การชื่นชมยอมรับกับอะไรที่เด่นดัง
ต้องที่สุดในโลก
แต่ไม่ได้ร่วมมือกัน ไม่ได้ไปด้วยกัน ที่ญี่ปุ่นอาจจะไม่มีใครเด่นเลยสักคน แต่
เขารวมพลังจากคนจำนวนมาก จึงสามารถจะ ขับเคลื่อน
อะไรไปได้ ถ้าคนญี่ปุ่นคิดว่าต่างคนต่างจะต้องเด่นกว่าคนอื่น เขาคงก้าวมา
ไม่ถึงขนาดนี้ และความตระหนักส่วนตัวก็คงจะไม่เกิดขึ้น
Q: อาจารย์พูดเหมือนกับว่า แทบจะไม่มีทางออกเลย คือ ด้วยนิสัยของคน
ไทยอย่างนี้ ไม่มี ใครฟังใคร ทุกคนมีธงส่วนตัวกันหมด แล้วเราจะแก้ไขปัญหา
ใหญ่ๆที่รออยู่อย่างไรดีครับ?
A: คือถ้าจะเปลี่ยนพื้นฐาน คงจะเปลี่ยนไม่ได้ง่ายๆ หรืออาจจะเปลี่ยนไม่ได้
เลย เราอาจจะต้อง
เอาตรงนี้เป็นเงื่อนไขที่เป็นข้อจำกัดของบ้านเรา เพราะฉะนั้น วิธีการที่เขาใช้
ได้ที่ญี่ปุ่น ไม่มีทางที่ จะเอามาใช้ที่เมืองไทยได้ บางทีการไปดูงานที่ญี่ปุ่น ดู
กันให้ตาย ก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร เราอาจจะต้องกลับมาคิดค้น วิธีของเราที่
เหมาะสมกับนิสัยแบบนี้ ซึ่งผมเชื่อว่านิสัยแบบนี้ ไม่ใช่ประเทศไทย ประเทศ
เดียวที่เป็นอาจจะมีอีกหลายประเทศที่เป็นแบบนี้ก็ได้
Q: อาจารย์มีคำแนะนำอะไรเกี่ยวกับสร้างระบบป้องกันสำหรับภัยพิบัติ และการ
ลงทุนสร้างระบบป้องกันอย่างไร
A: คืออย่างแรกเลย ก่อนเราจะลงทุนอะไร ผมมองว่า เราต้องมีการประเมิน
ความเสี่ยงที่ถูกต้องก่อน พอเรารู้ความเสี่ยงที่แท้จริง เราจะได้รู้ว่าธงที่ตั้งมัน
ไม่ใช่ คือไม่ใช่ว่าน้ำท่วมจะต้องแก้แบบนี้ แผ่นดินไหวจะต้องแก้แบบนี้ ยังมีวิธี
ทางอื่นอีกหลายทางที่จะแก้ไข
Q: ในประเทศไทย มีเปลือกโลกส่วนไหนที่ยังมีความเสี่ยงต่อการเกิดแผ่นดินไหว?
A:ในบ้านเรามีรอยเลื่อนอยู่ประมาณ 10 กว่าแห่งที่ยังขยับตัวได้ ส่วนใหญ่
ประมาณ 6-7 แห่ง อยู่ใน ภาคเหนือ เช่นที่เชียงใหม่ เชียงราย แม่ฮ่องสอน รอง
ลงมาก็ภาคตะวันตก 2-3 แห่ง อีกแห่งหนึ่งอยู่ ที่ภาคอีสาน แถวๆหนองคาย
รอยเลื่อนพวกนี้ยังมีการขยับอยู่เรื่อยๆ แต่ไม่ได้รุนแรง
สำหรับประเทศไทย ระดับความรุนแรงแค่ 5 ริกเตอร์ก็ถือว่าเยอะแล้ว ระดับ 6
ริกเตอร์คงไม่มี คือ
แผ่นดินไหวที่มีจุดศูนย์กลางเกิดขึ้นในประเทศไทยเอง ไม่ค่อยน่าเป็นห่วง
สิ่งก่อสร้างที่เป็นอาคารสร้างใหม่ และมีการสร้างตามหลักวิศวกรรม ยังถือว่ารับ
มือกับแรงสั่นสะเทือนได้ทั้งหมด แต่ปัญหาอยู่ที่อาคารเก่า ซึ่งไม่ได้สร้างตาม
หลักวิศวกรรมที่เหมาะสมและยังขาดการบำรุงรักษา
โดยอาคารเหล่านี้ มีอยู่นับล้านแห่งทั่วประเทศ การจะให้กรมโยธาฯไปตรวจทุก
บ้านคงเป็นไม่ได้
เพราะฉะนั้น ประชาชนผู้อยู่อาศัยก็ควรจะดูแล หรือปรึกษาหาความรู้จากหน่วย
งานที่เกี่ยวข้อง ในส่วนของรัฐบาลอาจจะช่วยได้โดยการตั้งเป็นกลุ่มวิศวกรที่
เชี่ยวชาญด้านนี้ขึ้นมาช่วยเหลือ ประชาชนอีกทางหนึ่ง แต่ก็ไม่ใช่ให้เขาต้องไป
เดินเคาะประตูบ้าน คือ ต้องเป็นสำนึกของเจ้าของบ้านด้วย
Q: ถ้ามองเรื่องของการรับมือ และระบบเตือนภัยต่างๆ ผ่านงบประมาณของรัฐ
การจัดงบประมาณประจำปีของรัฐให้กับภัยพิบัติ และภัยสาธารณะเป็นอย่างไรบ้าง?
