ตามตำนานของไทยเล่ากันว่าเงือกนั้นมีหน้าเล็กกลมเท่างบน้ำอ้อย(ประมาณหน้า ชะนี)ผมยาว
วันดีคืนดีกลางคืนเดือนหงายจะขึ้นบกมาหวีผมด้วยหวีทอง บางทีก็ใช้กระจกทองส่องหน้าด้วย ถ้ารู้สึกว่ามีใครเข้ามาใกล้ตัว
จะโจน ลงน้ำดำหนีไป ทิ้งหวีและกระจกทองไว้ ถ้ามีผู้พบเห็นกระจกทองแต่เก็บไว้ไม่ทิ้งลงน้ำคืนเงือก
เงือกจะมาเข้าฝันทวงของคืน ถ้าไม่ให้ก็จะถูกปลิดดวงวิญญาณไปหรืออาจถูกฉุดตัวจมน้ำไปขณะที่ลงไปอาบน้ำ
----------------------
เงือกไทย
ในวรรณคดีไทยมีกล่าวถึงเงือกไว้หลายเรื่อง แต่เรื่องที่รู้จักกันแพร่หลายคือเงือกในเรื่องพระอภัยมณีของสุนทรภู่
ได้ กล่าวถึงลักษณะของเงือกว่ามีท่อนบนเป็นคน ท่อนล่างเป็นปลา
เป็นผู้พาพระอภัยมณีหนีจากนางผีเสื้อสมุทรมาที่เกาะแก้วพิสดาร
เรื่องอุณรุท พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ก็กล่างถึงเงือกไว้ตอนหนึ่งว่า
"เสด็จนั่งยังท้ายเภตรา ชมหมู่มัจฉาน้อยใหญ่ ว่ายคล่ำดำดั้นอยู่ไวไว ที่ใน มหาชลธาร
เงือก งามหน้ากายคล้ายมนุษย์ เคล้าคู่ พู่ผุด ในชลฉาน
ในเรื่องรามเกียรติ์ก็มีนางสุพรรณมัจฉาธิดาของทศกัณฐ์กับนางปลา มีรูปร่างท่อนบนเป็นหญิง แต่มีท่อนล่างเป็นปลา
นางได้นำสัตว์น้ำบริวาร ไปขนย้ายหินที่กองทัพพระราม ถมลงทะเลเพื่อทำถนนไปทิ้ง ตามคำสั่งของทศกัณฐ์
แต่ ถูกหนุมานจับได้และตกเป็นภริยาของหนุมาน มีบุตรด้วยกันคือ มัจฉานุเป็นลิงเผือกแบบหนุมานแต่มีหางเป็นปลาแบบมารดา
สำหรับการบันทึกเกี่ยวกับ “นางเงือก” มักมีการถูกบันทึกทุกยุคสมัย ไม่เหมือนคำบอกเล่าทั่วๆ
แต่มีหลายเรื่องเหมือนกันที่เรื่องออกมาเหมือน ตำนานมากกว่า เช่น
ค.ศ.558 ในไอร์แลนด์เหนือ มีชาวประมงออกไปหาปลาแห่งหนึ่ง ซึ่งที่แห่งนั้นชาวประมงมักได้ยินเสียงร้องเพลงดังมา
จากใต้ผิวน้ำ บริเวณกลาง ทะเลสาบ ด้วยความสงสัยใคร่รู้ทำให้ชาวประมงต่างพามาจุดนั้นแล้วใช้อวนล้อมเอาไว้ ผลคือมีเด็กหญิงรูปร่างประหลาดติดมาด้วย
เด็กคนนั้นมีผมยาวสยายสี เขียวเข้ม ผิวกายออกสีเขียวอ่อน ระหว่างนิ้วมือมีเยื่อหรือพังผืดบางๆ
ขึงอยู่ระหว่างนิ้วต่อนิ้ว
ส่วนร่างกายท่อนล่างมีลักษณะคล้ายปลาแต่ไม่มีเกล็ด มีขนเส้นละเอียดอ่อนสีชมพูขึ้นอยู่เต็มท่อนหาง
ชาวประมงได้นำเด็กหญิง เงือกนี้มาขังไว้ในถังน้ำขนาดใหญ่ใส่น้ำจนเต็มเพื่อให้คนอื่นได้ดูกัน
และ ตั้งชื่อเด็กหญิงเงือกนี้ว่า “เมอร์แกน” ซึ่งหมายความว่า “เกิดในทะเล”
จาก นั้นเงือกตนนั้นก็เข้าไปอยู่ในมือของนักบวชเพื่อโปรดศีลและล้างบาปทาง พิธีกรรมศาสนาทุกอย่าง
จากนั้นสักระยะหนึ่งเมอร์ แกนก็พูดภาษามนุษย์ได้ จับความได้ว่า เธออายุ 300 ร้อยปี
