โม มนชนก จุลินทรีย์น่าเลิฟ

“โม มนชนก” จุลินทรีย์น่าเลิฟ

โดย ASTVผู้จัดการรายวัน 4 มีนาคม 2554 23:11 น.  
คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น





ท่าทางสบายๆ ขณะพูดคุยกัน
ขอบคุณภาพจากแฟนบุ๊กแฟนเพจน้องโม









ฉากเลิฟซีนที่ทำให้ภาพยนตร์ถูกแบน
ความรักมีหลากหลายรูปแบบแตกต่างกันไป และไม่ว่าจะเกิดขึ้นกับใคร ไม่มีครั้งไหนเลยที่รักไม่ใช่เรื่องใหญ่ “โม มนชนก แสงฉายเพียงเพ็ญ” คือหนึ่งในนางเอกหน้าใหม่ที่ถูกเลือกให้นำเสนอเรื่องราวเหล่านี้ผ่านความสัมพันธ์แบบเพื่อนรัก-รักเพื่อน ในภาพยนตร์เรื่อง “เลิฟจุลินทรีย์ รักมันใหญ่มาก” ถึงเธอจะยอมรับว่านิสัยจริงๆ ไม่ต่างจากบทที่ได้รับเล่นเท่าใดนัก แต่สำหรับคนที่อยากรู้จักหญิงสาวคนนี้ให้ลึกซึ้งมากกว่านั้น M-Lite ยังมีอีกหลายแง่มุมซึ่งแตกต่างจากบนแผ่นฟิล์มมาฝากกัน
       
       มองผ่านกระจกใสๆ เข้าไปในร้านกาแฟขนาดกะทัดรัดมุมตึก เห็นหญิงสาวผมสั้นคนหนึ่ง แต่งตัวตามแฟชั่น กำลังนั่งจิบเครื่องดื่มเงียบๆ อยู่คนเดียว เธอกวาดสายตาออกมานอกร้านเป็นระยะคล้ายกำลังคอยใคร ทีมงานมองอยู่สักพักเพราะไม่มั่นใจว่าคือคนเดียวกับที่นัดไว้ เนื่องจากผู้หญิง ที่อยู่ตรงหน้าดูผอมบางกว่าในหนังอยู่มาก บวกกับสีหน้านิ่งๆ ไม่ยินดียินร้ายของเธอ ทำให้ทีมงานไม่กล้าพรวดพราดเข้าไปทักทายทันที แต่เมื่อแน่ใจแล้วว่าเธอคือ “โม มนชนก แสงฉายเพียงเพ็ญ” หนึ่งในนางเอกหน้าใหม่จากค่าย M39 ทีมงานจึงตรงเข้าไปเปิดบทสนทนา
        
       
       “โมเป็นคนหน้าดุค่ะ ถ้าทำหน้าปกติ ไม่ยิ้ม หน้าจะบึ้งไปเลย เคยคิดจะไปศัลยกรรมปากเหมือนกัน อยากให้รูปปากเป็นเหมือนคนยิ้มตลอดเวลา จะได้ดูเฟรนด์ลี่ จริงๆ นะ (ยิ้มแบบปลงๆ)” โมบอกเหตุผลแก่ทีมงาน เพราะกลัวว่าสีหน้านิ่งๆ ตั้งแต่แรกเห็นจะทำให้เราเข้าใจผิด คิดว่าเธอหยิ่งอย่างที่ถูกหลายคนกล่าวหา ผู้สัมภาษณ์ได้แต่พยักหน้าบอกเธอเป็นนัยๆ ว่าแวบแรกที่เห็นก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน
         
       
       พูดกันตามเนื้อผ้าแล้ว ไม่น่าแปลกใจเลยที่โมจะถูกมองว่าเย่อหยิ่ง เดาว่าต้นเหตุหลักๆ น่าจะมาจากนิสัย “ตรงไปตรงมา มั่นใจ และไม่เสแสร้ง” ของเธอนี่เอง คุณสมบัติ พวกนี้เป็นเหมือนดาบสองคม ทำให้มีทั้งคนที่ชอบและไม่ชอบโม แต่สำหรับทีมงานแล้ว ถือเป็นข้อดีเสียมากกว่า เพราะทุกครั้งที่ถามคำถามออกไป ทำให้ไม่จำเป็นต้องมานั่งตีความให้ปวดหัวว่าเจ้าตัวกำลังพูดความจริงอยู่ หรือเปล่า เนื่องจากมั่นใจได้ว่าเธอคนนี้ จริงใจกับทุกคำตอบอย่างแน่นอน รวมถึงคำตอบทั้งหมดที่ให้ไว้แก่เราในครั้งนี้ด้วย
       
