ก่อนอื่น ......ผมต้องขอออกตัวก่อนครับว่า ผมมิได้จะคิดลบลู่ หรือมีอคติกับ เจ้าของภาพประกอบที่ผมนำมาลงแต่อย่างใด ผมเพียงแต่ อยากจะนำมาลงให้เพื่อน ๆ หรือท่านที่สนใจ อยากรู้ว่า จริง ๆ แล้ว เรื่องเสน่ห์ยาแฝดนั้น มีจริงหรือไม่ และหายไปไหน เท่านั้น...คำตอบสำหรับเพื่อน ๆ ที่สนใจอยากทราบคือ
" ทุกอย่างที่คุณ ๆ ได้ฟังมา ยังอยู่และมีให้เห็นในปัจจุบันครับ "
ถ้ากระทู้นี้ กระทบกระเทือนความรู้สึกของท่านผู้ใด หรือแม้แต่เจ้าของภาพเอง กระผมขออโหสิกรรม และขอประทานอภัย มา ณ ที่นี้ด้วย
เสน่ห์ยาแฝด....วัตถุประสงค์ของผู้กสร้าง ก็เพื่อแก้ปัญหาของคนที่มีความรัก ความรักไม่สมหวัง ฯลฯ แต่ก็เคยได้ยิน ได้ฟังมาบ่อยๆ ครับ เกี่ยวกับการนำไปใช้ในทางที่ผิด....
เพื่อน ๆ สมาชิกเอ็มไทย กรุณา ใช้วิจารณญาณในการรับชมนะครับเพื่อน ๆ
เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ผมจะขอเริ่มต้น อันดับแรก ๆ เฮี้ยน ๆ เลยนะครับเพื่อน ๆ
น้ำมันพราย
อาจารย์สมศักดิ์เล่าว่าการไปรนน้ำมันพรายครั้งแรก เนื่องจากได้รับข่าวว่ามีศพของหญิงตายทั้งกลมรายหนึ่งถูกฝังที่ป่าช้าบ้านชัฏใหญ่ ตำบลสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี รายนี้ถึงแก่ความตาย เนื่องจากเธอฆ่าตัวตาย เพราะท้องไม่มีพ่อ ฝ่ายชายไม่รับผิดชอบในสิ่งที่กระทำ แถมยังหายหน้าหายตาไปจากหมู่บ้านอีก เธอจึงตัดสินใจกรอกยาฆ่าแมลงใส่ปากจนตายอย่างน่าสังเวชขณะตั้งครรภ์ได้ 4 เดือน
ตามขนบธรรมเนียมความเชื่อของชาวไทยตามชนบท จะไม่นำศพที่ตายโหงไปเผา จะนำไปฝังที่ป่าช้าแทน
เมื่อหมอผีรู้รายละอียดดีแล้ว จึงเตรียมสิ่งของเครื่องมือเครื่องใช้ในการประกอบพิธีไปเอาน้ำมันพรายครบครัน รอจนถึงคืนที่ 3 หลังจากฝังศพ ก็เดินทางไปยังป่าช้าแห่งนั้นอย่างเงียบๆ ในตอนดึกสงัด
เมื่อเข้าเขตป่าช้า สิ่งแรกที่ต้องทำคือ ขออนุญาตนายป่าช้าก่อน นายป่าช้านี้เรียกว่า "ยายกะลาตากะลี" การขอนุญาตนายป่าช้าจะมีเครื่องเซ่นใส่กระทงสามเหลี่ยมทำด้วยกาบกล้วย เครื่องเซ่นมี
ข้าวสวย 3 ปั้น ไข่ต้ม 3 ลูก ปลา 3 หัว
หางปลา 3 หาง บุหรี่ 3 มวน เหล้าขาว 1 ขวด
จากนั้นก็จุดธูป 1 ดอก บริกรรมเรียกวิญญาณนายป่าช้ามารับเครื่องเซ่นสังเวย แล้วขอนุญาตนายป่าช้าว่าจะมารนเอาน้ำมันพรายจากศพหญิงตายทั้งกลมชื่อนั้นชื่อนี้(ระบุุให้ชัดเจน) หากนายป่าช้า