A: ผมมองว่า ก็ไม่เลวจนเกินไปนัก คืองบประมาณที่ใช้รับมือในเรื่องพวกนี้ ทั้ง
ในระดับ ส่วนกลางและส่วนท้องถิ่น ก็มีอยู่หลายพันล้านบาท ในแง่ของตัวเงินก็
พอใช้ได้ แต่ความสำคัญอยู่ที่ตัวเนื้อหา (content) และวิธีการที่ใช้ในการเตือน
ภัยมากกว่าคือ เรามักจะไปให้ความสำคัญกับพวก infrastructure พวกหอเตือน
ภัยมากเกินไป แต่การเตือนภัยมันไม่ใช่เฉพาะตอนเกิดเหตุแล้ว แต่ต้องเป็น
การให้ความรู้กับคน เพื่อเตรียมรับมือ เตรียมความพร้อม และลดความเสี่ยง
ก่อนหน้าที่จะเกิดเหตุด้วย ผมมองว่า ในจุดนี้ยังไม่ได้รับการผลักดัน หรือมีการ
โปรโมตให้มองเห็นว่าเป็น สิ่งที่สำคัญในส่วนนี้จะไปอยู่ ที่กรมป้องกันและ
บรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย ซึ่งเขาจะเน้นไปที่การแก้ไข
ปัญหาเฉพาะหน้ามากกว่า แต่การเตรียมการก่อนเกิดภัย ผมคิดว่า เขายังไม่มี
ความรู้ ผมว่าเขาอยากทำนะ ไม่ใช่ไม่อยาก คือกลายเป็นว่าหน่วยงานที่ดูแล
เกี่ยวกับภัยพิบัติในเมืองไทย ฮีโร่ คือคนที่มาตอนเกิดเหตุการณ์แล้ว
ส่วนคนที่มาเตรียมการล่วงหน้าไม่เคยได้เป็นฮีโร่ ไม่เคยได้รับความสำคัญ คน
จึงอยากไปอยู่ใน ส่วนแรกมากกว่า ก็เลยนำไปสู่การแก้ปัญหาที่ผิดทาง ผม
มองว่า เราควรจะให้รางวัลแก่ชุมชนที่ ป้องกันภัยได้ดี และไม่เกิดความเสียหาย
ด้วยซ้ำ
Q: แนวคิดเรื่องการเฝ้าระวังภัยพิบัติต่างๆ ควรจะใส่เข้าไปอยู่ในหลักสูตรการ
เรียนการสอนหรือไม่?
A: จริงๆ ก็มีอยู่แล้ว มีมากพอสมควร ผมว่าในเรื่องของการศึกษาตำรับตำราที่มี
อยู่ก็มีคุณภาพที่ใช้ได้ แต่พอไปถึงในระดับโรงเรียนแล้ว ครูอาจจะไม่ได้
ตระหนัก ไม่ได้เข้าใจเนื้อสาระตรงนั้น ได้อย่างครบถ้วน เพราะหลักสูตรมีการ
พัฒนาเร็ว แต่ครูพัฒนาช้า ตามไม่ทัน คือ ผมว่าครูของเรา
งานเยอะมาก ทั้งงานธุรการ งานฝาก งานสอน ซึ่งผิดมากเลย เราควรจะมีเวลา
ให้ครูได้ไปเพิ่มพูน ความรู้ แต่ก็โทษครูไม่ได้ เพราะระบบมันแย่ เรื่องจำเป็น
เหล่านี้จึงมักไปไม่ถึงผู้เรียน
อีกอย่างหนึ่ง เด็กเองก็เรียนเยอะเกินไป เราพยายามอัดอะไรไม่รู้ให้เด็ก แต่
เรื่องจะสอนให้เป็นคน ไม่เห็นมี มุ่งเน้นไปที่การสอบเข้ามหาวิทยาลัยเพียง
อย่างเดียว
Q: แล้วเรื่องการระแวดระวัง ในส่วนของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ จริง ๆ ควรจะวิตก
กังวัล ขนาดนั้นหรือเปล่า? เพราะพอเห็นภาพที่เกิดขึ้นในญี่ปุ่น คนไทยก็รู้สึก
ตกใจ
A: คือเรื่องโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ จะมีอยู่ 2 เรื่อง
อย่างแรก คือเรื่องการยอมรับ ในความสามารถ
ของบุคคล คือคนไทยจะไม่ค่อยไว้ใจความรับผิดชอบของบุคลากรของเรา