       ไม่ยุ่งใครและไม่อยากให้ใครมายุ่ง
       ถ้ายังไม่มีสมญานามในวงการ เราขอตั้งให้เธอเป็น “เจ้าแม่เอ็มวี” เพราะที่ผ่านมาโมมีโอกาสได้แสดงมิวสิกวิดีโอหลายสิบชิ้น จะเรียกว่าเป็นหนทางสู่การแจ้งเกิดก็ว่าได้ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกถ้าคนจำนวนมากจะคุ้นหน้าคุ้นตาเธอมาก่อน แต่ที่น่าแปลกใจมากกว่าคือผลงานเกือบทุกชิ้นที่ได้รับเล่น โมแทบไม่เคยใช้ความพยายามในการแคสต์งานด้วยซ้ำ แต่อาศัยโชคชะตาเป็นหลัก
        
       
       “อย่างงานแรกที่ได้ก็เพราะ ความบังเอิญ ตอนนั้นโมแวะเข้าไปหาเพื่อนตอนเขาถ่ายเอ็มวีอยู่ ไม่ได้ตั้งใจจะเข้าไปเสนอหน้าให้ใครเห็นจริงๆ แค่แวะไปโม้นู่นนี่ให้เพื่อนฟัง ไม่สนด้วยซ้ำว่าเขากำลังถ่ายทำอยู่ หรือนักร้องคือใคร พอดีผู้กำกับเอ็มวีเห็นโม เลยบอกโมเดลลิ่งของเพื่อนว่าอยากให้เราไปเล่นเอ็มวีอีกตัวหนึ่ง ก็เลยได้เริ่มทำมาตั้งแต่ตอนนั้น แล้วเอ็มวีอีก 7 ตัวหลังจากนั้นก็ได้มาเรื่อยๆ แบบไม่เคยไปแคสต์เลยสักตัวค่ะ”
         
       
       อาจเพราะเส้นทางชีวิตในวงการ ของโมได้มาแบบไม่ต้องดิ้นรนมากนัก เธอจึงมีมุมมองแตกต่างจากวัยรุ่นทั่วไปที่อยากเข้าวงการ โดยให้เหตุผลว่า “คง เป็นเพราะโมได้อะไรมาง่ายๆ มั้งคะ ก็เลยทำให้ไม่ค่อยเห็นคุณค่าสักเท่าไหร่ เทียบกับบางคน เขาต้องพยายามไปแคสต์งานเป็น 40-50 ตัว กว่าจะได้สักงานหนึ่ง ก็เลยอาจจะอยากทำงานตรงนี้มาก แต่โมรู้สึกว่าถึงไม่ได้เป็น ไม่ได้ทำงานนี้ ฉันก็ไม่ตาย แต่ที่ทำอยู่ทุกวันนี้ก็ถือว่าเป็นโอกาสดีที่ได้เรียนรู้ค่ะ” และด้วยความคิดแบบนี้เองจึงทำให้โมสามารถแสดงความเป็นตัวเองได้อย่างเต็มที่ ไม่จำเป็นต้องแกล้งทำดีกับใคร คิดอย่างไรก็พูดอย่างนั้น และไม่ต้องห่วงเรื่องภาพลักษณ์มากมายนัก แม้กระทั่งต่อกลุ่มคนที่ชื่นชอบเธอเอง
         