ชื่อเดิมของเธอคือ “ลีบัน” ตอนแรกเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาต่อมาครอบครับของเธอประสบอุบัติเหตุจมน้ำเสีย ชีวิตหมด
เหลือแต่เธอที่รอดมาได้และเมื่อเวลาหนึ่ง ปี ร่างกายของลีบันเริ่มเปลี่ยนสภาพที่ละน้อยจนกลายเป็นเงือกในที่สุด
และเมื่อเธอสิ้นชีวิตลง ผู้คนต่างยกย่องนามเธอว่า “เซนต์เมอร์แกน”
ทั้ง นี้เพราะหลังจากที่เธอเสียชีวิต วิญญาณของเธอได้แสดงปรากฏการณ์มหัศจรรย์แก่สายตาผู้คนใน ณ ที่นั้น
นอกจากในยุโรปแล้วบันทึกการพบเงือกนั้นก็พบในแถบน่าน น้ำญี่ปุ่น และเกาหลีด้วยนะครับ
ซากเงือกที่วัดเมียวชิMyouchi Temple
ที่ญี่ปุ่นแน่นอนมันเป็นประเทศที่ ประกอบไปด้วยเกาะน้อยใหญ่มากมาย เรียงรายนับร้อยเกาะ ทอดตัวยาวลงมา
โดย ฟากหนึ่งนั้นเบี่ยงไปทางเกาหลี จีน และรัสเซีย และอีกฟากทอดตัวไปทางมหาสมุทรแปซิฟิกนับได้หลายร้อยกิโลเมตร
ซึ่งมี เรื่องราวมากมายเกี่ยวกับเงือกมากมายตั้งแต่สมัยเฮอันเคียวลงมาจน กระทั่งในยุคเฮเซหรือสมัยปัจจุบัน
ที่ฟูกูโอกะ FUKUOKA นั้นมีวัดริวกุ หรือวัดนางเงือกอันมีชื่อเสียงโด่งดัง ว่ากันว่าทุกๆปีจะมีการเปิดให้คนเข้าชมหีบที่บรรจุกระดูกเงือก
โดยผู้ เฒ่าผู้แก่แถบนั้นต่างพูดถึงเงือกในลักษณะที่ว่า เงือกนั้นมักอาศัยอยู่แถบช่องแคบเกาหลี และเรื่อยมาจนถึงด้านเหนือสุดของเกาะคิวชู
ที่วัดริวกุ RYUKU เราจะพบจารึกโบราณที่เขียนว่า “ เมื่อ ศักราชที่ 1222 จับเงือกได้หนึ่งตัว ชะรอยมันตายจึงได้ฝังไว้ในเขตคามแห่งวัดอูกินิโดะ
นับว่าเป็นศุภสัญญาณ มงคลว่าจักรวรรดิเราจะดำรงอยู่ชั่วนิรันดร์ เชื่อกันว่าเงือกตัวนี้มาจากริวกุ วังของเทพเจ้าแห่งท้องทะเล
ดังนั้น แล้วไซร้วัดแห่งนี้จึงได้มงคลนามใหม่ไหม่ว่า วัดริวกุ ฯ ”
ซากเงือกที่วัดเมียวชิMyouchi Temple
ผู้เฒ่าผู้แก่ที่ฟูกุโอกะยัง บอกว่าอัน ที่จริงแล้วเงือกนั้นมีสองขาหากแต่ปลายเท้าเป็นพังผืด ขานั่นชิดติดกันอย่างพิสดาร
ผิว่าจะงอได้เหมือนขาคนพิการก็ไม่ปาน จะชิดกันตลอดเวลา และจะไม่สามารถยืนขึ้นได้ มือนั้นเรียวยาว แขนยาว ลีบ เป็นพังผืดและมีใบหน้าคล้ายคนที่หน้าบี้
บี้แบนไปทางด้านข้างหรือจะว่า แบนข้าง มองเผินๆอาจกระเดียดไปทางหัวปลาก็ว่าได้ เมื่อชาวประมงจับได้ พอเอามาวางไว้บนเรือมันจะทำท่าแปลก
ขู่เสียงดังเป็นเสียงวิ้ด ๆๆๆ ฟังดูคล้ายเสียงพวกอสุรกายก็ไม่ปาน ชาวประมงถือว่าเป็นลางไม่ดีหูจะหนวกเอาได้
หากแต่แท้จริงแล้วมันกำลังจะ ขาดใจตาย สุดท้ายชาวประมงก็มักจะพากันแตกตื่นและทิ้งเงือกลงทะเลเพราะกลัวความซวยจาก เทพเจ้าแห่งท้องทะเล ....