อนุญาตก้อขอให้ธูปดับทันที ถ้าไม่อนุญาตก้อขอให้ธูปลามต่อไปจนหมดดอก
หลังจากอธิษฐานบอกกล่าวแล้วหมอผีก้อจะสังเกตดูว่าธูปที่จุดไว้เป็นอย่างไร หากธูปที่ส่องแสงเรืองๆนั้น ได้ดับสนิทลงในเวลาไม่ถึงอึดใจ แสดงว่านายป่าช้าไม่ขัดข้อง เมื่อเป็นเช่นนั้นการรนน้ำมันพรานก้อถือว่าด่านแรกได้ผ่านไปด้วยดี แต่ถ้านายป่าช้าไม่อนุญาต หมอผีจำเป็นต้องล้มเลิกการรนเอาน้ำมันพรายแต่เพียงเท่านี้
เมื่อผ่านขั้นแรกแล้ว คณะหมอผีก้อพากันไปที่หลุมศพหญิงตายทั้งกลมคนนั้น ซึ่งจะสังเกตได้ง่าย เพราะเหนือมูลดินหลุมศพ มีหนามพุทราวางเกลี่ยไว้ตลอดหลุม หนามเหล่านี้มีไว้มิใช่ป้องกันสุนัขหรือสัตว์อื่นมาคุ้ยหลุมศพ แต่เป็นการกระทำของสัปเหร่อที่มีอาคม วางหนามพุทราสะกดเพื่อไม่ให้วิญญาณผีตายทั้งกลมออกมาอาละวาด
หมอผีจะสั่งรื้อเอาหนามพุทราออกให้หมดระหว่างที่รื้อหนามออก จะต้องบริกรรมคาถาถอน หรือคลายมนต์สะกดไปด้วยการป้องกันไม่ให้วิญญาณผีตายทั้งกลมอาละวาดเป็นวิชาไสยศาสตร์แขนงหนึ่งที่สัปเหร่อจะ
ต้องเรียนรู้คาถาสะกดหรือตรึงวิญญาณให้อยู่แต่ในหลุมศพ หลังจากถอนมนต์สะกดจากหินออกไปแล้ว หมอผีจะใช้มีดหมอปักดินแล้วงัดเปิดขึ้นมารอบๆหลุมศพทั้ง 8 ทิศ
เป็นการเบิกธรณีก่อนที่จะให้ผู้ติดตามขุดเอาดินปากหลุมออกจนถึงฝาโลง เมื่องัดฝาโลงให้ตะปูถอนเขยื้อนขึ้นมาหมดทุกตัว แต่ยังไม่เปิดฝาโลงออก หมอผีจะให้ผู้ที่ติดตามถอยอยู่ห่างๆ เพราะเป็นช่วงเวลาที่สำคัญ
ผู้เปิดฝาโลงก็คือหมอผี ทันทีที่ฝาโลงถูกเปิดออกกลิ่นเน่าเหม็นของศากอศุภะ ซึ่งกำลังขึ้นอืด เพราะไม่ได้ฉีดยารักษาศพ จะกระจายตลบไปทั่วอาณาบริเวณ และในเสี้ยวเวลาที่ฝาโลงถูกพลิกเปิดถือกันว่าเป็นห้วงเวลาอันตรายสำหรับหมอผี
......คราวนี้หมอผีจะทำการตัดด้ายตราสังที่มัดข้อมือออก แล้วบอกกล่าวให้ผีรู้ว่าจะมาขอเอาน้ำมันพราย จะให้หรือไม่? ถ้าให้จะให้ตรงไหน? ถ้าผียินยอม ผีก้อจะบอกไปว่าบริเวณใดที่จะให้ใช้ไฟรนได้
เทียนที่จะใช้รนเอาน้ำมันพรายต้องทำจากขี้ผึ้งแท้ ยาวเท่า 1 ศอกของหมอผี ไส้เทียนใช้ด้าย 80 เส้นมาฝั้น ระหว่างฝั้นก็ต้องบริกรรมคาถาสะกดวิญญาณไปด้วย และจะต้องบริกรรมไม่ให้ขาดตอน จนกว่าการทำเทียนจะสิ้นสุด
เมื่อใช้เทียนรนจนน้ำเหลืองหรือน้ำมันละลายหยด ให้ใช้ชามโคม หรือถ้วยกระเบื้องไปรองรับ ซึ่งจะได้น้ำมันจากศพอย่างมากก็ไม่เกิน 10 หยด เมื่อได้น้ำมันมาแล้วก็เทรวมกับน้ำมันซึ่งเตรียมใส่ขวดปากกว้าง น้ำมันที่เตรียมมานี้ไมาใช่น้ำมันธรรมดา
