ฟุตบอลมันก็นรกดีๆนี้เอง(Football, Bloody Hell)

1990s : Football , Bloody Hell ( ฟุตบอลมันก็นรกดีๆนี้เอง )



     พิษจากฉากอวสานสงครามเย็น ลามเรื้อรังไปทั่ว ไร้เงาผู้รับการยกเว้นหรือนิรโทษกรรม บ้างก็แผลปิด เฉก สองทิศเยอรมันทลายกำแพงเบอร์ลินกลมเกลียวเอกเทศ บ้างก็ฝีแตกหนองไหล เช่น โซเวียตเฉือนเนื้อร้ายเป็นรัฐอื่นๆมหาศาล รวมถึง " ยูโกสลาเวีย " ที่สละสิทธิ์ฟาดแข้งยูโรจากวิกฤตจลาจลภายใน หวยเลยออกที่โคนมที่พลิกโอกาสเป็นขั้นบันไดให้ "เดนมาร์ก" ครองแชมป์ยูโรปี 1992 อารมณ์แบบว่า มาไงว่ะ ?



     เพื่อมิให้ขาดตอนมาเตะฝุ่นกันบนเกาะผู้ดีเจ้างานยูโร 1996 ที่เยอรมันซึ่งจูบปากกันได้ไม่นาน เถลิงแชมป์แรกและแชมป์เดียวถึงชั่วโมงนี้ ซึ่งโลกยังโคจรไม่ครบรอบดวงอาทิตย์ Matthias Sammer ก็ได้อวดโฉมบัลลงดอร์ทิ้งทวนของเยอรมันและ Libero ตำแหน่งที่ทำให้อินทรีเหล็กคว้าบอลทองคำได้สามคนจากห้าคน ดังนั้นอุปมาอุปมัยถ้วยนี้ดั่งภาพรำลึก ตำแหน่ง Libero สัญลักษณ์ความยิ่งใหญ่แห่งเยอรมันตะวันตก

     เยอรมันตะวันตกปิดงานเลี้ยงได้ไร้ที่ติ แม้นสะท้อนแสงในบอลโลกที่ห่วยบรมปี 1990 ที่อิตาลี หลักฐานมัดตัวคือมีบอลกลิ้งในตะข่ายน้อยที่สุดและใบแดงปลิวว่อน 16ใบ จำนนต่อหลักฐานให้ฟีฟ่าทำโบท็อกซ์ล้วงทวารสังคายนาระบอบดึกดำบรรพ์ เช่นผู้รักษาประตูมิอาจจับบอลที่ฝั่งตนส่งกลับได้ รวมถึงล่อใจเป็นชัยชนะแลกสามแต้ม เพื่อรณรงค์ปล่อยการ์ดบุกแหลก ต่างจากโบราณที่ให้เพียงสองแต้ม สมัยก่อนการเสมอจึงอินเทรนด์



     บอลโลกครั้งนี้ดารานำชายยังคงใช้มาราโดน่า แต่ครั้งนี้เสือเตี้ยไม่แกร่งดังเดิม จากอาการบาดเจ็บข้อเท้าและระดับการเล่นที่ดร็อปลงไปมากหากเทียบกับช่วงเวลา บอลโลกสี่ปีก่อน ถึงกระนั้นคำว่าเบอร์หนึ่งของโลกยังค้ำคอ เพราะยังระหกระเหินหิ้วทีมมาป้องกันแชมป์จนได้ โดยคู่ต่อสู้ของเขาครั้งนี้ หน้าด้านมาจากสี่ปีก่อน เยอรมันตะวันตก และคู่ดวลของเขาก็หน้าเดิม " Lothar Matthaus "

     ทั้งสองทีมมีแมสคอร์ทคือสไตล์รุก ท่ามกลางดงเล่นชัวร์ไว้ก่อน ฝั่งฟ้าขาวกรีฑาทัพโดย " God " มาราโดน่า ส่วนอินทรีเหล็ก มีนาวาเอกคือ " Superman " มัทเธอุสหนึ่งใน Libero หรือ Sweeper ตัวฟรี บัญชาการทั้งรุกรับในตัวคนเดียว ซึ่งคงมิกล้าอาจเทียบรัศมีเบ็คเคนเบาเออร์ลิเบอโร่ที่ดีที่สุด แต่มัทเธอุสนับเป็นลิเบอโร่ที่สมบูรณ์แบบที่สุดคนหนึ่ง อันเด่นชัดจากการยืนตำแหน่ง วิสัยทัศน์การจ่ายบอล การเข้าสกัดบอล รวมถึงการยิงไกล ล้วนยอดเยี่มมทั้งสิ้น ฉะนั้นสมญานามอมนุษย์ ซูเปอร์แมนไม่เป็นการยกเมฆแต่อย่างใด

