ระยะห่างของความรัก (ใยไหม)
ช่วงเวลาหนึ่งของชีวิต ย่อมมีผู้คนมากมายผ่านเข้ามาให้เราได้พบปะพูดคุย และมีความผูกพันในระดับต่าง ๆ เวลาผ่านไปสถานภาพทางความรู้สึกของเราก็อาจมีการเปลี่ยนแปลงไปด้วย บางคนยังคงความแปลกหน้า ยังรักษาระยะห่างของการเป็นแค่ "คนรู้จัก" ในขณะที่บางคนเปลี่ยนแปลงจากคนแปลกหน้ากลายเป็น "คนคุ้นเคย" จากคนคุ้นเคยกลายเป็น "คนรัก" กัน ทำลายระยะห่างของความรู้สึกให้สั้นลงอย่างรู้สึกได้ และเมื่อนั้น เรื่องราวดี ๆ ที่สวยงามทางความรู้สึกจึงเกิดขึ้น...
นักศิลปะเคยกล่าวไว้ว่า...ความรักเป็นหัวใจของศิลปะ
ในขณะที่นักปรัชญาบอกว่า...ความรักเป็นศิลปะของหัวใจ
อย่างนั้นแล้วอาจเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ว่า การมีชีวิตอยู่คนเดียวบนโลก อาจไม่ต้องใช้ฝีมือเท่ากับการใช้ชีวิตคู่ ซึ่งต้องอาศัยทั้งศิลปะและพัฒนาการทางด้านจิตใจอย่างมาก
"The supreme happiness of life is conviction that we are loved. ความสุขของคนเราคือการแน่ใจว่าเรามีคนรักอยู่"
คงไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าข้อความดังกล่าวเป็นความจริง แต่ก็มีความจริงบางอย่างอีกเช่นกัน ที่เราเห็นในความสัมพันธ์ของคู่รัก บางคู่ว่ามันกลับไม่มีความสุขอย่างที่ควรจะเป็น และหนึ่งในตัวแปรนั้นน่าจะมีคำว่า "ระยะห่างของความรัก" รวมอยู่ด้วย
เราทุกคนต่างมีโลกส่วนตัวอยู่คนละใบ และเมื่อความรักพาใครคนหนึ่งก้าวเข้ามาในชีวิต โลกใบเล็ก ๆ อีกใบหนึ่งจึงถูกสร้างขึ้น ซึ่งโลกใบใหม่นี้จะเป็นที่ ๆ คุณและเขาคนนั้น ได้แชร์หลายสิ่งหลายอย่างร่วมกัน เป็นส่วนที่คุณแลเขาต้องแบ่งออกมาให้กันและกันด้วยความเต็มใจ
แต่ฉันก็ยังเชื่อว่า ไม่มีใครหรอกที่จะยอมสูญเสียพื้นที่ส่วนตัวของตนไปจนหมด และมันก็ไม่ได้มีความจำเป็นอะไรด้วย ที่จะต้องทำถึงขนาดนั้น
หลายคน...ซึ่งกลัวการมีชีวิตคู่มักให้เหตุผลว่า เพราะเขากลัวที่จะสูญเสีย Space ของตัวเอง ซึ่งเรื่องของ Space หรือพื้นที่ส่วนตัวนี้ เป็นเรื่องที่ค่อนข้างละเอียดอ่อน และต้องอาศัยการเรียนรู้ มีความเข้าใจซึ่งกันและกันมากพอสมควร แม้ความสุขจากการอยู่คนเดียว จะหมายถึงการที่เราได้ดูแลชีวิตของตัวเอง ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองชอบโดยไม่ต้องตอบคำถามใคร แต่การที่เราได้มีโอกาสแบ่งปันความรู้สึกให้กับคนที่เรารัก ก็เป็นความสุขอย่างหนึ่งในชีวิตที่ใคร ๆ ก็ต้องการเช่นกัน แต่มีข้อแม้ที่เราต้องทำความเข้าใจกับสถานะของตัวเองให้ดีเสียก่อน
ถึงแม้ว่าการเข้าไปร่วมรับรู้ความรู้สึกของอีกฝ่าย จะเป็นการแสดงออกด้วยความเอื้ออาทร ห่วงใยใกล้ชิดที่คุณมีให้กับคนที่คุณรักก็ตาม แต่การไม่รู้อะไรบางอย่างเกี่ยวกับคนที่คุณรักซะบ้าง ก็อาจจะดีกว่าพยายามที่จะเข้าไปรับรู้ทุกเรื่องในชีวิตเขาให้ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเขายังต้องการเก็บพื้นที่ตรงนั้นไว้ให้กับตัวเองอยู่