       
       “กับแฟนคลับ โมไม่ ใช่คนที่จะมานั่งตั้ง Status หรือ Twit บอกว่าเราอยู่ตรงนี้นะ หรือทำอะไรอยู่บ้าง จะบอกแค่งานที่ถ่ายเสร็จแล้วว่าจะออนแอร์วันไหน คนที่อยากดูงานเราจะได้ไม่พลาด ไม่อยากให้เขาต้องมาคอยตามไปเจอเราทุกที่ ก็เข้าใจนะคะว่าเขาอยากไปเจอ แต่ถ้าเป็นไปได้อยากให้เอาเวลาไปทำอย่างอื่นดีกว่า เพราะคนที่มาชอบโมส่วนใหญ่จะเป็นวัยรุ่น กลัวว่าเขาจะแบ่งเรื่องเรียนกับเรื่องเราไม่ได้”
        
       “เคย มีแฟนคลับตั้งเว็บไซต์ให้ด้วย โมก็บอกเขาไปตรงๆ เลยว่าโมไม่ชอบนะ แค่ตอนนี้มีแฟนเพจในเฟซบุ๊กก็พอแล้วค่ะ แค่นี้ก็มีคนเข้ามาว่าเราให้วุ่นไปหมดแล้ว โมมีคนที่ไม่ชอบหน้าด้วยไงคะ เขาก็จะคอยเข้ามาติเราตลอด ขนาดอยู่เฉยๆ ยังโดนว่าเลยค่ะ เคยอ่านเจอ มีคนเขียนว่าเห็นโมเดินเล่นที่เจเจ เดินสะบัดบ็อบ น่าหมั่นไส้มาก (หัวเราะแบบงงๆ) เราก็อึ้งเลย ไม่รู้ไปทำอะไรผิด มีครั้งหนึ่งกลายเป็นสงครามบนอินเทอร์เน็ตเลย มีคนเข้ามาว่าโม แล้วแฟนคลับโมก็ว่าเขากลับไป ตอบกันไปมาน่าปวดหัวมาก จนเราต้องปรามคนฝ่ายเราว่าช่างเขาเถอะ โมเลยชอบอยู่เฉยๆ มากกว่า ไม่ค่อยอยากทำอะไร โมถือคติว่าโมไม่ยุ่งกับใคร แล้วใครก็อย่ามายุ่งกับโม ต่างคนต่างอยู่ดีกว่าค่ะ” เธอพูดอย่างตรงไปตรงมา
       
       มือใหม่หัดเฟก
       ด้วยความที่เป็นคนปากกับใจ ตรงกัน กลุ่มเพื่อนสนิทของโมจึงเป็นคนประเภทเดียวกันคือ ถ้าไม่ใช่ผู้หญิงประเภทลุยไหนลุยกัน ก็จะเป็นเพื่อนสาวประเภทสองไปเลย ส่วนผู้ชายก็ต้องเป็นคนไม่คิดมาก ไม่อย่างนั้นคบกันไม่รอด เพราะความจริงเท่านั้นคือสิ่งที่โมต้องการจากการคบกัน จะให้มานั่งเสแสร้ง พูดจาอ้อมค้อม เธอบอกว่าทำไม่เป็น
        
       
       “โมเป็นคนตรงๆ แล้วก็เป็นคนไม่น่าคบค่ะ (ยิ้ม) ถ้าไม่ใช่คนแบบเดียวกัน จะไม่อยากคบกับโมแน่นอน อย่างผู้หญิงที่อ่อนหวานมากๆ มีความเป็นผู้ญิ้งผู้หญิง รับความจริงไม่ค่อยได้ เขาก็จะอยู่กับโมไม่ได้ เพื่อน โมส่วนใหญ่จะเป็นตุ๊ดค่ะ หรือไม่ก็เป็นดี้ ไม่มีเพศปกติ (หัวเราะ) ที่มีเพื่อนแบบนี้เยอะคงเพราะโมชอบความจริงมั้งคะ แล้วตุ๊ดจะชอบพูดตรงๆ อันไหนทำแล้วทุเรศก็บอกเลย ไม่ต้องเอ่อ... คือว่า แต่ถ้าคบกับผู้หญิงส่วนใหญ่จะขี้เกรงใจ พูดอ้อมค้อมอยู่นั่นแหละ ซึ่งมันไม่ใช่ค่ะ ถ้า คบกันแล้วพูดอะไรก็ไม่ได้ อย่าคบกันเลยดีกว่า คนอื่นอาจจะมองว่าโมแรง แต่โมไม่เคยหาเรื่องใครก่อนนะ เราก็อยู่ของเรา แค่เราแสดงออกชัดเจน โมจะคิดเอาไว้ในหัวของโมเองตลอดเลยว่าอยู่ยังไงก็ได้ แค่ไม่เดือดร้อนคนอื่นก็พอ”
         
