อิซเซ ซากาวะ เกิดเมื่อ ๑๑ กรกฎาคม ๑๙๔๙ บิดาของเขาเป็นทหารที่เคยถูกกักตัวอยู่ที่รัสเซีย และ ต่อมาได้ประสบผลสำเร็จ เป็นประธานการบริษัทอุตสาหกรรมเครื่องดื่มคูติระในกรุงโตเกียวและขยายสาขาไปทั่วโลก(รวมทั้งประเทศไทย)
ว่ากันว่าตอนที่ ซาคาว่า เกิดมานั้น แม่ของเขาคลอดก่อนกำหนดจนเกือบจะแท้ง และซากาวะก็ ตัวเล็กมาก มีขนาดเพียงฝ่ามือข้างเดียวของพ่อ
เมื่อโตขึ้นซากาวะมีรูปร่างเตี้ยมากสูงไม่เกิน ๕ ฟุต มือเท้ามีขนาดเล็ก เสียงพูดก็แหลมเหมือนผู้หญิง และมีท่าทางกระตุ้งกระติ้งออกไปทางผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย มีแนวโน้มอาจ เป็นพวกลักเพศ แต่ถึงเขาเป็นอย่างนี้พ่อของเขาก็รักลูกสุดดวงใจ เพราะเขา คือหนึ่งเดียวที่จะสานต่อกิจการของครอบครัว
ซากาวะ เป็นเด็กที่ฉลาด มากแต่ร่างกายค่อนข้างอ่อนแอ ผอม และค่อนข้างกังวลเรื่องส่วนสูงของตน เอง แต่เขาชอบวรรณกรรม โดยนิยมอ่านงานเขียนเรื่อง Wuthering Heights (Emily Jane Brontë), War and Peace (Voyna i mir) และ "สี่ดรุณี" (Louisa May Alcott) ซึ่งจากความชอบนี้เองทำให้เขามีความรู้ในภาษาต่างประเทศหลายภาษา จนสามารถไปเรียนต่อวิชาวรรณคดีอังกฤษที่ มหาวิทยาลัยวาโก อย่างสบาย และ ที่ยุโรปนี้เอง เขาได้เกิดหลงใหลสตรีชาวยุโรปที่รูปร่างสูงกว่าเขาและหลงรักพวกเธออย่างลึก ซึ้ง ซึ้งจนอยากกินพวกเธอ
เมื่อ อิสเซ ซากาวะ เข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยวาโก เขาเริ่มสนใจ TEMPEST ของ เชค เปียร์ส ซากาวะ เลือกหัวข้อนี้ มาเป็นวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาโท ซึ่งฉบับภาษาฝรั่งเศสได้รับเสียงวิจารณ์อันดีจากอาจารย์หลายคน และมีกำหนดจะตีพิมพ์ หากเขาไม่ถูกจับในคดีอันอื้อฉาวนี้เสียก่อน
ครั้งแรก ไม่ รู้ว่า อิสเซ ซากาวะ นั้นมีความรู้สึกอยากกินคนตั้งแต่เมื่อไหร่ จากการสันนิษฐานเขาอาจเริ่มรู้สึกอยากกินคน ตอนที่เขาเรียนอยู่วาโก ที่นั้นเขาได้ตกหลุมรักครูสาวเยอรมันคนหนึ่ง อย่างหักปักหัวปำ แต่ไม่ได้รักแบบชู้สาว แต่เป็น..............
“เวลาที่ผมพบผู้หญิง คนนี้ ผมชั่งใจไม่ถูกว่าจะกินเธอดีไหม”
วันหนึ่งในฤดูร้อน อิสเซลอบปีนไปหน้าต่างที่ครูสาวพักอยู่ ตอนนั้นเธอกำลังหลับสนิทนอน เปลือยกาย อิสเซมาเห็น ก็เกิดอารมณ์ขึ้น แต่เวลานั้นเขาไม่ได้พกอาวุธติด ตัวมาด้วย จึงใช้ร่มกันฝนแทนมีด แต่ครูสาวตื่นมาเห็นก่อนจึงร้องโวยวาย ให้คนมาช่วย ทำให้อิสเซเผ่นหนีสุดชีวิต
ในเวลาต่อมา พ่อของอิสเซ ได้จ่ายค่าเสียหายในคดีนี้ ผู้เสียหายก็ไม่ติดใจที่จะเอาเรื่อง อิสเซ จึงไม่ถูกตัดสินว่ามีความผิดในคดีนี้ อิสเซเมื่อพลาดครั้งแรก เขารู้สึกอาการผิดปกติของเขาจึงได้ทำเรื่อง ความรู้สึกอยากกินมนุษย์ โดยไปหาจิตแพทย์ จิตแพทย์ตกใจเมื่อรู้ว่าอิสเซไม่ได้แค่มีความคิดแต่ได้ลงมือแล้วแต่ทำไม่สำเร็จ และมีสิทธิสูงที่จะก่อการแบบนี้ต่อไปในวันข้างหน้าอีกครั้ง
