เธอคือเด็กผู้หญิงที่ฆ่าเด็กคนอื่น เป็นฆาตกรในโฉมหน้าเด็กน้อยแสนน่ารัก หน้าตาดี ฉลาด ผมดำ ตาคมสีฟ้า บัดนี้เธอโตเป็นผู้ใหญ่เป็นแม่ของคน เธอดิ้นรนเพื่อคว้าหาความสันโดษ สำหรับตัวเธอและลูกสาว จนกระทั้งหายตัวไปอย่างลึกลับ ไม่มีใครพบเห็นตัวเธออีกเลย...................
แมรี่เกิดเมื่อปี 1957 เป็นบุตรของเบทตี้ เบลล์ซึ่งเป็นโสเภณีและติดยา มักไปทำ "ธุระ"ในกลาสโกว์อยู่เสมอ (เธอเป็นโสเภณีประเภทซาดิสต์ ชอบเล่นแส้และเครื่องพันธนาการ) เบทตี้มีคนรักชื่อบิลลี่อยู่แล้ว แต่เนื่องจากเธอรับเงินช่วยเหลือจากประกันสังคมอยู่จึงสอนลูกให้เรียกบิลลี่ ว่าคุณลุงแทน กล่าวกันว่าเบทตี้พูดกับพยาบาลหลังจากที่คลอดแมรี่เสร็จเป็นคำแรกว่า"Take that thing away from me"
เท่านี้ก็คงพอที่จะบอกได้แล้วว่าครอบครัวที่แมรี่เติบโตมาเป็นยังไง
ส่วนสภาพในบ้าน ตำรวจที่เคยไปบ้านของแมรี่ถึงกับกล่าวออกมาภายหลังว่า "ไม่รู้สึกว่ามันเป็นบ้าน มันเหมือนเปลือกหอย สิ่งเดียวที่บอกว่าเป็นสิ่งมีชีวิตคือเสียงหมาเห่า"
แมรี่มีพฤติกรรมแปลกมาตั้งแต่ยังเด็ก มักจะมีเรื่องทำร้ายร่างกายเด็กคนอื่นอยู่บ่อยๆอย่างไม่ค่อยมีเหคุผล เธอเคยบีบคอซูซานซึ่งเป็นญาติเพียงเพราะเหตุผลว่าซูซานไม่ได้ให้ของขวัญใน วันเกิดของเธอ บางคนถูกเธอผลักตกลงจากกันสาดอย่างไม่มีเหตุผล
นอกจากนี้แมรี่ ยังมีนิสัยที่ใครๆ ต่างไม่ชอบเธอ ตรงที่ เธอฉลาด ไม่รู้จักอาย เธอชอบโกหก ชอบโอ้อวด ไม่รู้สึกสำนึกผิดที่ตนทำกับคนอื่นเอาไว้ แต่กระนั้นเธอก็อยากเป็นจุดสนใจต่อสายตาผู้อื่น เนื่องด้วยความต้องการ ที่โอ้อวด ทำให้แมรี่ คิด คิด อยากทำอะไรสักอย่าง ที่ให้ตัวเองได้เด่น ได้ดัง อะไร อะไรสักอย่างหนึ่ง.........................
วันที่ 25 พฤษภาคม 1968 ย่านนิวคาสเซิ่ลทางตอนเหนือของอิงแลนด์ เวลา 23.30 น.
