ตำนาน : สฟิงซ์

 
สฟิงซ์ (Sphinx)


สฟิงซ์ (Sphinx) สัตว์ลูกผสม เป็นสัตว์ที่มีส่วนผสมของสัตว์หลายชนิดรวมอยู่ในตัวเดียวกัน ตามความเชื่อของคนแถวอียิปต์ จะว่าเฉพาะอียิปต์ซะทีเดียวก็จะรวบรัดไป เพราะสฟิงซ์มีอยู่หลายเผ่าพันธุ์ต่าง ไปตามการแต่งเติมสีสัน ให้น่ากลัวมากขึ้นเท่าไร อย่างของชาวกรีก สฟิงซ์จะมีใบหน้าและทรวงอกของหญิงสาว ท่อนล่างเป็นสิงโต และมีปีก แบบนกอินทรี ส่วนของอียิปต์ หรือพันธุ์ที่เราเรียกว่า แอนโดรสฟิงซ์ (Andro-Sphinx) ก็มีรูปร่างเหมือนชาวกรีกนั่นแหละ เพียงแต่ว่าไม่มีปีกเท่านั้นเอง และของพวกอียิปต์อีกเช่นกัน ที่สฟิงซ์แตกเผ่าเป็น ครีโอสฟิงซ์ (Crio-Spninx) ที่มีหัวเป็นแกะบ้าง หรือเป็นนกเหยี่ยวบ้าง ในเปอร์เซีย (Persia), แอสซีเรีย (Assyria), และฟีเนียเซีย(Phoenicia) มีสฟิงซ์ทั้งสองเพศ ตัวผู้จะมีหนวด และผมหยักศก

ส่วน ของโรมโบราณเป็นผู้หญิง และอาจจะเป็นแบบที่ส่งผ่านมาให้กับอียิปต์ก็ได้ เพราะว่าตัวนี้สวมงูแอสพ์ (Asp) คาดอยู่ที่หน้าผากด้วย สฟิงซ์ของตะวันออก กลางเป็นสัตว์ที่ได้ชื่อว่าฉลาด ซึ่งนั่นอาจเป็นเพราะมันจะเปิดเผยสิ่งที่มันรู้ยากมาก มันพอใจที่จะนอนผึ่งแดดอย่างเป็นสุข ท่ามกลางการเคารพบูชาของผู้ที่เทิดทูนมัน ส่วน สฟิงซ์ของพวกกรีก กลับมีลักษณะที่ตรงกันข้าม มันทรยศหักหลัง ก้าวร้าวรุนแรงและกระหายเลือด และพวกนี้ยังชอบกินคน เป็นอาหารเสียด้วยลักษณะที่เด่นชัดของสฟิงซ์กรีกอีกอย่างหนึ่งก็คือ ความคล้ายแมว หรือจะว่าอีกทีก็คล้ายผู้หญิงด้วย นั่นคือ มันจะพูดคุยหยอกเหยื่อของมันก่อนที่จะสวาปามเข้าไป
แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าหากเกิดเยื่อหนีรอดไปได้ สฟิงซ์จะบินดิ่งทิ้งตัวกระแทกพื้นหรืออะไรสักอย่าง ด้วยความโกรธเกรี้ยวจนตายไปเองก็บ่อย

เรื่องราว เกี่ยวกับสฟิงซ์ของกรีกที่โด่งดังเรื่องหนึ่ง เห็นจะไม่พ้นเรื่องของเจ้าแม่เฮรา (Hera) ซึ่งมอบหมายหน้าที่ลงโทษชาวเมืองธีบีส (Thebes) เพราะความเมามายไร้สติของพวกเขา หลังจากที่ไดโอนิซุส เทพแห่งเมรัยได้มาสอนการทำไวน์ ให้แก่ชาวเมืองนี้ ตามปกติสฟิงซ์จะไม่เข้าขย้ำเหยื่อ ที่ผ่านมาในทันทีทันใด แต่จะให้โอกาสเหยื่อด้วยการถามปัญหา ที่เรียกกันว่าปัญหาของตัวสฟิงซ์ (The Riddle of the Sphinx) ซึ่งสัญญาจะปล่อยเหยื่อเป็นอิสระ หากตอบปัญหาของนางได้

แน่ล่ะตามท้องเรื่องที่จะกล่าวถึง พระเอกคนหนึ่งนี้ ต้องมีเรื่องให้ไม่มีใครตอบได้ จนกว่าพระเอกของเรื่องคือ เอดิปุส (Oedipus) แห่งโครินท์ผ่านมาในเมืองธีบีสพอดิบพอดี สฟิงซ์กระโดดออกมาจากหลังพุ่มไม้ แลบลิ้นเลียปากด้วยความอยากกินเนื้อ มานพน้อยรูปงาม ก่อนจะส่งเสียงคำรามให้ขวัญหาย เข้าใส่เอดิปุสและถามปัญหา "อะไรเอ่ยเดินสี่ตีนในยามเช้า เดินสองตีนในยามสาย และเดินสามตีนในยามเย็น….?

