และให้ลูกชายของ เขาพักอยู่กับชาวนาเป็นเวลา 1 วันหนึ่งคืน
และเมื่อกลับถึงคฤหาสน์ของเขาในวันต่อมา
มหาเศรษฐีก็ถามลูกชายของเขาว่า ได้อะไรบ้างจากการไปพักแรมกับชาวนาผู้ยากจน
ลูกชาย ตอบคำถามของบิดาว่า...
ชาวนามีที่ทำงาน เป็นท้องนาที่กว้างใหญ่
...ในขณะที่พ่อมีเพียงห้องสี่เหลี่ยม ที่ว่ากว้าง...
แต่ก็ยังน้อยกว่า ห้องทำงานของชาวนา...
อาหารที่ชาวนารับประทาน...สามารถหาได้ตลอดเวลา
รอบ ๆ บริเวณบ้าน
โดยไม่ต้องซื้อ...
...ในขณะที่บ้านของเรา...มีตู้เย็นเท่านั้นที่เป็นที่เก็บอาหาร
เวลารับประทานอาหารก็มีเพื่อนคุย
พร้อมหน้า พร้อมตา พ่อ แม่ ลูก
...ในขณะที่ตัวเอง ก็ต้องนั่งทานอาหารกับโต๊ะอาหาร
ที่ยาวเกือบสิบเมตร
และมีเก้าอี้ว่างเปล่าทั้งสองด้าน...
...ลูกชาวนาที่ซ้อนท้ายจักรยานของพ่อเขา
ต้องกอดเอวพ่อให้แน่น
เพื่อจะได้ไม่ตกจากจักรยาน...
...แต่เขาเอง ต้องนั่นในรถที่ใหญ่โต
อยู่ข้างหลังเพียงลำพัง โดยมีคนขับรถพาไปทุกที่...
...ชาวนามีแสงจันทร์ เป็นโคมไฟส่องสว่างอยู่ตลอดเวลา
ในเวลากลางคืน โดยไม่ขาดแคลน...
...ลูกชาวนา ได้มีเพื่อนเล่นเป็น
วัว ควาย สุนัข ไก่ จิ้งหรีด
และหิ่งห้อย นับร้อย นับพัน...
...แต่เขาเอง กลับไม่มีใครเลย...
...เขาขอบคุณพ่อ ที่ทำให้เขารู้คำตอบ ว่า...จริง ๆ แล้ว
เรายากจนกว่าชาวนามาก!!!
"ความพอเพียง" ไม่ได้ยกระดับฐานะ
แต่ยกระดับจิตใจเรา
...สิ่งนั้นไม่ได้ช่วยให้เรา "รวย" เร็วขึ้น หรืออย่างไร
เพียงแต่.ช่วยให้รู้จักความสบายแท้จริง ที่เงินหาซื้อไม่ได้
v
v
v
v
การที่เรารักใครสักคน
ไม่ต้องหาเหตุผลว่าทำไมถึงไปรักเขาได้
เมื่อเรารู้ว่ารัก เราก็รักเค้าให้ดีที่สุดก็พอ
.
.
.
แม้เราอาจไม่ได้รับความจริงใจจากทุกคนที่เราคุย
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า
เราจะให้ความจริงใจกับทุกคนที่เราคุยด้วยไม่ได้
จงเป็นผู้ให้ก่อนที่จะเป็นผู้รับ...
.
.
.
อย่าเพิ่มค่าของตัวเองให้สูงขึ้น
ด้วยการลดค่าของคนอื่นให้ต่ำลง
เพราะถ้าคุณทำแบบนั้นจะเท่ากับว่า
คุณลดค่าทางจิตใจของคุณให้ต่ำทรามลง