วันดีเดย์ วันที่ 6 มิถุนายน 1944 ถือว่าเป็นวันดี เดย์ เป็นวันที่ฝ่ายสัมพันธมิตรทุ่มกำลังยกพลขึ้นบก โจมตีป้อมปราการยุโรปของฮิตเลอร์ (Fortress Europe) ด้วยกำลังมหาศาลเท่าที่เคยมีมา เพื่อเปิดสงครามด้านที่สองของเยอรมัน ซึ่งกำลังเผชิญกับรัสเซียทางด้านตะวันออก จริงๆแล้วเยอรมันนั้นรู้ล่วงหน้ามาก่อนแล้วว่าฝ่ายสัมพันธมิตร จะทำการยกพลขึ้นบกในฝรั่งเศส แต่ไม่ทราบแน่ชัดว่าเป็นที่ใด เนื่องจากแนวชายทะเลของฝรั่งเศสด้านที่ติดกับอังกฤษนั้นยาวมาก ฮิตเลอร์และฝ่ายเสนาธิการบางคนเชื่อว่า การยกพลขึ้นบกจะเกิดขึ้นที่ เมืองท่าคาเล่ย์ (Calais) ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือและเป็นส่วนที่แคบที่สุดระหว่างอังกฤษกับฝรั่งเศส ในภาพการเคลื่อนย้ายกำลังเพื่อที่จะเข้าตีในวันดีเดย์
ในขณะที่ จอมพลเออร์วิน รอมเมล (Erwin Rommel) ของนาซีเยอรมัน ซึ่งได้รับการแต่งตั้งให้เป็นแม่ทัพกลุ่มบี ในประเทศฝรั่งเศส เมื่อเดือน พย. 1943 เชื่อว่าการยกพลขึ้นบกจะเกิดขึ้นในบริเวณอื่น เขาจึงสั่งการให้สร้างสร้างป้อมและบังเกอร์ขึ้นเรียงรายตามแนวชายฝั่งฝรั่งเศส เพิ่มจำนวนรังปืนกล เครื่องยิงลูกระเบิดหรือปืนครก บนหาดก็มีการสร้างสิ่งกีดขวางสำหรับเรือยกพลขึ้นบก ที่เรียกว่า เม่นทะเลและงาแซง บวกกับการติดทุ่นระเบิดและกับระเบิดจำนวนมากเข้าไป แนวตั้งรับนี้มีชื่อเรียกว่า กำแพงแอตแลนติค (Atlantic Wall)
รอมเมลเชื่อว่าชัยชนะของการต่อต้านการยกพลขึ้นบกจะอยู่ที่ชายหาด ใครที่ยึดหาดได้จะเป็นผู้ชนะ แต่ฮิตเลอร์มองว่า หากการยกพลขึ้นบกเกิดขึ้นจริง การรบขั้นแตกหักจะอยู่บนฝั่งคือปล่อยให้พันธมิตรขึ้นฝั่งแล้วใช้กำลังเข้าบดขยี้
ด้วยความเห็นที่แตกต่างกันนี้เอง ฮิตเลอร์จึงสั่งการให้วางกำลังส่วนใหญ่ไว้ในแนวหลัง เนื่องจากไม่มั่นใจว่าการยกพลขึ้นบกจะเกิดที่ใด เมื่อมีการยกพลขึ้นบก ก็จะใช้กำลังหลักที่อยู่ส่วนหลังนี้เข้าเสริมกำลังที่ป้องกันชายหาด ส่วนรอมเมลต้องการให้วางกำลังหลักตามแนวชายหาดเพื่อสกัดกั้นการยกพลขึ้นที่ชายหาดได้ทันท่วงที
แน่นอนฮิตเลอร์เป็นฝ่ายชนะในความคิดของเขา ฮิตเลอร์และนายพลรุดชเท็ด (Gerd Von Rundstedt) จึงดึงกำลังสำคัญ เช่น หน่วยยานเกราะ (Panzer) เกือบทั้งหมดไปอยู่ส่วนหลัง เหลือเพียงกองพลยานเกราะที่ 21 (21st Panzer Division) ให้รอมเมลบังคับบัญชาเพียงกองพลยานเกราะเดียว
ในภาพการวางแผนเข้าโจมตีในวันดีเดย์
นอกจากนี้รอมเมลยังมีกองพลทหารราบอีก 38 กองพล วางกำลังอยู่ตั้งแต่เมืองท่าคาเล่ย์ ของฝรั่งเศส ขึ้นเหนือไปถึงฮอลแลนด์ และเลยลงไปทางใต้ถึงชายแดนสเปน จะเห็นว่าแนวตั้งรับของเยอรมัน มีระยะทางยาวมาก กำลังทหารเยอรมัน จึงดูไม่เพียงพอต่อการต่อต้านการยกพลขึ้นบก ในขณะเดียวกัน กำลังทางอากาศของเยอรมัน(Luftwaffe) ก็มีเครื่องบินขับไล่เพียง 70 ลำ เครื่องบินทิ้งระเบิด 90 ลำ และเครื่องบินอื่นๆ 160 ลำ น้อยเกินไปที่จะรับมือกับฝูงบินพันธมิตรจำนวนมหาศาล
