ผลการศึกษาเรื่องนี้เป็นของ ของ ดร.มอร่า กิลลิสัน (Dr. Maura Gillison) และทีมงานนักวิจัยจาก Johns Hopkins Bloomberg School of Public Health ในบัลติมอร์ (Baltimore) รัฐแมรีแลนด์ สหรัฐอเมริกา ซึ่งได้ตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์ชื่อ New England Journal of Medicine (วันที่10 พฤษภาคม) ซึ่งเป็นวารสารฉบับเดียวกับที่ได้ตีพิมพ์เรื่อง เชื้อ HPV และวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกไปหมาดๆ
นัก วิจัยพบว่า เชื้อ HPV ทำปฏิกิริยาในระดับโมเลกุลบางอย่างที่ก่อให้เกิดมะเร็งในลำคอ เรียกว่า Oropharyngeal Squamous-cell Carcinoma แต่ยังไม่มีหลักฐานแน่ชัดชี้แจงกระบวนการเกิดปฏิกิริยาดังกล่าว
ทีม งานได้ศึกษากับผู้ป่วยมะเร็งในช่องปาก (Oropharyngeal Cancer) หรือมะเร็งที่ต่อมทอนซิล (Cancers of the tonsils) ในระยะเริ่มต้นจำนวน 100 คน และผู้ที่ไม่ได้เป็นมะเร็งอีก 200 คน โดยการตรวจตัวอย่างเลือดและน้ำลายกับโมเลกุลของแอนติบอดี และศึกษาสภาพความเป็นอยู่ในด้านต่างๆ เช่น พฤติกรรมทางเพศ การดื่มสุรา การสูบบุหรี่ โดยใช้แบบสอบถามลับ ได้รับผลดังนี้คือ
ผู้ที่มีคู่นอน (ที่ทำออรัลเซ็กซ์)จำนวนตั้งแต่ 6 คนขึ้นไปในชั่วอายุขัย (Lifetime) มีโอกาสเป็นมะเร็งในช่องปากถึง 3.4 เท่า
ผู้ที่มีคู่นอน (ที่ร่วมเพศกันทางช่องทางปกติ) จำนวนตั้งแต่ 26 คนขึ้นไปในชั่วอายุขัย มีโอกาสเป็นมะเร็งในช่องปาก 3.1 เท่า
พบความสัมพันธ์ว่า จำนวนคู่นอนที่มากขึ้นเพิ่มโอกาสในการเกิดมะเร็งมากขึ้นเช่นกัน
มะเร็งในช่องปากเกิดจากการติดเชื้อ HPV-16 ในช่องปากด้วยระดับ 32 เท่าอย่างมีนัยสำคัญ นั่นคือ ถ้า ได้ติดเชื้อ HPV-16ในช่องปากแล้วโอกาสที่จะพัฒนาเป็นมะเร็งก็สูงเป็น 32 เท่า โดยการสูบบุหรี่และดื่มสุราไม่ได้เป็นปัจจัยเพิ่มความเสี่ยงในกรณีนี้ เนื่องจากเมื่อเซลล์ในปากติดเชื้อ HPV แล้วเชื้อก็จะพัฒนาไปเป็นก้อนมะเร็งโดยไม่ต้องใช้บุหรี่และสุรามาเป็นแนว ร่วม (โดยปกติแล้ว บุหรี่และสุราคือตัวการที่ทำให้เกิดมะเร็งในช่องปาก)
ดร.สตินา (Dr Stina Syrjänen) บรรณาธิการร่วมจาก University of Turku ใน Finland กล่าวว่า ผลการศึกษาก่อให้เกิดประเด็นที่น่าสนใจทางการแพทย์ เช่น ควร จะมีการตรวจผู้ที่ดื่มสุราและสูบบุหรี่จัดเพื่อดูว่ามีการติดเชื้อ HPVในลำคอหรือไม่, การรักษาผู้ที่เป็นมะเร็งจากการติดเชื้อ HPV ควรจะแตกต่างจากผู้ที่เป็นมะเร็งอันเนื่องมาจากดื่มสุราและสูบบุหรี่จัดหรือ ไม่ และวัคซีน HPV จะป้องกันมะเร็งในลำคอและช่องปากได้หรือไม่ เป็นต้น
อย่างไรก็ดี ผลการศึกษาน่าจะชี้นำให้ทุกคนหันมาระมัดระวังตัวกันมากขึ้น เมื่อจะทำออรัลเซ็กซ์ โดยการใช้ถุงยางอนามัย