     การปะทะกันของพระเจ้าแห่งศาสนามาราโดน่าพร้อมโค๊ด D10S ( D คือ Diego Maradona , 10S คือเสื้อหมายเลขสิบ ) ซึ่งเจตนาแปรอักษรเป็น DIOS อันมีนัยว่า " พระเจ้า " ตามภาษาสเปน ซึ่งพระเจ้าที่เสื่อมมนต์ตราไหนเลยจะเทียมซูเปอร์แมนที่หนุ่มแน่น ผลลัพธ์คือพระเจ้าจำต้องศิโรราบ ถวายแชมป์แก่พลพรรคขุนพลเยอรมันตะวันตก พร้อมคำสรรเสริญแด่ซุปเปอร์แมนประกอบงานเลี้ยงว่า " เขาคือคู่ต่อสู้ที่เก่งที่สุดเท่าที่มีมา "

     ขอต่อแบบนันสต็อปที่บอลโลกปี 1994 ซึ่งฟีฟ่าตัดสินใจย้ายตลาดลูกหนังไปจัดที่อเมริกาที่เริ่มสนใจในฟุตบอลหรือ ที่มะกันเรียกว่าซ็อคเกอร์ เพราะคำว่าฟุตบอล เข้ายกให้เป็นเอกสิทธิ์ของกีฬาคนชนคน อเมริกันฟุตบอล ซึ่งแค่ชื่อก็รู้สาเหตุใยต้องหลีกทางให้ ถึงที่สุดแล้วหลังจบการแข่งขัน ฟีดแบคเกินคาดอย่างถล่มทลายบะละฮึ่ม เพราะพื้นเปลือกโลกใหม่ของโคลัมบัส เป็นบอลโลกที่มียอดผู้ชมสูงที่สุด ถึง 3.6 ล้านคน



     โดยบอลโลกหนนี้เป็นการเดี่ยวโชว์ระหว่าง Romario จากบราซิล และ Roberto Baggio จากอิตาลี เพราะต่างซัลโวเป็นว่าเล่น จนแบกทีมเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ ซึ่งสมราคาเต็งเพราะเกมสูสีคู่คี่เอากันไม่ลง ต้องดวลจุดโทษหาผู้หิ้วถ้วยกลับรัง ซึ่งการยิงเป้าครั้งนี้ สวรรค์กลั่นแกล้ง เทพบุตรเปียทองคำ จากที่เขารับสังหารจุดโทษพลาดคำนับต่อแซมบ้าที่ยกคลาสเพิ่มแชมป์โลกสมัยที่ สี่ เป็นจักรพรรดิลูกหนังอย่างแท้จริง

     ปิดทัวร์ที่บอลโลกสุดท้ายของทศวรรษนี้ " ฟรองซ์ 98 " ซึ่งน่าจะเป็นบอลโลกที่วัยเอ๊าะๆในบอร์ดนี้เริ่มดูเป็นครั้งแรก ดังนั้นบอลโลกครั้งนี้ผมคงไม่ต้องนัดระดมพลกองทัพสมองอันไม่ค่อยจะมี เพราะเชื่อว่าทุกท่านยังคงมีภาพลางๆความตื่นเต้นของชาวสยาม ที่ตัวแทนคนไทยจะไปเหยียบหญ้าสนามบอลโลก ในฐานะกรรมการ จากสิงห์เชิ้ตดำ " เปาอั๋น " ภิรมย์ อั๋นประเสริฐ และแชมป์โลกสมัยแรกของเจ้าภาพ น้ำหอมตราไก่ ฝรั่งเศส