       
       ถึงแม้การอยู่กับกลุ่มเพื่อน ที่นิสัยคล้ายกันจะช่วยให้เข้าใจกันได้แทบทุกเรื่องโดยไม่ต้องปรับตัวมากนัก แต่ในความเป็นจริงแล้ว เราปฏิเสธการเข้าสังคมไม่ได้ จึงต้องพบปะผู้คนอีกมากมายที่นิสัยใจคอแตกต่างกัน โดยเฉพาะในวงการมายา ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าจำเป็นต้องเรียนรู้ที่จะใส่หน้ากากเข้าหากันบ้าง เพื่อให้การทำงานเป็นไปอย่างราบรื่น โมเข้าใจความจริงข้อนี้ดีและยอมรับว่าทุกวันนี้เธอเริ่มหยิบมันมาใช้บ้าง แล้ว
         
       
       “คุณ แม่เคยพูดว่าโมเป็นคนสังคมแคบ อยู่แต่กับคนแบบเดียวกัน เลยไม่คิดจะปรับตัวให้เข้ากับคนอื่น ซึ่งโมก็คิดว่าเป็นเรื่องจริงค่ะ พักหลังๆ เลยเริ่มพยายามปรับตัวมากขึ้น ยิ่งต้องทำงานในวงการนี้ด้วย บางทีโมก็ต้องยอมรับที่จะต้องเฟกบ้างนะ ต้องพยายามเชื่อไปว่าสิ่งที่เราแสดงออกมาเป็นเรื่องจริง อย่างเวลาโมต้องไปถ่ายแบบทำท่าคิกขุ ซึ่งตัวจริงเราไม่ใช่อย่างนั้น โมก็ต้องหลอกตัวเองแล้วว่าเราเป็นแบบนั้นได้ เราเฟกได้ คน อื่นอาจจะบอกว่ามันคือการแบ่งอารมณ์ เป็นการแสดงอย่างหนึ่ง แต่โมว่าการหลอกตัวเองนี่แหละค่ะคือการเฟก การแสดงก็เป็นการเฟกอย่างหนึ่ง แสดงเก่งก็แสดงว่าเฟกเก่ง” พอถามว่าเธอแสดงเก่งไหม โมกลับยิ้มใสๆ ให้แทนคำตอบ
       
       บทเรียนจากเฟซบุ๊ก
       ถ้าได้ติดตามข่าวบันเทิงจากหน้าหนังสือพิมพ์เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา จะเห็นว่ามีข่าว “โม มนชนก แสงฉายเพียงเพ็ญ” เป็นแฟนกับ “เก้า จิรายุ ละอองมณี” หลุดออกมา จนทั้งสองฝ่ายต้องออกมาขอโทษขอโพย แก้ข่าวกันเป็นการใหญ่ พร้อมกับเปิดเผยว่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น เป็นเพียงความคิดขำๆ เอาไว้อำกันระหว่างกลุ่มเพื่อนเท่านั้นเอง เรื่องของเรื่องนั้น เกิดจากโมเข้าไปเปลี่ยนสถานะในเฟซบุ๊กส่วนตัวว่ากำลังคบหาดูใจอยู่กับเก้า เพื่อตั้งใจจะแกล้งเพื่อนคนหนึ่งในกลุ่ม แต่เรื่องราวกลับขยายวงกว้างจนถูกนำมาเขียนเป็นข่าวอย่างไม่มีใครคาดคิด
        