"อ๋อ ใช่ก็สโนว์ไวท์นะซี เอ๊ยคนละเรื่อง มันก็คือมนุษย์นั่นแล ย่อมเดินด้วยการคลานทั้งมือและเข่า เมื่อยังเป็นเด็ก ยืนด้วยขาสองข้างเมื่อโตเต็มที่ และต้องใช้ไม้เท้าพยุงตัวเอง เป็นขาที่สามในยามสายัณห์ของชีวิต เอดิปุสตอบอย่างไม่ลังเล สฟิงซ์เมื่อได้ฟังคำตอบ ที่ไม่คิดว่าจะได้ยินจากมนุษย์หน้าไหนเลย ถึงกับกรีดร้องด้วยความเจ็บใจ นางโผบินขึ้นบนฟ้า แล้วทิ้งตัวดิ่งลงฆ่าตัวตายในทะเล นี่ดูเหมือนหล่อนจะเป็นฝ่ายแพ้ ทั้งๆที่ถ้าจะนับแล้วสฟิงซ์ต่างหาก ที่เป็นฝ่ายชนะ เพราะหลังจากที่สฟิงซ์ ซึ่งเป็นสัตว์ที่น่ากลัวที่สุดของปวงชาวธีบีสได้ตายไป ผู้รักษาการณ์เมืองธีบีส ถึงกับเชิญเอดิปุสขึ้นเป็นราชา และให้แต่งงานกับราชินีม่าย โจคัสต้า (Jocasta) ของกษัตริย์องค์ก่อน และกว่าจะรู้ความจริงว่าโจคัสต้านี่เอง คือมารดาผู้ให้กำเนิดเอดิปุส ก็เมื่อนางได้ตกเป็นราชินี อย่างแท้จริงของเอดิปุสไปเสียแล้ว โชคชะตาย่อมเล่นกลต่อชีวิตของเขา มากกว่าที่จะถูกสฟิงซ์กินตายไปรู้แล้วรู้รอด…
นอกจากสฟิงซ์ในตำนานแล้วก็ยังมีสฟิงซ์ที่รู้จักกันดี ก็คือสฟิงซ์ของอียิปต์

อาศัยอยู่บนทรายสีเหลือง นุ่ม ของที่ราบสูง แห่งกิซา เป็นสิ่งก่อสร้าง ขนาดมหึมา ซึ่งเรารู้จักกันดี... สฟิงซ์ สัตว์ลูกครึ่ง ที่ทอดร่าง หันหน้าสู่ทิศตะวันออก และหมอบเฝ้า มหาพีระมิด มานับพันปี!! คงนึกภาพ ตัวสฟิงซ์ออกน่ะ เจ้าสัตว์ที่เกิดจาก การรวมตัว อันแปลก ประหลาด ระหว่างมนุษย์กับสิงโต ส่วนหัวที่เหมือนมนุษย์นั้น มีสัญลักษณ์ ของฟาโรห์อียิปต์ แสดงไว้ชัดเจน คือมีเคราที่คาง ตรงหน้าผาก มีงูจงอางแผ่แม่เบี้ย และมีเครื่องประดับ รัดเกล้าแบบกษัตริย์โดยรอบ ความกว้างของใบหน้านั้น ประมาณ 14 ฟุต ส่วนลำตัวที่เป็นสิงโต มีความยาวเกินกว่า 240 ฟุต (วัดจากหัวถึงหาง) ขนาดของมัน มโหฬาร จนคนที่เดินผ่าน เหลือตัวนิดเดียว

ว่ากันว่า สฟิงซ์ คือ รูปเหมือนขนาดใหญ่ กว่าร่างจริง สองเท่าของฮาร์มาชิส เทพแห่งรุ่งอรุณ
 
เมื่อตอนที่ แปลงร่าง เป็นสิงโต มีเศียร เป็นฟาโรห์อียิปต์หรือ "sphingein แปลว่า การบีบรัด เพราะสฟิงซ์ของชาวกรีก เป็นสฟิงซ์ที่นิสัยไม่ดี ชอบหยอกเล่นกับเหยื่อ พอมีเหยื่อหลงเข้ามา ก็จะถาม คำถาม และถ้าตอบไม่ถูก จะฆ่าทิ้งส่วนหน้าที่ ของสฟิงซ์แห่งกิซา นอกจากเฝ้าพีระมิดแล้ว เบื้อง หลังและทุกด้าน ของรูปปั้นอมนุษย์นี้ ยังมีพื้นที่ที่เรียกว่า "นครมรณะ" ราย รอบอยู่ นครมรณะกินอาณา บริเวณ คลอบคลุมผืนทรายทางใต้ ทางตะวันตก และเหนือของสฟิงซ์ หลุมแล้วหลุมเล่า ต่างถูกขุดเจาะเป็นโพรง เพื่อใส่โลงหิน ที่บรรจุร่างของพระราชวงศ์ ขุนนาง และนักบวช ชั้นสูง ซึ่งผ่านกรรมวิธี การทำมัมมี่มาแล้ว โดยที่สฟิงซ์ จะคอยขจัดวิญญาณชั่วร้าย ให้พ้นจากหลุมศพเหล่านั้น... อือ...
แล้วเจ้าสฟิงซ์นี้ มีอายุเท่าไร ถ้านับตาม ลำดับญาติแบบเรา ๆ ก็คงเป็นปู่ทวด ของปู่ทวด ของปู่ทวดของ ปู่ทวดๆ ๆ ๆ ๆ ๆ

