หลังจากที่นายวาเด็ง ปูเต๊ะ อายุ 95 ปี พระสหายแห่งลุ่มน้ำสายบุรี จ.ปัตตานี ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ถูกนำตัวเข้ารับการรักษาตัวที่ห้องอายุรกรรมชั้น 9 ของโรงพยาบาลสงขลานครินทร์(มอ) หาดใหญ่ จ.สงขลา เมื่อวันที่ 3 มีนาคม โดยคณะแพทย์ ระบุว่า จากการตรวจพบโรคเพิ่ม 2 โรค คือ
เลือดเส้นเลือดดำโป่งพองใกล้หัวใจ และโรคไตวายระยะสุดท้าย นอกเหนือโรคหัวใจที่เป็นอยู่ก่อนแล้ว แต่ปู่วาเด็ง มีอายุมาก และร่างกายไม่แข็งแรง มีอัตราการเต้นของหัวใจต่ำมาก 20 ครั้งต่อนาที ซึ่งคนปกติหัวใจจะเต้น 80 ครั้งต่อนาที ทำให้ไม่สามารถทำการผ่าตัดได้โดยด่วน จึงต้องรอดูอาการอย่างใกล้ชิด
หลานสาวของ นายวาเด็ง ปูเต๊ะ กล่าวว่า ขณะนี้โรคประจำตัวของนายวาเด็ง ปูเต๊ะ ที่พบ คือ โรคหัวใจ และ ไตวาย ซึ่งล่าสุด อาการค่อนข้างทรุดตัว บางครั้งไม่สามารถจำคนในครอบครัวได้ แต่เมื่อมีอาการปวด เหนื่อยหอบ หรือกระหายน้ำ ก็จะสื่อสารออกมาเรื่อย ๆ
ซึ่งการรักษาของแพทย์โรงพยาบาลสงขลานครินทร์นั้น ทำได้เพียงให้ยากระตุ้นหัวใจ เพราะหัวใจเต้นช้ามาก เพียง 20 ครั้งต่อนาที และแพทย์ก็ไม่สามารถฟอกไตได้ เนื่องจากคนไข้อายุมาก มีความเสี่ยงค่อนข้างสูง เกรงว่าจะช็อก
ทางครอบครัวได้หารือกันแล้วว่า ในวันจันทร์ที่ 7 กุมภาพันธ์นี้ จะส่งตัวนายวาเด็ง กลับไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลปัตตานี เพื่อให้คนไข้ได้อยู่ใกล้ชิดกับลูกหลานในวาระสุดท้ายให้มากที่สุด
ประวัติ วาเด็ง ปูเต๊ะ พระสหายแห่งสายบุรีสำหรับ วาเด็ง ปูเต๊ะ กับเรื่องราวการเป็นพระสหายในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ มีจุดเริ่มต้นขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2535 ในครั้งนั้นพระองค์เสด็จพระราชดำเนินไปโครงการพัฒนาพรุแฆแฆ อ.สายบุรี จ.ปัตตานี และมีรับสั่งต้องการพบตัว วาเด็ง ปูเต๊ะ เพื่อสอบถามเรื่องการสร้างฝายกั้นน้ำคลองน้ำจืดบ้านทุ่งเค็จ ต.แป้น อ.สายบุรี
ในขณะนั้น วาเด็ง ปูเต๊ะ ผู้ซึ่งเป็นเพียงประชาชนคนหนึ่ง เขาสวมโสร่ง และไม่ได้ใส่เสื้อ แต่เดินทางไปเข้าเฝ้าฯ เพราะคิดว่าเจ้าหน้าที่ที่มาตามเขาถึงสองครั้งสองคราอาจจะโกหก เพราะเขาไม่เชื่อว่า ในหลวง จะเสด็จมาในป่าเขาจริง ๆ จนกระทั่งได้พบพระองค์แล้ว แต่ วาเด็ง ปูเต๊ะ ก็ยังไม่แน่ใจ ต้องหยิบธนบัตรขึ้นมาดู จึงจะเชื่อว่าเป็นพระเจ้าแผ่นดิน
หลังจากนั้น ในหลวง ก็ตรัสกับ วาเด็ง ปูเต๊ะ เป็นภาษามลายูว่าจะสร้างคลองชลประทานให้ เพื่อช่วยเหลือเรื่องแหล่งน้ำแก่ชาวบ้านในการทำการเกษตร พระองค์ทรงสอบถามเส้นทางการขุดคลองสายทุ่งเค็จว่ามีเขตติดต่อที่ไหนบ้าง ซึ่ง วาเด็ง ปูเต๊ะ สามารถตอบได้ทุกคำถาม ถูกต้องตามแผนที่ที่พระองค์ทรงมีอยู่ จึงตรัสชมว่า วาเด็ง ปูเต๊ะ เป็นคนรู้จริง รู้จักพื้นที่ เพราะในการจะไปช่วยใครที่ไหน จำเป็นต้องถามเจ้าของพื้นที่ก่อน เพราะชาวบ้านจะรู้จริงกว่าคนอื่น
วันรุ่งขึ้น ในหลวง ก็ตรัสให้ วาเด็ง ปูเต๊ะ เป็นคนพายเรือให้พระองค์นั่งสำรวจคลองสายทุ่งเค็จ โดยตรัสให้ทำตัวตามสบาย และเล่าถึงความเดือดร้อนของชาวบ้านในพื้นที่ พร้อมกันนี้ ในหลวง ยังทรงลองใจ วาเด็ง ปูเต๊ะ ด้วยการตรัสขอที่ดินทำโครงการพระราชดำริ ซึ่ง วาเด็ง ปูเต๊ะ ก็ออกปากยกที่ดินถวายให้กับพระองค์ในทันที ด้วยความเป็นคนซื่อตรง ในหลวง จึงมีพระราชดำรัสให้เป็น “พระสหายแห่งสายบุรี” ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
วาเด็ง ปูเต๊ะ เคยเล่าว่า ยามที่ ในหลวง เสด็จฯ มาพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ก็จะมีรับสั่งให้เข้าเฝ้าที่พระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์ทุกครั้ง และมอบเงินให้ครั้งละหลายหมื่นบาท แต่หากไม่ได้เสด็จฯ มา ก็จะทรงฝากเงินมากับสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี แทบทุกครั้ง ล่าสุด ยังตรัสให้ตนหยุดทำงาน เพราะแก่แล้ว ทรงเป็นห่วงสุขภาพ ซึ่งตนก็มักจะนั่งทบทวนคำตรัสของพระองค์ด้วยรอยยิ้มแห่งความภาคภูมิใจอยู่ตลอดเวลา