เพราะเคยมีตัวอย่างให้ เห็นในเรื่องของความบกพร่องในหน้าที่ ซึ่งจริงๆในทุก
วงการก็มีทั้งบุคลากรที่มีทั้งดีและไม่ดี แต่เรามักจะจดจำกับเหตุการณ์ที่ไม่ดี
เช่น ตึกที่เคยถล่มที่โคราชเพราะว่าออกแบบผิดพลาดพอไปจำ อย่างนั้นแล้วก็
แก้ยาก เพราะทำให้ภาพของวงการวิศวกร หรือวงการวิทยาศาสตร์ดูไม่ดี
อย่างที่สอง คือ ทิศทางการพัฒนาด้านพลังงาน เราควรจะไปทางนั้นหรือเปล่า
คือ ประเทศไทยไม่ได้ เป็นประเทศที่มีแหล่งพลังงานเป็นของตัวเอง ถึงมีก็เล็ก
น้อย เพราะฉะนั้นธุรกิจหรือ อุตสาหกรรมที่ใช้พลังงานมาก เราจึงต้องนำเข้า
พลังงานนิวเคลียร์ก็ต้องนำเข้า จึงทำให้เราต้องพึ่งพิงตรงนี้ เพราะฉะนั้น ก็ต้อง
มาดูว่า เราจะเดินทางไปในทิศทางนี้ มากน้อยขนาดไหน
ที่ผ่านมา ประสิทธิภาพในการใช้พลังงานของประเทศไทย ผมว่าเราแย่มากที่
สุดแห่งหนึ่งของโลกเลย
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด คือ ปริมาณคาร์บอนต่อ GDP ไม่คุ้มค่า เราเผาน้ำมัน 1
ลิตร แต่เราได้เงินมานิดเดียว ในขณะที่ประเทศที่กำลังพัฒนาอื่นๆได้มากกว่า
เรา 3-4 เท่า เรื่องประสิทธิภาพของการใช้
พลังงานมันส่อให้เห็นถึงความไม่ตระหนักของคนในประเทศ รวมทั้งโครงสร้าง
พื้นฐานที่ยังไม่ดีพอ
เกี่ยวกับเรื่องพลังงาน ซึ่งเราก็คงต้องแก้กันอีกเยอะ ส่วนตัวผมคิดว่า
อุตสาหกรรมที่ใช้พลังงานมาก อย่างถลุงเหล็ก นั้นไม่ค่อยเหมาะที่จะมาทำใน
ประเทศไทย และต่อไปเราจะรวมกันเป็นอาเซียนแล้ว ประเทศอย่างเช่น
เวียดนาม เขามีแหล่ง
พลังงานของเขาเยอะ ทั้งน้ำมัน ทั้งถ่านหิน เขาก็มี ทำไมไม่เอาอุตสาหกรรม
พวกต้นน้ำให้อยู่ที่เขา และมาทำงานร่วมกันในลักษณะภูมิภาค บ้านเรา เราน่า
จะทำในส่วนของ serviceมากกว่า เพราะว่าเรื่องการบริการ เราเหนือกว่า
หลาย ๆ ประเทศ เรามีจุดแข็งทางด้านการบริการ เรามีจุดอ่อนทางด้านพลังงาน
เรื่องภูมิประเทศต่างๆ เราก็มีความปลอดภัย เพราะเราไม่ค่อยเปิดรับกับความ
เสี่ยงเท่าไร เมื่อเทียบกับ เวียดนาม ฟิลิปปินส์ เราเสี่ยงน้อยกว่าเขามาก
เพราะฉะนั้นอุตสาหกรรมหนัก เราไม่ค่อยเหมาะ เช่นจะไปแข่งท่าเรือกับ
สิงคโปร์ก็แข่งยากแต่
บางอย่าง สถานที่เราเหมาะ แต่เราก็ไม่ค่อยทำ อย่างการพัฒนาเรื่องซอฟแวร์
ทั้งหลาย เราทำได้ดี คือ เราสามารถจะชักจูงพวกวิศวกรต่างๆมาอยู่ในเมือไทย
ได้ เพราะพวกนักคิดเหล่านี้ เขาต้องการอยู่อย่างสบาย มันจะได้มีอารมณ์ใน
การคิด ถ้าเผื่อเราตั้งระบบเหล่านี้ขึ้นมา แล้วทำให้คนมาอยู่ ให้ประเทศไทย
เป็นประเทศที่น่าอยู่เป็นอันดับ ต้น ๆ ของโลก คือตอนนี้ยังไม่ใช่เลยนะถ้าเผื่อ
เราทำตรงนั้นได้ คือทำให้มีความปลอดภัย ขโมย โจรต่างๆต้องลดให้ได้ พวก
นี้เป็นศักยภาพที่เราควรจะทำได้ และ