เพราะถึงยังไง...เราคือเรา...เขาคือเขา...แม้เราจะเป็นคนรักกัน แต่เราก็ไม่ได้เป็นเจ้าของกันและกัน ความรักนั้นเป็นการผสมกลมกลืนทางเคมี ชีวภาพ และจิตวิทยา ซึ่งคนของเราทุกคนควรที่จะรู้จักวิธีในการ "เข้าถึง" มัน
คนที่เป็นคู่รักกันใหม่ ๆ อาจมีปัญหาเรื่องระยะห่างของความรักไม่มากนัก เพราะในช่วงต้นของความสัมพันธ์ ต่างฝ่ายยังมีความคาดหวังต่อกันเพียงน้อยนิด ทุกการกระทำ ทุกความคิด หรือทุกกิจกรรมที่คุณและเขาได้มีประสบการณ์ร่วมกัน จึงถือเป็นสิ่งพิเศษที่ได้รับ ในช่วงต้นคุณอาจไม่ต้องการอะไรมากนักจากเขา เพราะตัวเราเองก็ชุ่มฉ่ำไปด้วยความพอใจ จากสารเคมีที่หลั่งออกมาเมื่อยังอยู่ในช่วงของการตกหลุมรัก เมื่อเวลาผ่านไป...ความคาดหวังของกันและกันก็เปลี่ยนไปด้วย
บางที...การทำในสิ่งที่คุณคิดว่าดีที่สุดสำหรับตัวเอง อาจไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเขา และความสัมพันธ์ของกันและกันแล้วก็ได้ มิติของความรักก็เลยเป็นเรื่องที่ต้องใช้ความพยายามในความเข้าใจอยู่มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้หญิงเราที่มีความซับซ้อน และละเอียดอ่อนทางความรู้สึกค่อนข้างมาก
"ความน้อยใจ" มักเกิดขึ้นง่าย ๆ หากเรารู้สึกว่าความพยายามเดินเข้าใกล้ เพื่อทำให้ระยะห่างของความรักสั้นลงนั้น ถูกเปลี่ยนเป็น "ความน่ารำคาญ" หรือ "ความก้าวก่าย" ในความรู้สึกของอีกฝ่าย แต่ถ้าหากคุณได้มองความรักที่เป็นไปตามความจริงแล้ว คุณจะรู้ว่า ความรักที่ดีต้องการระยะห่างที่พอดีด้วยเช่นกัน และเมื่อนั้นคุณจะไม่มองข้ามการค้นพบตัวตนของทั้งสองฝ่าย ซึ่งสิ่ง ๆ นั้นจะนำไปสู่ทางออกของการแก้ปัญหา ช่วยให้คุณรู้จักปล่อยวางและยอมรับในกันและกันได้มากขึ้น จนไปถึงจุดที่คุณทั้งคู่ไปหากันจนเจอ เริ่มต้นไปด้วยกัน เดินไปตามทางที่ถึงแม้จะ "ห่าง" กันบ้าง แต่เป็นระยะห่างที่มองซ้ายก็เห็นมองขวาก็เห็น สามารถแตะกันถึง โดยที่ความเป็นตัวเองยังคงอยู่...
แต่ถ้าหากสิ่งที่เกิดขึ้นตรงกันข้าม และทุกวันนี้ความรู้สึกของคุณถูกปล่อยทิ้งเอาไว้บนความห่างจนลับตา โดยที่อีกฝ่ายไม่เคยหันกลับมามอง หรือรับรู้ความเป็นไปของคุณว่าเป็นอย่างไร ขณะที่คุรกำลังเดินตาม แต่เขากลับวิ่งหนี หรือบางทีคุณก็ต้องทนทรมาน อยู่กับการรักษาระยะห่างไว้ให้คงที่อยู่อย่างนั้น และความพยายามนั้นเป็นของคุณเพียงคนเดียว อย่างนั้นแล้วล่ะก็...ฉันขอแนะนำว่าคุณไม่จำเป็นต้องทนเหนื่อยล้าอย่างนี้อีกต่อไป เพราะถึงอย่างไร สัมพันธภาพของคุณและเขา ก็คงเป็นได้แค่เพียงเส้นขนาน ที่ไม่มีทางบรรจบกันได้เลย และโลกส่วนตัวของเขาก็ปิดตายเกินกว่าที่จะให้ใครเข้าไปถึงได้...แม้แต่คุณ...
แม้เราอาจจะใช้ "หัวใจ" ในการเลือกทำสิ่งที่ชอบให้ตัวเองก็จริงิยู่ แต่เมื่อถึงเวลา เราก็น่าจะใช้ "หัวคิด" ในการตัดสินใจเลือกสิ่งที่เหมาะสมให้กับทางเดินของตัวเองเช่นกัน ที่ผ่านมาขอให้ถือว่าคุณได้ทำเต็มที่เพื่อความรักแล้ว และมันก็น่าจะถึงเวลาที่คุณควรจะได้เลือกทำ เพี่อความรู้สึกของตัวเองบ้าง นั่นก็คือ การพาตัวเองถอยออกมา เมื่อถึงเวลาของมัน...