คุณรู้จักสตานิสลาฟ เปตรอฟ หรือไม่ ? ผมเดาเอาว่าคงไม่รู้จัก เพราะผมเองก็เพิ่งจะรู้จักเขาวันนี้เอง 55555
โลกเรานี้มีวีรบุรุษมากมาย ทั้งวีรบุรุษตัวจริง วีรบุรุษในหนัง และซูเปอร์ฮีโร่ หลายคนช่วยกอบกู้โลกจากหายนะ
แต่ในความเป็นจริง เรื่องการกอบกู้โลกทั้งใบจากหายนะครั้งเลวร้ายที่สุด เห็นจะไม่มีใครเกินสตานิสลาฟ เปตรอฟ เพราะถ้าเราไม่มีคนอย่างเปตรอฟ ก็ไม่แน่ว่าโลกเราวันนี้ยังจะมีมนุษย์เหลือสักคนหรือไม่
ผมไม่ได้เว่อร์ แต่เป็นเช่นนั้นจริงๆ
เพราะผู้ชายรัสเซียคนนี้ เป็นผู้ปกป้องโลกทั้งใบจากสงครามนิวเคลียร์
เปตรอฟ เกิดเมื่อปี 1939 ปัจจุบันก็อายุกว่า 70 แล้ว ในอดีตเคยเป็นทหารอากาศโซเวียต เกษียณออกมาด้วยยศนาวาอากาศโท แรกเริ่มเดิมที่ชีวิตนายทหารผู้นี้ก็ดำเนินไปตามปกติแหละครับ ไม่มีอะไรหวือหวา
แต่คืนวันที่ 26 กันยายน 1983 ที่เขาไปเข้าเวรอยู่ที่ เซอร์ปูคอฟ 15 บังเกอร์ใกล้กรุงมอสโก ซึ่งเป็นศูนย์สำหรับการเตือนภัยสงครามนิวเคลียร์ในเบื้องต้น จู่ๆ หลังเที่ยงคืนเล็กน้อย ก็ปรากฏว่าระบบตรวจจับขีปนาวุธใหม่เอี่ยมของสหภาพโซเวียตรายงานว่าพบขีปนาวุธข้ามทวีป 5 ลูกถูกยิงมาจากสหรัฐ โดยมารอบแรกก่อน 1 ลูก และรอบหลังอีก 4 ลูก
เปตรอฟ ที่มีตำแหน่งใหญ่ที่สุดของฐานในขณะนั้น มีเวลาแค่ 10 นาทีในการตัดสินใจรายงานไปยังผู้บังคับบัญชา ที่จะรายงานต่อไปยังผู้นำประเทศ เพราะขีปนาวุธจากสหรัฐใช้เวลาในการเดินทางแค่ไม่กี่สิบนาทีก็มาถึงโซเวียต หากเขารายงานช้า ก็จะส่งผลต่อระดับความมีประสิทธิภาพในการป้องกันประเทศ
เปตรอฟ ต้องไตร่ตรองว่า การแจ้งเตือนของคอมพิวเตอร์ มีความถูกต้องหรือผิดพลาด เพราะในสถานการณ์ขณะนั้น ขณะที่สงครามเย็นกำลังระอุ หากเขารายงานไปยังผู้นำประเทศ ก็แน่นอนว่าผู้นำประเทศต้องกดปุ่มยิงนิวเคลียร์แน่นอน
เปตรอฟเล่าว่า “ เสียงไซเรนดังขึ้น ตัวหนังสือสีแดงที่หน้าแผงควบคุมกระพริบ เกิดความช็อคกันขึ้นมาทันที ทุกคนกระโดดจากเก้าอี้ และมองมาที่ผม ส่วนผมจะต้องทำอะไรนะหรือ ? ก็ต้องปฏิบัติไปตามระเบียบข้อบังคับที่เป็นคนเขียนขึ้นมาเอง “
แต่หลังจากใช้ความคิดเพิ่มเติม ท้ายที่สุดเขาก็ตัดสินใจเพิกเฉยต่อการเตือนภัย และระบุว่าเป็นความผิดพลาดของระบบคอมพิวเตอร์ โดยใช้เหตุผลที่ว่าถ้าสหรัฐหวังจะทำสงครามจริง ก็คงไม่ยิงมาแค่ 5 ลูก และคงยิงมาจากหลายฐาน