       
       “ใน เฟซบุ๊กมันจะมีส่วนที่ให้ตั้งข้อมูลเกี่ยวกับตัวเองว่ากำลังคบกับใครอยู่ หรือเปล่า ให้เลือกชื่อคนนั้นขึ้นมา แล้วคนอื่นก็จะเห็นว่าเรากำลัง In a ralationship with ใครอยู่ แล้วตอนนั้นเกิดนึกสนุก กดเลือกชื่อเก้าไปเล่นๆ ว่ากำลังคบกับเราอยู่นะ กะว่าจะแกล้งเพื่อนเสียหน่อย เพราะเพื่อนโมคนหนึ่งเขาคลั่งเก้ามาก เป็นแฟนคลับเก้า แล้วเผอิญว่าเก้าเขาก็กดยอมรับด้วยว่าเราคบกันจริงๆ ก็เลยเป็นเรื่อง แต่ตอนนั้นเราสองคนไม่ได้คิดอะไรนะคะ รู้ๆ กันอยู่ว่าล้อเล่นเฉยๆ ก็เลยขึ้นสถานะนี้ค้างไว้หนึ่งวัน แล้วหลังจากนั้นก็เอาออกเลยค่ะ นึกว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น ปรากฏว่างานเข้า เป็นข่าวใหญ่โต เข็ดเลยค่ะ จะไม่เล่นแบบนั้นอีกแล้ว ยอมรับว่าเรื่องที่เกิดขึ้นโมเป็นคนผิดเอง ถือว่าเป็นบทเรียนทำให้รู้ว่าอยู่ในวงการไม่ควรเล่นเฟซบุ๊กพร่ำเพรื่อ” โมยิ้มเรียบๆ ก่อนเริ่มพูดถึงอีกแง่มุมหนึ่งที่ได้เรียนรู้จากความผิดพลาดครั้งนี้
         
       
       “แต่ถึงตอนนี้โมก็ยังไม่ เข้าใจอยู่ดีนะว่าทำไมคนถึงเชื่อที่โมไปกดเล่นๆ ในเฟซบุ๊ก เขารู้ได้ยังไงว่าอันนั้นเป็นเฟซบุ๊กของโมกับเก้าจริงๆ ไม่ใช่เฟซบุ๊กปลอม สมัยนี้ของปลอมมีตั้งเยอะตั้งแยะ สมมติว่าโมถ่ายรูปแก้วน้ำแล้วตั้งชื่อเป็นอั้ม พัชราภาบ้างล่ะ จะมีใครเชื่อไหมว่าคือตัวจริง โมว่าบางทีเราอาจจะอยู่กับโลกอิน เทอร์เน็ตมากเกินไป เชื่ออะไรๆ ง่ายเกินไปหรือเปล่า แต่คงเป็นเรื่องปกติของคนแหละค่ะ เพราะถ้าเราเชื่อข่าวก๊อสซิปได้ เราก็คงเชื่อจากการอ่านสเตตัสเฟซบุ๊กได้เหมือนกัน”
         
       
       ถามว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดเป็นหนึ่งในแผนโปรโมตภาพยนตร์เรื่อง “เลิฟจุลินทรีย์ รักมันใหญ่มาก” ซึ่งโมแสดงคู่กับเก้าใช่หรือไม่ เธอได้แต่ส่ายหน้าพร้อมกับให้เหตุผลว่าเหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นก่อนจะถ่าย ทำเสร็จด้วยซ้ำ จึงตัดข้อสงสัยนี้ออกไปได้เลย ส่วนใครที่มองว่าเธอ สร้างสถานการณ์ขึ้นมาเพราะต้องการเกาะกระแสพระเอกหนุ่มเพื่อหวังดัง โมขอยืนยันว่าไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด เพราะเธอไม่เคยสนใจจะดังด้วยวิธีนี้แม้แต่นิดเดียว
         
       
       “เข้าใจว่าข่าวรักโปรโมตเป็นเรื่องธรรมดาในวงการ แต่ถ้าเลือกได้ โมขอไม่เป็นข่าวเลย อยู่เงียบๆ ไปเลยดีกว่าค่ะ เป็นข่าวนี่ถ้าดีก็ดีไป แต่ถ้าข่าวไม่ดี อย่ามีเลยดีกว่า ดูอย่างพี่แอน ทองประสมสิคะ ไม่เห็นมีข่าวเกี่ยวกับชีวิตพี่เขาเลยวันๆ หนึ่ง แต่เขาก็ยังมีชื่อเสียงโด่งดังอยู่ได้ ถ้าอยากอยู่วงการให้ได้นานจริงๆ แทนที่จะมานั่งทำตัวให้เป็นข่าว โมเอาเวลาไปพัฒนาฝีมือ แสดงศักยภาพของเราให้คนอื่นเห็นไม่ดีกว่าหรือ” คำตอบของเธอทำเอาผู้ถามอดพยักหน้าตามไม่ได้
       