เป็นน้ำมันที่ได้มาโดยการผสมผสานระหว่างน้ำมันมะพร้าวซึ่งเคี่ยวจากมะพร้าวล้างหน้าศพ 7 ศพ และขี้ผึ้งปิดากผีอีก 7 ศพ
มะพร้าวล้างหน้าศพก็คือมะพร้าวที่สัปเหร่อผ่าเอาน้ำมาล้างหน้าศพก่อนเผา หลังจากผ่ามะพร้าวแล้วจะต้องไม่ให้มะพร้าวถูกพื้นดินให้เก็บไว้ในที่สูง แล้วขูดเอาเนื้อมะพร้าวทั้ง 7 ลูก ไปเคี่ยวจนเป็นน้ำมัน แล้วเอาขี้ผึ้งที่ใช้ปาก จมูก ตา หู ศพ 7 ศพ นำไปเคี่ยวรวมกับน้ำมันมะพร้าวจนเข้ากันดี แล้วจึงเทใส่ขวดรวมไว้
หลังจากรนเอาน้ำมันพรายเสร็จแล้ว ก้อให้มัดด้ายตราสังที่ข้อมือของศพไว้ดังเดิม
หงส์ร่อน มังกรรำ
( ....ผมจะไปก๊อปมา พี่แกป๊อบอัพบอกว่า " ขอกันดี ๆ ก็ได้นะ ".... ฮิฮิ )
"หงส์ร่อน มังกรรำ" เป็นการทำเสน่ห์ยาแฝดอย่างหนึ่ง ซึ่งมีมาตั้งแต่สมัยโบราณ
หงส์ร่อน มีกรรมวิธีที่ผู้หญิงทำ โดยขณะหุงข้าว หรือกับข้าว สมัยก่อนจะใช้หม้อดินเผาที่กำลังร้อนๆ เป็นไอ นุ่งโจงกระเบน แล้วยืนคร่อม ถลกผ้ายกไปข้างหน้า เหมือนหงส์ร่อน คลุมให้ไอน้ำ ขึ้นมากระทบที่หน้าขา และบริเวณที่ลับของผู้หญิง จนเกิดเป็นเหงื่อ และเหงื่อหยดกลับไปในหม้อหุงข้าว หรือกับข้าว แล้วนำไปให้ผู้ชายกิน
มังกรรำ (ลำบากหน่อย) ต้องทำพิธีโดยไม่อาบน้ำแปรงฟันล้างหน้า 3-7 วัน แล้วอาบน้ำในถังใบเดียวให้หมด โดยไม่ให้ไหลหกออกนอกถังเลย ทั้งแปรงฟันล้างหน้าจนเสร็จ แล้วออกมารอจนตกตะกอน รินน้ำใสข้างบนออก ได้ส่วนที่อยู่ก้นที่เป็นขี้ไคล นำลูกสวาทมาแคะเอาเนื้อในออก แล้วนำขี้ไคลก้นถังใส่เข้าไปแทน หยดเทียนปิดไว้ เอาไปให้เด็กผู้หญิงกิน รอให้ถ่ายออกมา แล้วงัดเทียนที่ยาปิดไว้ออก ทุบเม็ดให้แตก เอาส่วนข้างในนั้นไปบดแล้วไปโรยใส่อาหารให้กิน ทำให้หลง
คนถูกทำจะมีหน้าหมองคล้ำ ไม่มีสง่าราศี การแก้ โดยให้ไปแตะเสาหลักเมืองก็จะหายได้ ว่ากันตามตำรานะครับ
ฝังรูปฝังรอย .....การฝังรูปฝังรอยนั้นเป็นกรรมวิธีที่ทำกันมาตั้งแต่โบราณโดยการปั้นหุ่นขึ้นมา 2 ตัว เป็นผู้หญิง กับ ผู้ชาย โดยใช้ดินจากเจ็ดป่า มาผสมกัน ........................................
การฝังรูปฝังรอยที่จะทำให้ผู้หญิงกับผู้ชายรักกันนั้น เขาจะปั้นรูปเรียบร้อยตามวิธีการแล้วจะเอาหุ่น 2 ตัวหันหน้าชนกัน.............................................................................