เด็ก 3 คน ได้พบศพของเด็กเล็กคนหนึ่งที่ชั้นสองของบ้านร้างหลังเก่า ศพนั้นนอนหงายอยู่บนพื้น ลักษณะมีเลือดไหลออกจากปาก แก้มและคางมีน้ำลายเลอะเทอะอยู่เป็นจำนวนมาก ใกล้ๆกับศพมีขวดแอสไพรินเปล่าตกอยู่
จากการสืบสวนพบว่าเหยื่อเคราะห์ร้ายชื่อมาร์ติน บาราวน์ อายุ 4 ปี ศพของมาร์ตินไม่มีร่องรอยบาดแผลหรือรอยถูกบีบรัดใดๆที่สะดุดตาเป็นพิเศษ
มีพยานให้การว่าเขาพบมาร์ตินครั้งสุดท้ายเวลา 15.15 น.ของวันนั้น มาร์ตินไปซื้อขนมที่ร้านขนมและแวะบ้านของป้าเพื่อกินขนมปัง เขาออกจากบ้านของป้าเวลา 15.20 น. ก่อนจะถูกพบเป็นศพเมื่อเวลา 15.30 น. ในครั้งแรกตำรวจสันนิษฐานว่าน่าจะเกิดจากการกินยาผิด แต่การชันสูตรศพก็ไม่พบสิ่งผิดปกติใดมากไปกว่าเลือดออกในสมอง ตำรวจได้แต่กุมหัวเนื่องจากไม่พบเบาะแสใดๆเพิ่มเติม และในขณะเดียวกันชาวบ้านสก๊อตวู้ดต่างไม่พอใจในการสอบ
วันรุ่งขึ้นหลังการตายของมาร์ติน มีเด็กผู้หญิงสองคนมายังบ้านของมาร์ติน ทั้งสองคือ แมรี่ เบล อายุ 10 ขวบ และนอร์มา เบล อายุ 13 ขวบ (แมรี่และนอร์มา มีนามสกุลเดียวกันก็จริงแต่ไม่ได้เป็นญาติกัน) ริต้าซึ่งเป็นป้าของมาร์ตินให้การในภายหลังว่าแมรี่ถามคำถามที่เสียดแทงใจ เธอด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเกี่ยวกับการตายของมาร์ติน ทำนองว่า"ป้าคิดถึงมาร์ตินไหม?" "ร้องไห้ให้มาร์ตินหรือเปล่า?" มาร์ตินตายแล้วเหงารึเปล่า" "มาร์ตินตายแล้วร้องไห้รึเปล่า" และแมรี่นี่เองที่เป็นคนมาแจ้งให้ริต้าทราบว่าหลานของเธอตายอยู่ที่ตึกร้าง ในวันเกิดเหตุ
จูน บาราวน์ แม่ของมาร์ตินก็โดนเด็กแสบสองคนมาก่อกวน เช่นกัน "เธอหมุนตัวไปรอบๆ และยิ้มแย้มแบบเด็กน่ารักทั่วไป เธอบอกว่าขอพบมาร์ติน ฉันบอกว่ามาร์ตินตายแล้ว เธอก็ยิ้มตอบ แล้วตอบมาว่าเธอก็รู้ว่ามาร์ตินตาย ก่อนที่ฉันจะโกรธกับคำตอบนั้น ฉันก็ปิดประตูดังใส่หน้าเธอ"
เช้าวันที่ 27 พฤษภาคม สถานรับดูแลเด็ก ครูที่เดย์ เนอร์เซอรี ตรงถนนไวท์เฮาส์ ในวู้ดแลนด์ เครสเซนท์ ใกล้ที่เกิดถูกคนบุกรื้อค้น เข้าของกระจุยกระจาย ตำรวจพบกระดาษ 4 แผ่น เขียนด้วยลายมือหวัดๆ ปะปนอยู่ในกองเครื่องเขียน
แผ่นที่ 1 "ฉันฆ่าคน แล้วฉันจะกลับมาใหม่"
แผ่นที่ 2 "เราฆ่าคน ระวังแฟนนีและแฟ็คก็อตให้ดี"
แผ่นที่ 3 "เราฆ่ามาร์ติน บาราวน์ ไอ้สารเลว"
แผ่นที่ 4 " พวกแกพลาด เพราะเราฆ่ามาร์ติน บาราวน์ ตายแล้ว จงระวังแฟนนีและแฟ็คก็อต จะเป็นคนต่อไป