       โดนแบนเพราะจูบ
       เลิฟซีนกันตั้งกี่ฉาก ให้ผ่านฉลุยได้แทบทุกเรื่อง พอถึงคราวปล่อยทีเซอร์หนังรักวัยรุ่นใสๆ อย่าง “เลิฟจุลินทรีย์ รักมันใหญ่มาก” ออกมา สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติกลับรีบแบนกันแทบไม่ทัน ด้วย เหตุผลที่ว่าตัวอย่างภาพยนตร์มีการฉายให้เห็นภาพที่ไม่เหมาะสมของนักแสดงวัย รุ่น ทำท่าจูบกันแบบปากชนปาก โดยเฉพาะตัวละครบางตัวซึ่งอยู่ในชุดนักเรียน กลัวว่าพฤติกรรมดังกล่าวจะเป็นตัวอย่างที่ไม่เหมาะสม ส่งผลให้เด็กและเยาวชนลอกเลียนแบบในภายหลัง ในฐานะที่โมเป็นเจ้าของฉากเลิฟซีนที่ถูกแบน ถามว่ามีความคิดเห็น อย่างไรกับเรื่องนี้ เธอนิ่งคิดสักพัก ก่อนให้คำตอบอย่างระมัดระวัง เพราะไม่อยากให้คำพูดของตัวเองกระทบต่อตัวหนังอีกรอบหนึ่ง
        
       
       “ต้องยอมรับค่ะว่าเราผิด จริง ตอนนั้นหยุดยาวขึ้นปีใหม่ ทางค่ายเลยไม่ได้ส่งทีเซอร์ให้คณะกรรมการตรวจสอบตามขั้นตอนก่อน พอถูกแบนก็สมเหตุสมผลดี ส่วนฉากที่ถูกแบนไป เขาให้เหตุผลว่าเป็นตัวอย่างไม่ดีแก่เยาวชน ก็เข้าใจค่ะว่าถ้า ตัดสินจากแค่ทีเซอร์อย่างเดียวอาจจะตีความไปแบบนั้นได้ แต่ถ้าได้ดูภาพรวมทั้งหมดของเรื่อง จะรู้ว่าที่ตัวละครทำแบบนั้น มันมีที่มาที่ไปของมันอยู่ ไม่ใช่ว่าต้องการเน้นเรื่องจูบกันอย่างเดียว แต่ก็เข้าใจค่ะว่าคนอื่นเขาไม่ได้มานั่งทำหนังกับเรา ไม่ได้รู้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในเรื่อง ในการถ่ายทำ เลยทำให้เข้าใจต่างกันไป”
         
       
       ถามว่าเธอเห็นด้วยไหมกับแนว คิดเรื่องพฤติกรรมการเลียนแบบของเยาวชน และคิดว่าเป็นไปได้แค่ไหนที่การดูฉากปากแตะปากนานไม่ถึง 3 วินาที จะส่งผลให้วัยรุ่นทำตาม หลังจบประโยคคำถามไม่นาน โมก็ให้คำตอบอย่างตรงไปตรงมาตามสไตล์ของเธอว่า “เด็กสมัยนี้ล้ำกว่านั้นเยอะค่ะ” ก่อนขยายความเพิ่มเติมในฐานะที่เป็นวัยรุ่นไทยมีหัวคิดคนหนึ่ง
         