     ยังไม่นับประตูสุดเมพของเบิร์กแคมป์เกมเฉือนฟ้าขาว ความคมกริบดาวซัลโวซูเคอร์ ลีลาโซโลเดี่ยวไอ้หนูเบบี้โกลกับใบแดงของเทพบุตรเบ็คแฮมในเกมเสียท่าฟ้าขาว ภาพบล็องก์ถือเคล็ดประทับริมฝีปากบนเหม่งบาร์เตซ และไม่มีทางลืมนักเตะที่ชื่อว่า " Zinedine Zidane " เสียดายคนตายไม่ทันสัมผัสอัจฉริยภาพนี้

     ยุคนี้เกิดจุดหักเหเปลี่ยนกติกาคุณสมบัติให้ผู้เล่นนานับทวีปมี สิทธิ์เข้าชิงบัลลงดอร์ ในปี 1995 ซึ่งในปีนั้นเลยก็เกิดบัลลงดอร์ที่ไม่ใช่ชาวยุโรปผุดขึ้นจาก George Weah ชาวลิเบอเรีย นับแต่นั้นถึงวินาทีนี้ก็มีการตั้งขบวนพาเหรดรับรางวัลของบราซิล อาทิ กลุ่มสาม R อันได้แก่ Ronaldo , Ronaldinho , Rivaldo เกือบรวมไปถึง Roberto Carlos ที่เฉียดเข้าอันดับสองรองแต่โล้นทองคำ ส่วนในยุคใหม่ก็มีขวัญใจมหาชนอย่าง Kaka



     และแล้วก็มาถึงช่วงสุดท้ายนั้นคือเวทียักษ์เวทีสุดท้ายกับศึก ชิงแชมป์สโมสรยุโรป ที่ในรอบสิบปีนี้มีการเปลี่ยนชื่อจาก European Cup เป็น Uefa Champions League ที่เราถ่างตาลุ้นจนตัวเกร็งในตอนนี้ โดยแชมป์สุดท้ายของชื่อเดิมนี้คือบาร์เซโลน่ายุคดรีมทีมจากการปลุกปั้นของ เทวดาครัฟฟ์ ที่เอาชนะซามพ์โดเรียจากอิตาลี เป็นจุดล้มเพื่อลุกแสดงพลานุภาพอันเกรียงไกรของ กัลโช่ เซเรีย อา จากแดนร้องเท้าบูท

     ในปี 1993 มาร์กเซยกลายเป็นแชมป์ป้ายแดงของ Uefa Champion League ( UCL ) ด้วยการล้ม เอซี มิลาน แต่แชมป์แรกนี้เป็นแชมป์ไม่โปร่งใส เพราะประธานโอแอม ดันยัดใต้โต๊ะให้คู่ต่อสู้ในลีกล้มบอล เพื่อรวมศูนย์สมาธิพุ่งมาที่ UCL เท่านั้น จึงเจอะกรรมติดจรวดทั้งริบแชมป์ลีก ปรับตกชั้น ตัดสิทธิ์ป้องกันแชมป์ UCL และรายการอื่นใด โดนทั้งขึ้นทั้งล่อง แต่บุญเก่ายังหนุนไว้จึงรอดตัวจากการถูกลบรอยสลักแชมป์แรกของ UCL

     พลิกปฏิทินสู่ปี 1994 เอซี มิลานก็สอยเจ้าหูโตจนได้ ทำให้ Marcel Desaily กลายเป็นนักเตะประวัติศาสตร์ที่ได้แชมป์ UCL สองปีติดจากสองทีมเพราะปีก่อนเขาร่วมทีมกับมาร์กเซยที่ตอนนี้ดิ้นรนในลีกรอง ถัดมาในปี 1995 เอซี มิลาน ก็เข้าชิงเป็นสมัยที่สาม แต่คราวนี้ถึงฆาตให้แก่พลังหนุ่มเยาวชนอาแจ็กซ์ ที่ปาไปสมัยที่สี่และหนุ่มน้อยใหญ่ในชุดนี้ก็แยกย้ายไปสังกัดทีมใหญ่ทั่วทุก มุมโลก สวนกับเม็ดเงินมหาศาลที่ไหลเข้ามาแทนที่