ในครั้งแรก ตำรวจยังคงเชื่อว่านี่เป็นการเล่นตลกเสียมากกว่าจึงโยนทิ้งกระดาษพวกนั้น และในวันเดียวกันนั้นเอง แมรี่ก็เขียนในสมุดบันทึกโรงเรียนดังข้างล่างนี้
ในบันทึกมีรูปวาดเป็นรูปของเด็กผู้ชายอยู่ท่า ทางเดียวกับมาร์ตินตอนพบศพ มีขวดอยู่ใกล้ๆ เขียนคำว่า "ยา" มีชายคนหนึ่งเดินมาที่เด็ก และข้อความว่า" วันเสาร์ฉันอยู่ในบ้าน แม่ให้ฉันไปถามนอร์มาว่าไปซื้อของด้วยกันไหม เราไปด้วยกัน และกลับมาตามถนนมาเกร็ต เห็นมีคนมุงอยู่ที่บ้านหลังเก่า ฉันถามว่าเกิดอะไรขึ้น มีเด็กคนหนึ่งนอนตาย"
แต่กระนั้นครูที่สอนหนังสือของแมรี่ ไม่สะกิดใจแต่น้อย แม้ว่าเธอจะเป็นนักเรียนคนเดียวที่เขียนเกี่ยวกับการเสียชีวิตของมาร์ติน
วันศุกร์ สัปดาห์เดียวกัน แมรี เบลล์ และ นอร์มา เบลล์ ถูกจับกุมได้คาหนังคาเขา ฐานบุกรุกสถานรับดูแลเด็ก ครูที่เดย์ เนอร์เซอรี แต่ปฏิเสธการบุกรุกคราวก่อน และถูกปล่อยตัวให้อยู่ในการควบคุมของผู้ปกครองไปจนกว่าจะส่งฟ้องศาลเยาวชน
อาทิตย์ถัดมา มีเด็กผู้ชายคนอื่นเห็นแมรี่กระโจนใส่นอร์มา ที่บ่อทรายของเนอร์เซอรี แมรีข่าวและเตะหน้าของนอร์มา พร้อมกับตะโกนว่า"ฉันเป็นฆาตกร" และเธอยังชี้ไปยังตึกร้างที่พบศพของมาร์ตินพร้อมกับบอกว่า"บ้านหลังโน้นไง ที่นั้นแหละที่ฉันฆ่า....." หากในตอนนั้นไม่มีใครถือจริงจัง เพราะแมรี่เป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นคนขี้โกหก โอ้อวดคุยโว
จนกระทั้ง ศพที่สองตามมา.....................
ฤดูร้อน ปี 1968
สองเดือนให้หลัง วันที่ 31 กรกฎาคม (ผ่านวันเกิดของแมรี่ไปแล้ว ตอนนี้เธอจึงมีอายุ 11 ปี)
"เธอตามหาไบรอันเหรอ?" แมรี เบลล์ ถาม แพท โฮวี่ พี่สาวของไบรอัน อายุ3 ขวบ เขาหายตัวไปจากบ้าน
"เขาอาจเล่นอยู่แถวๆ นี้ก็ได้" แมรีเอ่ย พลางชี้ไปที่แท่งคอนกรีตขนาดใหญ่ที่กองระเกะระกะ ที่อยู่ในสถานที่ก่อสร้าง ซึ่งพวกเด็กมักชวนเล่นซ่อนหากัน
"ไม่หรอก เขาไม่เคยอยู่ที่นั้น" นอร์มายืนยัน
จน กระทั้ง 23.10 น. ตำรวจก็ได้พบศพไบรอันโฮวี่ ศพของเขาถูกพบใต้บล๊อกอิฐในละแวกบ้านนั่นเอง ศพของไบรอันถูกหมกอยู่ใต้หญ้าและวัชพืชดอกไม้สีม่วง ปากมีน้ำลายปนเลือดติดอยู่ ศีรษะถูกทุบด้วยของแข็ง มีรอยข่วนที่จมูก ใกล้กับศพ มีกรรไกรตกอยู่ คมข้างนึงหัก อีกข้างบิดงอ มีรอยแทงที่บริเวณต้นขาศพ อวัยวะเพศถูกเฉือนหายไปบางส่วน ผมถูกตัดไปกระจุกหนึ่ง และมีบาดแผลแปลกประหลาด ขนาดตำรวจบอกว่า "เหมือนทำเล่นๆ เพื่อความสนุก แต่เป็นการเล่นที่สยดสยอง"บริเวณท้องถูกกรีดเป็นตัวอักษร M กระทำขึ้นหลังจากที่ไบรอันเสียชีวิตแล้ว รอยกรีดนี้เชื่อว่าตอนแรกคิดจะกรีดเป็นตัว N แต่ต่อมาก็กรีดรอยที่สี่ต่อเป็นรูป M ทีหลัง ด้วยมือของอีกคน