หลังเวลาผ่านไปหลายนาที เปตรอฟก็โล่งอก เพราะสหภาพโซเวียต ก็ยังคงอยู่ดีมีสุข การตัดสินใจของเขาถูกต้องแล้ว ปัญหาเรื่องนี้เกิดจากการทำงานที่ผิดพลาดของระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งผลการสอบสวนในเวลาต่อมา ระบุว่าเกิดมาจากการระเบิดครั้งใหญ่บนดวงอาทิตย์ ที่ก็เกิดขึ้นเป็นประจำ แต่การระเบิดรุนแรงบางครั้งก็ทำให้ดาวเทียมทำงานผิดพลาดได้
เมื่อเรื่องนี้ถูกนำออกเปิดเผยในอีกหลายสิบปีต่อมา แต่ตอนแรกก็ยังไม่มีใครรู้รายละเอียด และสื่อตะวันตกก็รายงานเรื่องนี้กันไปต่างๆนาๆ เปตรอฟบอกว่า “ นักข่าวต่างชาติมากมายเล่ากันเป็นตุเป็นตะเรื่องเหตุการณ์ในวันนั้น ผมเคยอ่านหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษที่บอกว่า หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้นจบลง นายทหารที่นั่งอยู่ที่หน้าแผงควบคุม ซัดว๊อดก้าไปครึ่งลิตร และสลบไป 28 ชั่วโมง ที่เซอร์ปูคอฟ เราไม่อนุญาตให้ดื่มแอลกอฮอล ส่วนเบียร์นั้นดื่มได้เป็นบางครั้ง และตัวผมก็นอนไม่หลับไปหลายวัน ในช่วงที่การสอบสวนเริ่มต้นขึ้น “
การตัดสินใจของเปตรอฟในยุคนั้น ต้องถือว่าเป็นการตัดสินใจที่ยากลำบากอย่างที่สุด หากพิจารณาถึงสถานการณ์การเมืองที่กำลังร้อนแรงในตอนนั้น ช่วงเวลาดังกล่าวสหรัฐก็ใกล้ที่จะลงมือจัดสร้างขีปนาวุธ เปอร์ชิ่ง 2 ที่สามารถเข้าถล่มโซเวียตได้ในเวลา 12 นาที หากยิงจากเยอรมันตะวันตก
ไม่กี่เดือนก่อนหน้านั้น เรแกน ผู้นำสหรัฐ ก็เพิ่งเรียกโซเวียตว่าอาณาจักรปีศาจ จากการที่เมื่อ 3 สัปดาห์ก่อนโซเวียตเพิ่งยิงเครื่องบินโดยสารเกาหลีตก เพราะไปละเมิดน่านฟ้าโซเวียต ก่อนหน้านั้นสหรัฐก็เริ่มโครงการสตาร์วอร์ และนาโต้ก็เตรียมที่จะเริ่มการซ้อมรบครั้งใหญ่ ทำให้ฝ่ายผู้นำโซเวียตปักใจเชื่อว่าสหรัฐจะเป็นฝ่ายเปิดฉากโจมตีก่อน ถ้าได้รับการแจ้งว่าสหรัฐยิงขีปนาวุธเข้ามา ผู้นำโซเวียตก็คงจะเปิดฉากการตอบโต้อย่างแน่นอน
จึงเป็นโชคดีของโลกที่มีคนอย่างเปตรอฟ ที่รู้จักฉุกคิดในสถานการณ์ที่ไม่ธรรมดาแบบนั้น