     ถัดมาปี 1996 อาแจ็กซ์แชมป์เก่าป้องกันแชมป์ไม่สำเร็จ ปราชัยแก่ยูเวนตุส ซึ่งฤดูกาลต่อมาม้าลายก็ป้องกันแชมป์ไม่สำเร็จตามสูตร โดยแชมป์เซอร์ไพรต์ตกกลางกระหม่อมดอร์ทมุนด์ผลงานของ ท่านนายพล " Ottmar Hitzfeld " และในปี 1998 ยูเวนตุสเข้าชิงเป็นสมัยที่สามและสมัยที่เจ็ดติดต่อกันของกัลโช่ เซเรีย อา แต่ก็อกหักรักคุดให้กับราชันชุดขาว รีล มาดริดที่ห่างเหินจากแชมป์นี้มา 32 ปี พร้อมกับหยุดเส้นทางมหากาฬของกัลโช่

     เจ้าของแชมป์สุดท้ายของศกนี้ที่แย่งซีนแชมป์ก่อนๆ ภูมิใจนำเสนอโดย"ปีศาจแดง" แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กำกับการแสดงโดย อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน กับหนึ่งแชมป์ประวัติศาสตร์ดราม่าของ UCL นั้นคือแชมป์แรกของลีกอังกฤษนับแต่ที่ลิเวอร์พูลทำไว้ในชื่อเดิมปี 1984 ก่อนเกิดโศกนาฏกรรมที่เฮย์เซลในปีถัดมา อีกทั้งยังเป็นแชมป์ที่ชนะน้อยที่สุด เพียงห้าเกมเท่านั้น และที่ยังจารึกในกะโหลกใบนี้ คงหนีไม่พ้นที่กล่าวย่อหน้าต่อจากนี้

     สิ่งที่คลาสสิกที่สุดคือรอบชิงชนะเลิศที่ปะทะกับบาเยิร์น มิวนิค ซึ่งเสือใต้นำตั้งแต่นกกระจอกไม่ทันกินน้ำนาทีที่6 ไม่พอแค่นั้นยังไล่ปิดประตูตีแมวล่อทั้งเสาทั้งคานสนั่นหวั่นไหว ไม่น้อยไปกว่าจิตใจเรด อาร์มี่เลย แต่แล้วนาทีที่ 80 ท่านนายพลฮิตเฟลด์ สั่งการพักลุงซูเปอร์แมนมัทเธอุส ที่อายุอานามปาเข้า 38 ปี สวนทางกลับฝั่งป๋าอเล็กซ์ที่ส่งซูเปอร์ซับที่ดีที่สุดในโลก " Ole Gunnar Solskjaer " ในนาทีที่ 81 และนี้คือจุดผกผันของศึกนี้ เมื่อทดเวลาภายเจ็บนาทีแรกน้าหมี " Teddy Sheringham " ทำประตูเสมอ ให้ทุกอย่างกลับสู่สภาวะปกติ



     ความจริงแสนบรรลัย เมื่อทดเจ็บนาทีสุดท้ายเพรชฆาตหน้าทารก สะกิดพลิกนำเสือใต้สุดตาลปัตร ตัดขั้วหัวใจเสือใต้ทั้งเป็น ไร้เรี่ยวแรงกระทั่งก้าวขาไปเขี่ยบอล กรรมการมือหนึ่งของโลก Pierluigi Collina อนาถสภาพที่ปรากฏ จึงตัดสินใจเป่านกหวีดหมดเวลาในเกมที่แกประทับใจที่สุด กลายเป็นเพอร์เฟคท์เอ็นดิ้งของยักษ์เดนส์ " Peter Schmeichel " เป็นของขวัญวันเกิดที่สุดพิเศษแก่ดวงวิญญาณ Sir Matt Busby ผู้แรกที่พาปีศาจแดงคว้าแชมป์รายการนี้ และเป็นสุดยอด ทริปเปิ้ลแชมป์ของ"ปีศาจแดง" แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่โลกไม่กล้าลืม

     คำสัมภาษณ์หลังจบเกมของผู้แพ้ยังค้านสายตาต่อภาพปราชัย ซึ่งทั่วโลกไม่เว้นแต่ Alex Ferguson ก็เห็นใจกับเหตุการณ์นี้ ซึ่งเขาแสดงออกโดยทิ้งวลีอมตะตลอดกาล เสมือนคำปรารภในยศใหม่ " Sir " Alex Ferguson อันตอบรับตามผลงานชิ้นโบว์แดงนี้ ไว้ว่า

24 ก.พ. 54 เวลา 20:34 4,783 3 50
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...