       
       “โมว่าเด็กไทยฉลาดกว่านั้น นะ อย่างเวลาโมดูหนัง ก็ไม่เคยคิดว่าอยากจะเลียนแบบอะไร เวลาดูหนังแอ็กชัน เราก็ไม่เคยเลียนแบบ เอาปืนมายิงหัวกันอย่างที่เป็นข่าว โมรู้สึกว่าเด็กไทยไม่ได้ไร้ความคิดขนาดนั้นค่ะ แต่โมอาจจะตัดสินจากการเอาความคิดของตัวเองเป็นใหญ่ก็ได้ เด็กคนอื่นอาจจะไม่ได้คิดอย่างโม ก็ถือว่าดีแล้วค่ะที่มีการเซ็นเซอร์กันไว้ก่อน”
         
       
       วกกลับมาถามความคิดเห็นในฉากเลิฟซีนกันบ้าง เห็นกล้าประกบริมฝีปากจริงตั้งแต่ผลงานภาพยนตร์เรื่องแรกในชีวิตแบบนี้ จึงอดถามไม่ได้ว่าเธอวางลิมิตของตัวเองไว้แค่ไหนกับเรื่องนี้ โมตอบว่า “เท่าที่เห็นคือมากที่สุดแล้วค่ะ” ถึงแม้ทัศนคติของเธออาจเปิดกว้างมากขึ้นเมื่ออายุมากกว่านี้ แต่โมก็ยังยืนยันคำตอบเดิมโดยให้เหตุผลว่า “แค่จูบดีกว่าค่ะ โมไม่อยากทำให้คุณแม่ไม่สบายใจ เพราะถึงลูกจะโตขึ้นแค่ไหน ก็ยังเด็กในสายตาของคนเป็นพ่อกับแม่อยู่ดี”
        
       
       เคยเกเรมาก่อน
       ถ้าวัดจากการพูดคุยกัน จัดได้ว่าโมเป็นวัยรุ่นที่รู้จักคิดคนหนึ่งเลยทีเดียว แต่กว่าจะเติบโต กลายมาเป็นโมอย่างที่เห็นทุกวันนี้ โมเล่าให้ฟังว่าเธอผ่านประสบการณ์วัยเด็กมาแล้วหลากหลายรูปแบบ เรียกได้ว่าเป็นคนที่ชีวิตมีสีสันอยู่ไม่ใช่น้อย จากตอนประถมฯ ที่เคยขี้อาย ไม่กล้าพูดคุยกับใคร เอาแต่ร้องไห้อย่างเดียว พอขึ้นมัธยมฯ ก็เริ่มกล้ามากขึ้น เข้ากับเพื่อนๆ ได้มากขึ้น กลาย เป็นเด็กหลังห้อง โดดเรียนเป็นประจำจนคุณแม่ต้องตามไปเฝ้าที่โรงเรียนทุกวัน ทำตัวไม่เอาไหน จนกระทั่งกลับตัวกลับใจ หันมาตั้งใจเรียนและเป็นผู้เป็นคนได้อย่างทุกวันนี้
        
       
       “เมื่อก่อนโมแย่มาก โดยเฉพาะตอนม.4 เป็นเหมือนเด็กวัยรุ่นทั่วไปที่มันแย่ๆ น่ะค่ะ บ้าบอ โดดเรียน ทำให้คุณแม่เป็นห่วงมาตลอด พอได้เข้ามาทำงานในวงการนี่แหละค่ะถึงเริ่มคิดได้ จู่ๆ ก็มีความคิดว่าเที่ยวเล่นมามากพอแล้ว เลยหันมาเปลี่ยนตัวเองอย่างจริงจัง จากเมื่อก่อนที่คุณแม่ไม่เคยปล่อยเราเลย จะตามไปดูพฤติกรรมที่โรงเรียนตลอด พอ เราเปลี่ยน คุณแม่ก็เริ่มปล่อย เหมือนกับเราทำให้เขาเชื่อได้แล้วว่าเราโตแล้ว มีความคิดแล้ว ตอนนี้คุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องห่วงโมแล้วค่ะ เอาเวลาไปห่วงน้องชายแทน เพราะเขากำลังอยู่ในช่วงที่โมเคยผ่านมาแล้ว”
       
Credit: ผุ้จัดการออนไลน์
#ดาราวัยรุ่น
THEPOco
ผู้กำกับภาพ
สมาชิก VIP
5 มี.ค. 54 เวลา 07:19 26,095 2
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...