ซากเงือกที่วัดคารุคายาโดะ Karukayado Temple
แล้วตกลงเงือกคืออะไรกันแน่ หรือจะเป็น แค่สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดหนึ่ง
อย่างไรก็ตามหากจะนำเรื่องราวที่อิง ธรรมชาติมาอ้างนั้น ในแถบช่องแคบเกาหลีและทะเลญี่ปุ่นไม่พบสัตว์เลี้ยงลูก ด้วยนมที่มีเค้าอย่าง พะยูนหรือแมวน้ำหรือวัวทะเลเลย
แต่ในอีกทฤษฎีหนึ่งหากเราจะตัดเอาทฤษฎีสมรู้ร่วมคิดออกไปและการแต่งเติมจาก ปาก ต่อปากออกไป
โดยพยายามมองให้เป็นเรื่องที่ของธรรมชาตินั่นเป็นไปได้ อาจเกิดมาจากการที่ชาวประมงในยุคก่อนได้พบสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม
ที่ยัง วิวัฒนาการไม่สมบูรณ์หรือสัตว์ต่างถิ่นที่กระเดียดไป ทางพะยูนหรือวัวทะเล และที่สำคัญการได้พบสัตว์สายพันธ์ใหม่ในท้องทะเลลึก หรือปลาทะเลน้ำลึกก็เป็นได้
ส่วนที่ว่าเนื้อเงือกเมื่อกินไปจะมี อาการออกไปทางเหมือนผีตายซาก มากกว่าการเป็นอมตะนั้น เป็นไปได้ทีเดียวที่เนื้อของสัตว์ทะเลบางชนิดจะมีพิษ
ที่ทำให้คนเป็นอม พาตได้ หรือเป็นสารที่ช่วยในการรักษาศพมากกว่า อาจจะด้วยองค์ประกอบของเกลือที่ฝังในเนื้ออย่างเข้มข้นด้วยว่าสารนั้นอาจ ช่วยยืดอายุศพได้
เราจึงไม่อาจสรุปได้ว่าสิ่งไดควรเชื่อหรือไม่ แต่มีข้อคิดที่น่าสนใจที่ว่าทะเลนั้นยังคงเป็นที่ที่ มนุษย์รู้จักน้อยกว่าดวงจันทร์เสียอีก
เพราะด้วยการสำรวจทะเลอันกว้าง ใหญ่และพิสดารลึกลับที่แทบจะ ไม่มีวันทำได้ทั่วถึงนั่นเอง
---------------------
ซากเงือก จากที่ต่างๆ จากอินเตอร์เน็ท
หวังว่าทุกคน คงชอบกันนะ ครับ เรื่อง แปลก ลี้ลับ พิสูจน์ ไม่ใด้ อะไรแบบนี้
สรุป ผม ก็ ยัง สงสัย อยู่ดี ว่า มัน มี จริง รึเปล่ารึเป็นแค่เรื่องที่คนแต่งขึ้น
อย่างที่ เค้าบอกแหล่ะ ครับ "เรารู้จักโลกใต้ทะเล น้อยกว่าดวงจันทร์ซะอีก"
คนเรา เมื่อมี สิ่ง เล้นลับ พิศวง งง งวย น่าค้นหา ก็ต้องอยากรู้ เป็น เรื่องธรรมดา
ผม คนนึงล่ะ ชอบ มากก ของ แปลกๆ เนี่ย