จากการชันสูตร แพทย์สรุปว่าสาเหตุการตายเพราะถูกบีบคอโดยเด็ก ตรงนี้เองที่ตำรวจเอะใจขึ้นมา เป็นไปได้หรือไม่ว่ามาร์ติน บาราวน์ ก็เสียชีวิตด้วยสาเหตุเดียวกัน? เพราะแรงบีบของเด็กน้อยกว่าผู้ใหญ่มากจนไม่เหลือรอยช้ำไว้ชัดนัก
ตำรวจได้รวบรวมเด็กๆอายุตั้งแต่ 3 ถึง 15 ปีกว่า 1200 คนซึ่งอาศัยอยู่ในแถบนั้นและแจกแบบสอบถามให้กับทุกคน ในบรรดาคำตอบซึ่งไม่ตรงประเด็นเท่าใดนักกว่า 1000 ใบ มีอยู่ 2 คนที่น่าสงสัยกว่าคนอื่น ในที่สุดชื่อของแมรี่และนอร์มาก็ผุดขึ้นมาในฐานะผู้ต้องสงสัย โดยนอร์มาออกอาการตื่นเต้นในการฆาตกรรม ส่วนแมรีคอยหลีกเลี่ยงไม่รู้ไม่เห็นและมีท่าทีแปลกๆ "เธอยิ้มระรื่นตลอดเวลาราวกับเป็นเรื่องขำเต็มประดา" เจ้าหน้าคนหนึ่งบอก
แม รี่และนอร์มาถูกสอบปากคำหลายครั้ง และพวกเธอก็กลับคำให้การของตัวเองไปเรื่อยๆ ต่อมาแมรี่ให้การว่าเธอเห็นเด็กชายคนหนึ่งมีดอกไม้สีม่วงติดตัวและถือกรรไกร หากเมื่อตำรวจสอบปากคำเด็กชายดังกล่าวก็พบว่าเขามีพยานยืนยันที่อยู่อันแน่ นอน ข้อสงสัยจึงตกมายังแมรี่ เนื่องจากลักษณะของกรรไกรซึ่งพบในที่เกิดเหตุนั้นไม่ได้ถูกประกาศออกสู่ สาธารณชน
ศพของไบรอันถูกฝังในวันที่ 7 สิงหาคม นักสืบเจ้าของคดีนี้ไปร่วมพิธีด้วย แมรี เบลล์ ยืนอยู่บนศพของอยู่หน้าบ้านตอนเคลื่นศพของไบรอัน "ผมจับตาดูธอ เห็นเธอยืนหัวเราะพร้อมกับเอามือถูกันไปมาอย่างสบอารมณ์ ผมนึกในใจ ผมต้องเอาตัวมาให้ได้ ก่อนที่จะมีเธอจะหาเหยื่อคนอื่นอีก"
และในที่สุดนอร์มาก็รับสารภาพออกมา ครั้งแรกเธอบอกว่าแมรี่พาเธอไปดูศพของไบรอัน (มีการพบมีดโกนซึ่งใช้กรีดท้องไบรอันตามคำให้การของนอร์มา) ก่อนจะยอมรับภายหลังว่าแมรี่บีบคอไบรอันต่อหน้าของเธอ
โดยคำให้การนี้แมรี่จึงถูกปลุกจากเตียงกลางดึก (00.15 น.) เพื่อนำตัวไปสืบสวน แน่นอนว่าแมรี่ปฏิเสธคำให้การทุกประการของนอร์มา
"ฉันจะโทรไปหาทนายให้เอาฉันไปจากที่นี่ นี่มันการล้างสมองกันชัดๆ"
การสอบปากคำครั้งนี้ แมรี่ยืนยันว่าเธอไม่เกี่ยวข้องอันใดกับคดี ตำรวจจึงปล่อยตัวเธอไป(03.30 น.)
