เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เว็บไซต์เดลิเมล์ ของอังกฤษ รายงานว่า นักวิทยาศาสตร์เผยอีก 20 ปีข้างหน้า ความต้องการน้ำทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นอีก 40% จากภาวะโลกร้อนและการเพิ่มขึ้นของประชากรโลก
รายงานดังกล่าว เปิดเผยขึ้น ณ ที่ประชุมนานาชาติ ว่าด้วยเรื่องของทรัพยากรน้ำทั่วโลก โดยมีนักวิทยาศาสตร์ และนักเศรษฐศาสตร์เข้าร่วมหารือกว่า 300 คน ซึ่งในการประชุมครั้งนี้ ดร.แคทลีย์ คาร์ลสัน รองประธานคณะมนตรีวาระวิกฤตน้ำโลก เปิดเผยว่า อีก 20 ปี ความต้องการน้ำทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นอีก 40% จากภาวะโลกร้อน ซึ่งทำให้หลายพื้นที่บนโลกอยู่ในสภาพแห้งแล้ง แม่น้ำแห้งขอด และการเพิ่มขึ้นของประชากรโลก จะทำให้ความต้องการอาหารมากขึ้น ภาคการเกษตรต้องใช้น้ำมากขึ้นกว่า 71% เพื่อผลิตพืชผลทางการเกษตรและอาหารป้อนผู้คน ซึ่งหากไม่มีน้ำเพียงพอ แน่นอนว่ามันส่งผลกระทบต่อภาคการเกษตร และการผลิตทุก ๆ อย่าง รวมไปถึงการใช้ชีวิตประจำวันของผู้คนทั่วโลกด้วย
ขณะที่ทางด้าน ดร.นิโคลัส แอชบอยท์ จากองค์การปกป้องสิ่งแวดล้อมแห่งสหรัฐ ได้กล่าวว่า ในทุกวันนี้คนยังตระหนักถึงความสำคัญของน้ำน้อยมาก เราไม่ค่อยคิดว่าน้ำเป็นส่วนประกอบของการผลิตสิ่งต่าง ๆ บนโลก ไม่ว่าจะเป็นข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ รอบตัว เช่น คอมพิวเตอร์ เสื้อผ้า และอาหารต่าง ๆ ซึ่งจริง ๆ แล้วการผลิตสิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ต้องใช้น้ำด้วยกันทั้งนั้น และปัจจุบันนี้ ในประเทศที่พัฒนาแล้ว 70% ของการใช้น้ำเป็นการใช้ในครัวเรือน และคงจะดีไม่น้อยหากทุกคนจะร่วมกันใช้น้ำอย่างประหยัด และตระหนักถึงปัญหาวิกฤตน้ำอันจะเกิดขึ้นในอีก 20 ปีข้างหน้า แล้วร่วมกันป้องกันปัญหาดังกล่าว
สำหรับมาตรการการป้องกันปัญหาขาดแคลนน้ำในอนาคต ดร.นิโคลัส แอชบอยท์ ได้เสนอว่า ประชาชนควรใช้น้ำอย่างคุ้มค่าที่สุด เช่น น้ำที่เหลือจากการชำระล้างในบ้านเรือน สามารถนำไปใช้ในภาคการเกษตรได้ รวมถึงควรมีการพัฒนาและเพิ่มแหล่งน้ำ หรือทำการเกษตรแบบยั่งยืนก็เป็นสิ่งที่ดีมากเช่นกัน