กำลังของพันธมิตร ที่จะทำการยกพลขึ้นบกนั้นประกอบด้วย กองพลทหารราบ 39 กองพล (สหรัฐ 20 กองพล อังกฤษ 3 กองพล คานาดา 1 กองพล ฝรั่งเศสอิสระ 1 กองพลและโปแลนด์ 1 กองพล) มีเครื่องบินขับไล่ กว่า 5,000 ลำ เครื่องร่อน 2,600 ลำ เรือรบและเรืออื่นๆกว่า 6,000 ลำ จะเห็นว่ากำลังทหารราบของทั้งสองฝ่ายใกล้เคียงกันที่จำนวน แต่เยอรมันกระจายกันตั้งแต่เหนือจรดใต้ ในขณะที่พันธมิตรทุ่มไปที่จุดๆเดียว
ในภาพหน่วยพลร่มของอเมริกา
กองทัพนาซีเยอรมันเชื่อว่า การยกพลขึ้นบกจะมีขึ้นในฤดูร้อนของปี 1944 เพราะมีการเตรียมการขนานใหญ่ที่สามารถสังเกตุเห็นได้ชัดในอังกฤษ ไม่ว่าจะเป็นการระดมพลครั้งยิ่งใหญ่ การระดมเรือทั้งเรือยกพลขึ้นบก เรือลำเลียงขนาดใหญ่ เรือรบนานาชนิด แต่วันเวลาที่แน่นอนนั้น ก็ยังเป็นความลับที่ดำมืด
ฝ่ายสัมพันธมิตรเองก็พยายามลวงให้เยอรมันมั่นใจว่า การยกพลขึ้นบกจะมีขึ้นที่คาเล่ย์ (Calais) สายลับของทั้งสองฝ่ายทำงานกันอย่างหนัก สายลับพันธมิตรพยายามปล่อยข่าวสถานที่ยกพลขึ้นบกหลายแห่ง จนสายลับเยอรมันในอังกฤษเกิดความสับสน
และแล้วนายพลไอเซนฮาว (Eisenhower) ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นผู้ตัดสินใจว่าการบุกจะเกิดขึ้นที่ใด และเมื่อใด ก็วางแผนที่จะเริ่มการยกพลขึ้นบกในวันที่ 5-6-7 มิย. 1944 ในเวลารุ่งอรุณ แต่สภาพภูมิอากาศที่เลวร้าย คลื่นลมบริเวณช่องแคบอังกฤษแรงราวกับทะเลกำลังบ้าคลั่ง ทำให้การปฏิบัติการต้องเลื่อนออกไปอีก 24 ชั่วโมง จนกระทั่งเช้าของวันที่ 6 มิย. ไอเซนฮาวจึงตกลงใจที่จะเริ่มการยกพลขึ้นบก
ฝ่ายเยอรมันนั้นก็สับสนกับข่าวการยกพลขึ้นบก ข่าววิทยุจากสถานีวิทยุบี บี ซี ที่กระจายเสียงจากกรุงลอนดอนของอังกฤษ สามารถรับฟังได้อย่างชัดเจนในฝรั่งเศส ซึ่งมักจะส่งข่าวให้พวกใต้ดินในฝรั่งเศส ผ่านทางข้อความที่เป็นรหัสลับ ออกข่าวเป็นเป็นบทกวีว่า "Chanson d'Automne" ซึ่งเป็นสัญญานให้หน่วยใต้ดินฝรั่งเศสทราบว่าการรุกกำลังจะเกิดขึ้น
เยอรมันสามารถจับรหัสนี้ได้ แต่สภาพอากาศที่เลวร้าย ทะเลที่มีแต่คลื่นลมแรง ทำให้เยอรมันตายใจ ไม่คิดว่าการยกพลจะเกิดขึ้นในสภาพอากาศที่เลวแบบนี้ จอมพลรอมเมลเอง ก็เดินทางกลับเยอรมันเพื่อไปเยี่ยมภรรยาของเขา ไม่มีใครคาดคิดว่า การยกพลขึ้นบกที่ยิ่งใหญ๋ที่สุดในประวัติศาสตร์สงครามสมัยใหม่กำลังจะเกิดขึ้น
และแล้วในคืนของวันที่ 5 ต่อเช้ามืดของวันที่ 6 มิย. พันธมิตรก็ได้ทำแผนลวง เช่น ส่งพลร่มลงที่หมายอื่นๆ ในฝรั่งเศส มีการปฏิบัติการทางอากาศที่เมืองบูโลน (Boulogne) ในขณะเดียวกันกำลังของฝ่ายสัมพันธมิตรทั้งหมดก็ออกจากอังกฤษ มุ่งหน้าสู่นอร์มังดี (Normandy) ท่ามกลางความมืดสนิท พลร่มและเครื่องร่อนบรรทุกทหารราบของสหรัฐและอังกฤษ ร่อนลงในดินแดนส่วนหลังของแนวตั้งรับของเยอรมันตามชายหาด และในแผ่นดินใหญ่ เพื่อป้องกันการเสริมกำลังของเยอรมัน
