เมื่อต้นปี 45 ผมไปทํางานให้กับเพื่อนที่กลางเมืองขอนเเก่น เป็นตึกที่เพิ่งเซ้งต่อมาซึ่งมีเรื่องราวเล่าลือจากคนเเถวนั้นเยอะมาก เเต่เดี๋ยวก่อนคุณๆอาจเข้าใจว่านั่นเป็นสาเหตุที่เจ้าของเก่าให้เซ้งต่อ เปล่าเลยเธอหนีหนี้ต่างหาก แปลกดีเหมือนกันที่เธอคือคนเดียวที่ไม่เคยเจออะไรทํานองนี้เลยเเถมยังไม่ เชื่ออีกด้วย ไม่ทราบว่าเป็นเพราะเธอนับถือคริสต์หรือเปล่า ผมมาทําหน้าที่เเรกคือการอยู่เฝ้าตึกคนเดียว เป็นหน้าที่ที่สําคัญมากสําหรับเพื่อนผมราวกับการระเบิดพลีชีพเชียวเเหละ เพราะเพื่อนผมกลัวผีมากๆ ที่สําคัญเรื่องตึกนี้มันไม่ยอมบอกผมเเต่เเรกเเละมันก็เข้าใจว่าผมไม่กลัวผี ...ครับ...มันเข้าใจผิด ผิดเอามากๆเสียด้วย
วันเเรกที่ไปถึงพวกเราพบว่ามีโต๊ะตั้งกุมารทองอยู่ในห้องขนาดใหญ่ที่ชั้นบน สุดของตึก ข้างโต๊ะมีชุดที่นอนเด็กอีกชุดหนึ่ง บนโต๊ะมีที่วางอาหาร ของเล่นเล็กน้อย รวมทั้งเสื้อผ้าเด็กหนึ่งชุดซึ่งน่าจะเป็นมรดกชิ้นสุดท้ายของป้าที่เคยเฝ้า ตึกนี้ทิ้งไว้ เเปลกดีที่มีคนเคยเห็นเด็กอยู่ตามชั้นอื่นๆที่ไม่ใช่ชั้นนี้ ส่วนชั้นนี้มีเเต่คนลํ่าลือว่ามีผู้หญิงผมยาวชุดขาวเดินไปเดินมาบ่อยๆ มีบางวันมาตั้งเเต่ทุ่มกว่าๆ เเน่นอนห้องนี้ผมไม่อยู่หรอก พวกเราย้ายชุดมรดกนั้นทั้งหมดมาไว้ในห้องเล็กๆที่ชั้นถัดลงมา ถ้าไม่นับห้องนํ้าเเล้วห้องนี้เป็นห้องเดียวที่ไม่เขียนยันต์ไว้เหนือประตู ที่ต้องย้ายพวกโต๊ะนี้ลงมาเพราะเพื่อนผมมีโครงการว่าในอนาคตอันใกล้นี้อาจมา อยู่ชั้นบนสุด เเต่ตอนนี้ยังหาทางออกเกี่ยวกับข่าวลือเรื่องผู้หญิงชั้นบนไม่ได้ ส่วนผมจะต้องอยู่ในห้องใหญ่บนชั้นเดียวกับห้องที่ย้ายโต๊ะมาไว้ ต้องอยู่คนเดียวทั้งคืนในห้องขนาดใหญ่ที่ตึกซึ่งเต็มไปด้วยเรื่องเล่ามากมาย ถูกต้องครับผมไปนอนบ้านเพื่อน ผ่านไปเกือบอาทิตย์ พ่อของเพื่อน(นายจ้างตัวจริง)เริ่มติงมาเพราะรู้ว่าไม่มีใครเฝ้าตึกซึ่งเต็ม ไปด้วยอุปกรณ์ถ่ายรูปมากมาย(เเต่ตึกนี้เป็นตึกเดียวในเเถบนี้ที่ไม่เคยถูก โขมยขึ้น) ผมจึงเริ่มสํานึกในหน้าที่อันยิ่งใหญ่ เอาไงเอากันไหนๆถ้าจะเจอเเล้วคงหนีกันไม่พ้น ผมขนที่นอนไปนอนข้างโต๊ะกุมารทอง .. เป็นตัดสินใจครั้งที่เด็ดเดี่ยวที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตผมเชียวแหละ หลังจากนั้นผมก็เจอเรื่องแปลกๆอยู่เรื่อย ...โปรดติดตามตอนต่อไป(ยาวกว่านี้เดี๋ยวคนขี้เกียจอ่าน เเฮ่ แฮ่).....