ประเทศจีนราวปี พ.ศ. 297 “ใจก๊วย” เป็นผู้สำเร็จราชการแทนเจ้าชิวั่งตี่ มีหน้าที่คอยกราบทูลแนะนำสิ่งต่าง ๆ ถวาย ได้รับหนังสือลับจากกองทัพตาด ให้กราบทูลแนะนำกษัตริย์ให้ยอมแพ้แก่ตาดจะปูนบำเหน็จให้ ด้วยความโลภใจก๊วยจึงทำตามกองทัพตาดจึงเข้าเมืองได้ เณรเทศพระเจ้าพระเจ้าชิวังตี่ออกนอกประเทศ แล้วแต่งตั้งใจก๊วยเป็นกษัตริย์ขูดรีดจากประชาชนกังฟู(ขุนพลของพระเจ้าชิ วั่งตี่)จึงรวบรวมผู้คนยกทัพเข้าตีเมืองหลวง ได้ ครั้นกังฟูสิ้นชีวิตลง ชาวจีนระลึกถึงคุณงามความดี พร้อมใจสร้างศาลเจ้าเพื่อสักการะบูชา พร้อมกับรูปปั้นใจก๊วยไว้หน้าประตูศาลเจ้าทุกวันที่ชาวจีนไปสักการะในศาล เจ้าของกังฟู จะเขกศรีษะรูปปั้นใจก๊วยทุกคนนานเข้ารูปปั้นหดเหลือแค่คอ เพื่อลงโทษให้สาสมจึงได้คิดทำขนมใช้แป้งปั้นเป็นตัวใจก๊วยไม่มีคอ ทอดน้ำมันกำลังเดือด ขนมชื่อ" อิ้วใจก๊วย" (ใจก๊วยถูกทอดในน้ำมัน)เมื่อขนมชนิดนี้เข้าในสมัยรัชกาลที่ 6 ใหม่ ๆ มีซิ้มแก่ ๆ หาบขนมนี้มาขายพร้อมกับปาท่องโก๋(มีลักษณะคล้ายซาลาเปา แต่มีงาโรยหน้า) ปากก็ร้องขายขนมปาท่องโก๋คนไทยซื้อขนมอิ้วใจก๊วยมารับประทาน โดยคิดว่าชื่อปาท่องโก๋เลยเรียกขนมชนิดนี้ว่า "ปาท่องโก๋" ติดปากมาจนทุกวันนี้นี่ก็คือที่มาของ “ปาท่องโก๋” ที่ทานกันเป็นประจำ
มีปาท่องโก๋ที่ไหน ก็ต้องมีซาลาเปาที่นั่น
Credit:
Cember_1991