อีก 2 วันให้หลัง แมรี่และนอร์มาก็ถูกจับกุมอย่างเป็นทางการ และถูกคุมตัวในสถานีตำรวจนิวคาสเซิล เวสท์เอ็น ในระหว่างนั้นแมรี่กล่าวหาว่านอร์มาเป็นคนฆ่าไบรอันตลอดเวลา
ระหว่างอยู่ในสถานกักกันรอการขึ้นศาล แมรี่บอกกับผู้คุมหญิงว่าเมื่อโตขึ้น เธออยากเป็นนางพยาบาล และเมื่อถามถึงเหตุผล แมรี่ก็ตอบว่า"เพราะเอาเข็มแทงคนได้ หนูชอบเห็นตนอื่นเจ็บปวด" เธอยังพูดเกี่ยวกับการตายของไบรอันอีกด้วยว่า"ที่บ้านไบรอันไม่มีคุณแม่ เขาตายไปก็ไม่มีใครคิดถึงหรอก"
ดอกเตอร์ออลตันซึ่งเป็นผู้วินิจฉัยสภาพจิตใจของแมรี่ถึงกับกล่าวว่า
"ผมเคยพบกับเด็กที่เป็นฆาตกรหลายคนแล้ว แต่รายที่รุนแรงและอันตรายอย่างนี้เพิ่งจะเคยเจอเป็นครั้งแรก เธอทั้งฉลาด รู้จักพลิกแพลง"
วันที่ 5 ธันวาคม 1968 แมรี่ เบลล์ และนอร์มา ถูกนำตัวขึ้นศาล ในขณะที่นอร์มาร้องไห้อยู่บ่อยครั้ง แมรี่กลับมีทีท่าเฉยชาไม่ยินดียินร้ายและตั้งใจฟังการตัดสินคดีอยู่ตลอดเวลา ส่วนครอบครัวของแมรี่ก็มาร่วมฟังด้วย
แน่นอนคดีนี้มีผู้คนนักข่าวมาเข้าร่วมฟังมากที่สุดในประวัติการณ์
ในที่สุด วันที่ 17 ธันวาคม การตัดสินก็ออกมาตามความคาดหมายของคนส่วนใหญ่ นอร์มาถูกตัดสินให้ไม่มีความผิด หากถูกคาดฑัณต์ไว้ ส่วนแมรี่ถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานฆ่าคนสองรายโดยไม่ไตร่ตรองไว้ก่อน โทษคือ "ควบคุมตลอดชีวิต" หากเนื่องจากเธออายุยังน้อย โทษจึงเป็นเพียงรับการรักษาทางจิตให้หายดีและปล่อยตัวในภายหลัง
ทว่าไม่มีโรงพยาบาลโรคจิตที่จะรับรองแมรี่ไว้ ได้ เธอจึงถูกส่งตัวไปยังสถานกักกันเยาวชนเรดแบงค์ ตั้งแต่กุมภาพันธ์ 1969 ถึง พฤศจิกายน 1973
ปี 1977 แมรี่อายุ 20 ปีถูกย้ายไปยังเรือนจำสไตอัลซึ่งมีระบบรักษาความปลอดภัยไม่ดีนัก เธอและเพื่อนแหกคุกไปก่อนจะถูกจับได้ในอีก 3 วันให้หลัง ระหว่างการแหกคุกครั้งนี้เธอได้ทิ้งพรหมจารีไปเรียบร้อยแล้ว เกี่ยวกับเรื่องนี้ แมรี่ให้การว่า"ฉันแค่อยากจะแสดงให้เห็นว่าตัวเองปกติดี และสามารถใช้ชีวิตอยู่ในสังคมได้เท่านั้นเอง"
14 พฤษภาคม 1980 แมรี่ถูกปล่อยตัวเมื่ออายุได้ 22 ปี เธอถูกปล่อยตัวโดยไม่ได้รับการเยียวยาให้หายจากอาการทางจิตเลย
แมรี่เปลี่ยนชื่อและกลับไปอยู่กับแม่ของเธอ หลังจากเข้ามหาลัยและจบออกมาก็เปลี่ยนงานไปเรื่อยๆ เช่น สถานรับเลี้ยงเด็ก เป็นพนักงานบริการ จนคลอดบุตรหญิงในปี 1984 ที่จริงแล้วแมรี่อยู่ภายใต้การควบคุมของเรือนจำจนถึงปี 1992 หากเธอก็ได้รับอนุญาตให้เลี้ยงลูกคนนี้ได้
ปี 1998 แมรี่รอจนลูกสาวโตแล้วกลับมาใช้ชื่อเดิมพร้อมกับออกหนังสือชีวประวัติของตัว เอง (Cries Unheard) ไม่รู้ว่าเนื้อหามีความจริงมากน้อยแค่ไหน เพราะคนส่วนใหญ่จนทุกวันนี้ก็ยังมองว่าแมรี่เป็นคนขี้โกหกอยู่ดี
ปี 2003 แมรี่หายตัวไปอย่างลึกลับ ไม่มีใครพบเห็นเธอเลยจนถึงปัจจุบัน
21 พฤษภาคม 2003 แมรี่ เบลล์ ได้รับอนุมัติให้เป็นบุคคลนิรนามตลอดชีวิต พร้อมคำสาปแช่ง นางจูง ริชาร์ดสัน แม่ของมาร์ตินว่า "เป็นจุดจบที่ดีของเธอ ที่เธอไม่ต้องมีชื่อเสียงเรียงนามและหายสาบสูญไปเลย พวกเราจะได้อยู่อย่างมีความสุขสักที..............."