หาดต่างๆ ถูกแบ่งออกโดยใช้นามเรียกขานคือ ยูท่าห์ (Utah), โอมาฮ่า (Omaha), โกลด์ (Gold), จูโน (Juno), และซอร์ด (Sword) (ดูแผนที่การยกพลขึ้นบกที่นอร์มังดี)
กองพลพลร่มที่ 6 ของอังกฤษบุกขึ้นบกที่หาดซอร์ด (Sword) และยึดได้อย่างง่ายดาย กองพลพลร่มหรือกองพลส่งทางอากาศของสหรัฐที่ 82 และ 101 อันเลื่องชื่อ บุกเข้ายึดหาดยูท่าห์ (Utah) แต่ได้รับการต้านทานจากเยอรมัน จึงมีการสูญเสียมากกว่าหาดของอังกฤษ เนื่องจากเยอรมันทราบถึงการเข้าโจมตีของทหารพลร่ม จึงต่อสู้อย่างทรหด
แต่เนื่องจากการขาดการเตรียมพร้อม ทำให้เยอรมันต่อต้านได้ไม่เต็มที่เท่าที่ควรจะเป็น กองพลทหารราบที่ 4 ของสหรัฐซึ่งยกพลขึ้นบกที่ยูท่าห์ พร้อมทั้งรถถังแบบ เอ็ม 4 เชอร์แมน (M 4 Sherman) สามารถรุกเข้าสมทบกับหน่วยพลร่มกองพลที่ 101 ได้ในที่สุด
สถานการณ์รุนแรงที่สุดน่าจะเป็นที่หาดโอมาฮ่า (Omaha) ซึ่งกองพลทหารราบที่ 1 (1st US Infantry Division) ของสหรัฐ ที่ได้รับการสนับสนุนด้วยรถถังเพียง 5 ลำ ได้พบกับหน่วยทหารเยอรมันที่มีประสบการณ์จากกองพลที่ 352 แม้ปืนเรือจะได้ระดมยิงหาดก่อนการยกพลขึ้นบกอย่างหนัก แต่กำลังของเยอรมันส่วนใหญ่ ก็แทบไม่ได้รับความเสียหายแต่อย่างใด
ดังนั้นเมื่อฝ่ายอเมริกันมาถึงหาดก็พบว่า พวกเขาถูกยิงตรึงอย่างหนาแน่น ยอดผู้บาดเจ็บเสียชีวิตเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ความสูญเสียมีมากถึงขนาดนายพลโอมาร์ แบรดลี่ย์ (Omar Bradly) ของสหรัฐ ได้พิจารณาถึงการถอนตัวจากหาดโอมาฮ่า ก่อนที่มีการสูญเสียมากกว่าที่เป็นอยู่
แต่ในที่สุด เมื่อเวลา 1100 น. หาดโอมาฮ่าก็ตกเป็นของอเมริกัน เยอรมันถูกกดดันให้ถอยร่นไปตั้งรับที่แนวถนนของหาด
ณ หาดจูโน กองพลทหารราบที่ 3 ของแคนาดา พบกับการต้านทานจากฝ่ายเยอรมัน ที่ปักหลักอยู่ตามที่มั่นที่แข็งแรง ตามแนวชายหาด แม้ว่ารถถังของทหารแคนาดาจะไม่สามารถขึ้นฝั่งได้ เนื่องจากคลื่นลมที่แรงจัด ทหารแคนาดา ก็ต่อสู้อย่าง เด็ดเดี่ยวและกล้าหาญ โดยปราศจากการสนับสนุนของอาวุธหนัก และสามารถรุกคืบหน้าได้ถึง 11 กม.จากชายหาด
ส่วนที่ หาดโกลด์ กองพลทหารราบที่ 50 และกองพลน้อยยานเกราะที่ 8 ของกองทัพอังกฤษที่พรั่งพร้อมไปด้วยรถถัง และอาวุธหนัก ได้บุกเข้าโจมตีแนวต้านทานของเยอรมันตลอดแนวชายหาด
ฝ่ายสัมพันธมิตรสูญเสียไปไม่น้อย
สิ้นสุดวันอันยาวนาน (the longest day) ฝ่ายสัมพันธมิตรกว่า 150,000 คน ก็สามารถยึดครองพื้นที่กว่า 200 ตารางกิโลเมตร ตามแนวหาดนอร์มังดีได้ สายน้ำแห่งสงครามได้มาถึงจุดวกกลับแล้ว
นับจากวันดี เดย์เป็นต้นไป เยอรมันก็เริ่มเป็นฝ่ายถอย ชัยชนะที่มีมาแต่ต้น กลายเป็นตำนานของอาณาจักรไรซ์ที่ 3 ของฮิตเลอร์ การเริ่มต้นของการปลดปล่อย ฝรั่งเศส ก็เริ่มต้นขึ้น พร้อมๆกับการเริ่มต้นของการล่มสลายของระบอบนาซีในปี 1945
กลับไปเยี่ยมเพื่อนร่วมรบ