เป็นอย่างที่บางคนชอบพูด...คือ “คนละเรื่องเดียวกัน” ระหว่างคดีข่มขืนเด็กที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งและต่อเนื่องในเมืองไทย และบางครั้งก็มีครูเป็นผู้ต้องหา กับกรณีชาวอเมริกันที่เป็นผู้ต้องหาในคดีฆ่าข่มขืนเด็กหญิงอเมริกันเมื่อ 10 ปีก่อน ถูกจับกุมตัวได้ในเมืองไทย หลังเข้ามาแฝงตัวเป็นครู
เปล่า...มิใช่เป็นคนละเรื่องเดียวกันเพราะคำว่า “ครู”
เป็นคนละเรื่องเดียวกันตรง “เด็ก” เป็น “เหยื่อข่มขืน”
และผู้ลงมือก่อเหตุอาจมีอาการ “พีโดฟีเลีย” เหมือนกัน
“พีโดฟีเลีย (Pedophilia)” นี้...เป็นอาการ “จิตผิดปกติ” ซึ่งกับชาวอเมริกันที่ถูกจับกุมในไทยและเป็นข่าวครึกโครมไปทั่วโลกนั้น นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน จิตแพทย์ โฆษกกรมสุขภาพจิต กล่าวเมื่อวันก่อนโดยสันนิษฐานว่า...อาจอยู่ในข่าย หลังจากที่ก่อนหน้านี้โฆษกกรมสุขภาพจิตก็กล่าวถึงผู้ที่มีอาการแบบนี้ไปก่อนแล้ว
โดยสรุปก็คือ...เป็นพวกที่ “มักจะเกิดความต้องการทางเพศกับเด็กอายุเฉลี่ย 13 ปีหรือน้อยกว่า” ส่วนใหญ่จะเริ่มมีอาการนี้มาตั้งแต่เป็นวัยรุ่นและติดตัวมาตลอด เมื่อไม่รู้ตัว-ไม่ได้รับการบำบัด เมื่ออาการเริ่มรุนแรงขึ้น ถ้ามีเงื่อนไข-ปัจจัยต่าง ๆ เอื้อให้ลงมือกระทำการ กรณี “ข่มขืนเด็ก” ก็จะเกิดขึ้นได้ทันที !!
อาการทางจิตแบบนี้...จะไทย-เทศก็เป็นได้เหมือนกัน
กับอาการทางจิต “พีโดฟีเลีย” นี้ ข้อมูลจากบางแหล่งระบุไว้ว่า... ผู้ที่มีอาการที่เป็นหญิงก็มี...แต่น้อย ส่วนมากจะเป็นชาย บางคนอาจมีภรรยา มีลูก ๆ เหมือนครอบครัวปกติทั่วไป แต่วันหนึ่งก็อาจก่อเหตุ “ข่มขืนเด็ก” ได้ ที่ซ้ำร้ายคือบางกรณี-บางรายอาจจะ “กระทำกับบุตรหลานของตนเอง” หรือบุตรหลานเพื่อนบ้าน, ลูกศิษย์
น่าสังเกตว่า...ผู้ที่มีอาการทางจิตพีโดฟีเลียที่ก่อเหตุนั้น หากเป็น ผู้ที่อายุยังไม่มากมักจะเลือกเหยื่อที่เป็นเด็กโตหน่อย แต่หากเป็นผู้สูงอายุมากเท่าไหร่ก็จะยิ่งลงมือกับเด็กที่เล็กมากขึ้นเท่านั้น ?!?
ส่วนเรื่องที่ว่า “ทำไปเพราะเมา” ดังที่ผู้ก่อเหตุ-ผู้ก่อคดีหลายรายมักจะอ้างถึงในการให้การนั้น จุดนี้สำหรับผู้ที่มีอาการทางจิตอยู่แล้วอาจเป็นการ “ดื่มย้อมใจ” เพราะ “มีจิตใจคิดจะทำกับเด็กแต่ต้นอยู่แล้ว !!”