หลังเหตุการณ์ครั้งนั้น โซเวียตได้จัดการแก้ไขระบบคอมพิวเตอร์เตือนภัยใหม่ ข้อมูลของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็ถูกเก็บเป็นความลับ และเพิ่งนำออกเปิดเผยในปี 1998 หลังจากที่อดีตเจ้านายของเขาเขียนหนังสือบันทึกความทรงจำ ที่ใจความตอนหนึ่งได้พูดถึงเรื่องนี้ แต่ทางการเพิ่งยอมให้สื่อมวลชนในประเทศหยิบยกประเด็นนี้มาพูดถึงในปี 2004 แต่ก็ไม่ค่อยมีใครอยากจะพูดถึงมันมากนัก ผิดกับในฝั่งตะวันตก ซึ่งก็น่าจะมีเหตุผลมาจากการที่ปัญหามาจากฝ่ายโซเวียตเองทั้งหมด รวมถึงในประเด็นที่ว่า แม้โลกจะได้รับการช่วยเหลือ แต่ในขณะเดียวกัน เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องการละเมิดระเบียบข้อบังคับ ที่มีผลต่อการอยู่รอดของทั้งประเทศโดยนายทหารโซเวียตเอง
หลังเหตุการณ์ครั้งนั้น ในช่วงที่ยังไม่มีใครรู้ว่าอะไรเป็นอะไร เปตรอฟถูกทางการตำหนิอย่างรุนแรงต่อการละเมิดกฎระเบียบ และไม่เขียนเรื่องนี้ในรายงาน ซึ่งเปตรอฟ ก็ไม่ได้นึกแค้นเคืองเจ้านายโดยบอกว่า “ หากพวกเขาให้รางวัลผมสำหรับกรณีนี้ ใครบางคนก็คงจะต้องถูกลงโทษ และคนแรกๆในบัญชีก็คือวิศวกรที่สร้างระบบตรวจจับขีปนาวุธ คนที่อนุมัติงบหลายพันล้านรูเบิ้ลสำหรับโครงการนี้ “
หลังจากทุกอย่างได้ข้อสรุป เปตรอฟก็ยังเป็นเปตรอฟคนเดิม เพราะเขาไม่ได้ถูกลงโทษหรือได้รับรางวัลจากการตัดสินใจของเขาในคืนวันนั้น ต่อมาเขาถูกย้ายไปทำงานในตำแหน่งที่มีความอ่อนไหวน้อยกว่าเดิม และตัดสินใจเกษียณราชการก่อนถึงอายุเกษียณ
แต่จริงๆแล้วเปตรอฟได้รางวัลจากการตัดสินใจครั้งนั้นของเขา โดยในปี 2004 The Association of the World Citizens ในซานฟรานซิสโก ได้มอบรางวัล World Citizen Award และเงินอีก 1,000 ดอลลาร์ให้เปตรอฟ
ปี 2006 เขาได้รับการเชิดชูเกียรติในการประชุมสหประชาชาติ ที่สำนักงานใหญ่สหประชาชาติที่นิวยอร์ก และ The Association of the World Citizens ได้มอบรางวัล special World Citizen Award อีกรางวัลสำหรับคุณงามความดีในการป้องกันไม่ให้เกิดสงครามนิวเคลียร์ของเขา
สหรัฐมีการทำภาพยนตร์สารคดีเกี่ยวกับชีวิตของเขาด้วย โดยมีชื่อว่า The Man Who Saved the World ซึ่งการถ่ายทำแล้วเสร็จแล้ว รอเพียงการนำออกเผยแพร่
แต่ก็มีรายงานบางส่วนเหมือนกันที่แสดงความสงสัยในการตัดสินใจของเปตรอฟ โดยบ้างก็บอกว่าจริงๆแล้วเขาอาจจะรายงานถึงผู้บังคับบัญชา บ้างก็ว่าหน้าที่ของเขาไม่ใช่คนที่ต้องเป็นคนตัดสินใจ และระบบการป้องกันตัวจากขีปนาวุธของโซเวียต ก็ไม่ได้ใช้ข้อมูลการเตือนภัยจากแหล่งเดียว แต่เป็นการใช้ประกอบกันจากหลายแหล่ง