( ขออนุญาติ ไม่ลงรายละเอียด เพราะเปรียบเหมือนดาบ 2 คม )
ไม้แหย่แย้...สำหรับคุณ หมูสนาม
ต้นไม้แหย่แย้....ทำให้แม่ยายยิ้ม....ฮิฮิ
......ถ้าพูดถึงแย้ เจ้าสัตว์เลี้อยคลานมีลายคาดข้างตัวเล็กว่องไวปราดเปรียวละก็ คนบ้านนอกที่ใช้ชีวิตประจำวันอยู่ตามหัวไร่ปลายนา เป็นต้องหูผึ่งขึ้นมาเลยครับเพราะถ้าได้ตัวมันมาก็หมายถึงเมนูพิเศษ บนสำรับมื้อเย็นกันเลย
สำหรับ ไม้แหย่แย้ที่เราเรียกกัน เมื่อเอาไปถามแพทย์แผนไทย ท่านจะร้องอ๋อ เพราะมีชื่อเรียกทางสมุนไพรว่า เปล้าตองแตก เป็นไม้พุ่ม ขึ้นตามที่ดอนทั่วๆไป ในส่วนที่ขึ้นตามธรรมชาติ มักจะทิ้งใบล่าง เห็นต้นเปลาชัดเจน บางใบจะมีลักษณะเป็นแฉก ต้นสูงประมาณ1-2เมตร ดอกเล็กๆออกเป็นช่อตามภาพที่นำมาประกอบเป็นต้นที่มาเลี้ยงบำรุงจึงค่อนข้างงาม คุณสมบัติเฉพาะตัวออกฤทธิ์เป็นยาถ่าย แต่มักปรากฏในตำรายาไทยหลายสูตร หลายขนานด้วยกัน
.......ที่ถูกขนานนามว่าไม้แหย่แย้เพราะเมื่อแย้หนีการไล่ล่าลงรู พวกเราขอเรียกว่านักล่า จะหักเอาไม้ชนิดนี้รูดใบออกเอาปลายแหย่ไปในรู แล้วดึงไม้ออกอย่างช้าๆ แย้จะตามปลายไม้ออกมาเองทีนี้ก็อยู่ที่คนไล่ล่าว่า จะจับเป็นหรือจับตายแล้วจะไม่ให้แม่ยายยิ้มได้อย่างไร ก็ในเมื่อลูกเขยไปทำไร่ไถนา ขากลับยังมีอาหารติดมือกลับบ้านด้วย ทำให้อุ่นใจได้ว่า ลูกสาวตัวเอง กับหลานเล็กๆ มีกับข้าวมื้อเย็นแน่ๆ พอเล่ามาถึงตอนนี้ อดที่จะคิดถึงแจ่วแย้ขึ้นมาทันที ถ้าหากว่าใครได้ลองกินแจ่วแย้สักครั้ง แล้วจะติดใจ ขอบอก
ไม้แหย่แย้เป็นเครื่องรางของขลังประจำถิ่น จ.ปรา จีนบุรี เชื่อกันว่าหากใครพกติดตัวเมื่อพูดแล้วจะทำ ให้คนรักคนหลง น่าเชื่อถือ คล้ายกับมหาเสน่ห์หรือสาลิกาลิ้นทอง
บางตำราระบุว่าไม้แยงแย้ หรือไม้แหย่แย้ มีอิทธิคุณด้านโชคลาภและมหาระรวย
บ้างก็ว่าหากนำไปปรุงเป็นน้ำมันตาทิพย์ เมื่อทาหนังตาแล้วสามารถมองเห็นทะลุวัตถุได้ ดุจตาวิเศษ
ในปัจจุบันผู้จัดสร้างวัตถุมงคลนิยมนำไม้แหย่แย้บดเป็นผงเป็นมวลสารในการจัดสร้าง หรือนำไม้แหย่แย้มาทำเป็นเครื่องรางของขลัง
รวมถึงนำต้นที่เป็นเถาสั้นมาสวดคาถากำกับไม้แหย่ แย้ให้เกิดความเป็นมงคล
มีความเชื่อว่า ผู้ที่มีไม้แหย่แย้ไว้ในครอบครองจะมีอิทธิคุณในการดึงดูดและสะกดใจคนอย่างได้ผลนัก
โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชมครับเพื่อน ๆ และคุณ หมูสนาม ก็ทราบแล้วนะครับว่า ไม้แหย่แย้ คืออะไร.....
เชื่อรึเปล่าครับเพื่อน ๆ ....ผมเคยเห็นคนเล่นของพวกนี้ ( ยกเว้นไม้แหย่แย้ ) ผมไม่เคยเห็นใคร เจริญเลยครับ...พูดก็พูด...!