....สรุป เรียก "คุณปู่ (10 ยกกำลัง 3) เพราะจากการคำนวณ อายุหินที่ใช้สร้าง โดยใช้คาร์บอน14 ปรากฏว่า สฟิงซ์มีอายุ เกือบหมื่นปี แต่ว่าประวัติศาสตร์ ชนชาติอียิปต์ เพิ่งเริ่มเมื่อสี่พันกว่าปีก่อนเอง แล้วสฟิงซ์ จะอายุเป็นหมื่น ได้อย่างไร บรรดานักวิชาการ จึงออกมาโต้คารมกันยกใหญ่ บางกลุ่มก็บอกว่า สฟิงซ์ ... ต้องสร้างในสมัย ฟาโรห์คาฟเร (เจ้าของพีระมิดองค์กลาง) เพราะ ใบหน้าของสฟิงซ์นั้น เหมือนพระพักตร์ ของฟาโรห์ คาฟเร มาก และสาเหตุที่มี การแกะสลัก ให้คล้ายกับ พระพักตร์ของ ฟาโรห์คาฟเร อาจเป็นเพราะ พระองค์ได้สมมุติตัวเอง โดยแสดงเจตนาว่า ตัวสฟิงซ์นั้น แทนพระองค์ ซึ่งเป็นเทพเจ้า แห่งดวงอาทิตย์ แต่ฝ่ายวิเคราะห์ การผุกร่อนของหิน ก็โต้ว่า การผุกร่อนนั้น เกิดจากน้ำมากกว่าที่จะเป็น ลมและทราย ตามที่เข้าใจ เป็นไปได้ว่า ก่อนที่ทรายจะเข้าปกคลุมบริเวณนี้ เคยเป็นดินแดน ที่ฝนตกชุกมาก่อน เลยตั้งสมมุติฐานว่า พอมีความชุ่มชื่น คนโบราณจึงเข้ามาอาศัย แล้วสร้างอนุสรณ์ แห่งความรุ่งเรืองเอาไว้ ก่อนที่จะล่มสลายไป

จากนั้นบรรพบุรุษ ของชาวอียิปต์ ก็เข้ามาอาศัยแทนที่ และครอบครอง ซากอารยธรรมอันนี้ ไว้แบบเดียวกับ ชาวเผ่าอินคา หลังจากถกเถียงกัน จนคอแห้ง ต่างก็ยอมยุติ สงครามน้ำลายลง เพราะไม่ว่าฝ่ายไหน ก็หาหลักฐานมายืนยัน ความคิดของตนเองไม่ได้ เนื่องจากคนโบราณ ไม่ได้จารึกถึงวิธี และเวลา ในการสร้างสฟิงซ์ เอาไว้เลย แล้วความลับในเรื่อง อายุของสฟิงซ์ ก็ยังคงเป็น ความลับต่อไป
อ้อ.. รู้ไหม ทำไมสฟิงซ์จมูกถึงบี้?

สาเหตุ ที่จมูกของสฟิงซ์ แหว่งหายไป เป็นเพราะถูก เอาเป็นเป้า ไว้ซ้อมยิงปืน ของชาวอาหรับ ก็สมัยนั้น เขากำลังเห่อปืน... อาวุธรุ่นใหม่ ที่เพิ่งออกมา แต่พอซื้อมาแล้ว ก็หาที่ซ้อมเจ๋ง ๆ ไม่ได้ เลยหันมาเอาสฟิงซ์ เป็นที่ฝึกซ้อม เพราะนอกจาก จะเป็นเป้านิ่งแล้ว ขนาดที่ใหญ่ ยังเหมาะกับมือสมัครเล่น เป็นที่สุด จวบ จนทุกวันนี้ สฟิงซ์ก็ยังคงทำหน้าที่ เฝ้านครแห่งความตาย และเหล่ามหาพีระมิด ทั้ง 3 องค์ โดยไม่ขยับเขยื้อนไปไหน แม้แต่น้อย ดวงตาหินของมัน ทอดมองสรรพสิ่ง ที่เปลี่ยนไป ตามกาลเวลา โดยไม่ปริปาก เล่าถึงความลับในอดีต ให้ผู้ใดล่วงรู้...



ทิ้งไว้เพียงปริศนา และความลี้ลับ รอให้เหล่ามนุษย์ ผู้มากด้วยความสามารถมาไข
   
16 ก.พ. 54 เวลา 17:08 4,921 7 80
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...