ข้อมูลจากบางแหล่งยังได้มีการจัดกลุ่มผู้ชายที่ก่อเหตุล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็กหญิงไว้ 4 กลุ่มใหญ่ ๆ กล่าวคือ...1.พวกบุคลิกภาพไม่สมวัย จะไม่กล้ากับคนวัยเดียวกัน จะพุ่งความสนใจไปที่เด็ก ๆ, 2.พวกมีการวางเงื่อนไข อาจเคยใกล้ชิด เคยปฏิสัมพันธ์กันมาก่อนกับผู้ที่เล็งไว้เป็นเหยื่อ, 3.พวกที่มีความเชื่อผิด ๆ เช่น อาจเชื่อว่ามีเพศสัมพันธ์กับเด็กแล้วอายุจะยืน และ 4.พวกวิกลจริต พวกนี้ยิ่งหลุดโลกไปไกล
แต่...พวกบุคลิกภาพไม่สมวัยยุคนี้ยิ่งสร้างปัญหามาก
และก็พวกนี้นี่เองคือพวกมีอาการทางจิต “พีโดฟีเลีย”
ดร.วัลลภ ปิยมโนธรรม นักจิตวิทยาชื่อดัง บอกผ่าน “สกู๊ป หน้า 1 เดลินิวส์” ไว้ว่า...พวกที่มีอาการทางจิต “พีโดฟีเลีย” หรือพวก โรคจิตที่เรียกว่า “พีโดริซึ่ม” ที่ลงมือก่อเหตุ “ข่มขืนเด็ก” นั้น ส่วนใหญ่จะเป็นพวกที่มีความต้องการทางเพศสูง แต่ “ขาดความเชื่อมั่นในตัวเองอย่างแรง”
เมื่อขาดความเชื่อมั่นในตัวเองอย่างแรง ก็ไม่กล้ามีเพศสัมพันธ์กับผู้หญิงวัยไล่เลี่ยกัน หรือรู้สึกไม่เชื่อมั่น อาจจะกลัวความสามารถ-กลัวความรู้เท่าทันของผู้หญิงวัยไล่เลี่ยกัน
ก็เลยหันไประบายกับ “เด็ก” ที่อ่อนแอกว่ามาก
จนเกิดเป็นคดีครึกโครม-น่าอนาถใจอยู่เนือง ๆ
อย่างไรก็ตาม หากจะบอกว่าอาการทางจิต “พีโดฟีเลีย” เป็นต้นตอของคดีข่มขืนเด็กที่เกิดขึ้นทั้งหมด ก็คงจะมิใช่ โดย ดร.วัลลภชี้ไว้น่าสนใจอีกจุดหนึ่ง กล่าวคือ...“สังคมวิกฤติเป็นแรงกระตุ้นให้เกิดคดีข่มขืน”
เช่น ยุคปัจจุบันเด็กผู้หญิงที่เป็นเด็กโตจำนวนไม่น้อยเลยที่พูดจาสัปดนยิ่งกว่าเด็กผู้ชาย การแต่งตัวของผู้หญิงยุคนี้ก็ล่อแหลม สายเดี่ยว เกาะอก โชว์สะดือ โชว์ร่องก้น เริ่มกล้ามองผู้ชายมากขึ้น
“พฤติกรรมทำนองนี้ทำให้ผู้ชายคิดว่าผู้หญิงก็ชอบเรื่องเพศ และภาพที่ออกมากลายเป็นว่าเด็กผู้หญิงสมัยนี้ไม่แคร์เรื่องเพศ มีความต้องการเรื่องเพศ พาให้เข้าใจไขว้เขวว่ายั่ว ซึ่งตรงนี้มันมาเปลี่ยนทัศนคติผู้ชาย”
ดร.วัลลภชี้ไว้อีกว่า...นอกจากนี้ สื่อต่าง ๆ เช่น การ์ตูนญี่ปุ่น ที่มีฉากการข่มขืน ซึ่งแรก ๆ ผู้หญิงก็ทำท่ารังเกียจ แต่ทำไปทำมาผู้หญิงกลับมีทีท่าชอบ อะไรทำนองนี้ ก็นับว่ามีส่วนยั่วยุมากเช่นกัน
“จุดต่าง ๆ เหล่านี้เองที่ส่งผลให้ปัญหาข่มขืนรุนแรงเพิ่มขึ้น เรื่อย ๆ และผู้ที่ก่อเหตุก็ใช่ว่าจะมีแต่พวกโรคจิต แม้แต่ผู้ชายทั่ว ๆ ไปที่มีสภาพจิตปกติก็มีโอกาสเป็นผู้ก่อเหตุสูงเช่นกัน โดยเฉพาะพวกที่ต้องใกล้ชิดกับเด็กผู้หญิง”...นักจิตวิทยากล่าว และทิ้งท้ายไว้น่าคิดด้วยว่า...เด็กผู้หญิง ที่ก๋ากั่น พูดจาสัปดน แต่งตัวยั่วยวน มักจะเอาตัวรอดได้ “ที่น่าเศร้าก็คือเด็กผู้หญิงที่เป็นเหยื่อส่วนใหญ่มักจะเป็นเด็กดี เด็กเรียบร้อย”
ส่วนหนึ่งเพราะ “พีโดฟีเลีย” อาการจิตผิดปกติ
อีกส่วนเพราะ “สังคมวิกฤติ” เกลื่อนด้วยสิ่งยั่วยุ
สภาพนี้นับวัน “เมืองไทยไม่ต่างจากเมืองฝรั่ง”
“คดีน่าอนาถใจ” จึงเกิดขึ้นคล้าย ๆ กัน
ภาพจาก http://www.talkystory.com/imagelib/www.talkystory.com/092009/1ed094d1b9da606.jpg
ที่มา: เดลินิวส์
http://www.dailynews.co.th/dailynews...e=2&Template=1