จิตแพทย์ได้ทำการพูดคุยกับอิสเซยืนยันว่า เขาเป็นอันตรายต่อสังคมอย่างยิ่งถ้าไม่แก้ไข แต่ถึงกระนั้นจิตแพทย์ก็เก็บเป็นความลับนี้ไว้ เนื่องจากไม่มีผลสรุปอย่างเป็นทางการ เมื่อ พ่ออิสเซ รู้ข่าวจึงแก้ปัญญานี้โดยการให้ อิสเซ ไปเรียนที่อื่นเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ อิซเซเลือกที่จะไปเรียนที่ปารีสเพราะที่นั้นเป็นแหล่งรวม เหยื่อผู้หญิงที่มีลักษณะตรงสเป็กเขาพอดี
ระหว่างที่อิสเซทำการศึกษาที่ "สถาบัน เซนซิแยร์" ในมหานครกรุงปารีส ในปี ค.ศ. ๑๙๘๑ อิสเซได้ตกหลุม รักนักศึกษาชาวยุโรปคนหนึ่งชื่อ เรนี ฮาร์เทเวลท์ ที่นั่งถัดไปในห้องเรียน เรนี เป็นสาวสวยชาวยุโรปเหนืออายุ ๒๕ ปี ผมสีบบลอนด์ พูดได้ถึง ๓ ภาษา เธอ ตั้งเป้าหมายว่าจะเรียนให้จบปริญญาเอกด้านวรรณคดีฝรั่งเศสเพื่อประกอบอาชีพ ในอนาคต
อิสเซ หลงรักเธอจนหักห้ามใจไม่ได้ทุกครั้งที่เห็นแขนขาว เนียนของเธอ เรนีเป็นผู้หญิงในฝันของเขา เขาต้องหาทางให้ถึงตัวเธอให้จงได้ ระยะแรกอิสเซปูทางด้วยการขอให้ เรนีสอนภาษาเยอรมันให้เขา โดยเสนอค่าจ้างในราคาสูงๆ เรนียอมรับข้อเสนอนี้
อิสเซ เริ่มแผนการด้วยการเขียนจดหมายสารภาพรักกับเธอ นัดเธอไป ดูคอนเสิร์ตและนิทรรศการศิลปะต่างๆ แม้ว่าอิสเซจะตัวเล็กและเดินกระตุ้งกระติ้งแบบผู้หญิง แต่เรนีก็ไม่ได้รังเกียจที่จะไปไหนมาไหนด้วยกัน จนบางครั้งเรนีก็ชวนอิสเซไปกินน้ำชา ที่บ้านของตัวเอง บางครั้งก็เต้นรำด้วยกัน
แต่บางครั้งอิสเซก็มักแสดง พฤติกรรมวิปริตให้เรนีเห็นบ่อยๆ เช่น ครั้งหนึ่งอิสเซเชิญเรนีมาที่ อพาร์ทเมนต์เพื่อรับประทานอาหารค่ำ อิสเซให้เรนีอ่านกวีคลาสสิกของเยอรมัน เธอทำตามที่อิสเซต้องการ พอเรนีออกไปแล้วกลับ ก็พบอิสเซแสดงอารมณ์วิปริตออกมา เขาสูดดมกลิ่นที่เก้าอี้ที่เรนินั่ง ใช้ลิ้นเลียที่ผ้าบุเก้าอี้ พร้อมสบถว่า แม่คุณเอ๋ยฉันจะกินเธอให้อิ่มแปล้ ให้จงได้ เรนีเห็น พฤติกรรมของอิสเซ ดูแล้วน่าขยะแขยงอย่างยิ่ง และแล้ววันนั้นก็มา ถึง
(จากคำให้การของอิสเซในเวลาต่อ มาบอกว่าเขามีความคิดที่จะฆ่าโสเภณี
เพื่อฆ่ากินศพหลายครั้งแล้ว แต่ตัดใจก่อนเพราะทำไม่ลง)
ดึกสงัดของคืนวันที่ ๑๒ มิถุนายน ๑๙๘๑ ใจกลางกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส แถวๆบริเวณที่ทิ้งขยะของริม ฝั่งแม่น้ำแซน ซึ่งไม่ห่างจากโบสถ์ นอเตรอะดามมี มากนัก เป็นสถานที่ที่ คนไม่ค่อยจะผ่าน หรือเรียกได้ว่าเป็นที่เปลี่ยวลับหูลับตาคน และที่นี่เป็น จุดรวมของคนเร่ร่อนที่ชาวฝรั่งเศสเรียกว่า "พวกโกซา" มาอาศัยหลับนอน และคุ้ยเขี่ยหาเศษขยะเพื่อนำมาใช้ประโยชน์ต่อ พอได้เงินมาจากการขโมยของหรือทำผิดกกฎหมาย บางอย่างก็นำไปซื้อเหล้าขาวราคาถูกๆใส่ขวดน้ำ เดินโซซัดโซเซ บ้างก็พร่ำเพ้อบ้าบอด่าทอไปต่างๆนานาแล้วแต่จะนึกได้ ไม่ยี่หร่าในตัวเองและผู้อื่นที่อยู่ในบริเวณชุมชนนั้นๆพร้อมกับเนื้อตัวที่ สกปรกมอมแมมเหม็นสาบ
และในคืนนั้นนั่นเอง วันที่ ๑๒ มิถุนายน ๑๙๘๑ พวกโกซา กลุ่มหนึ่งจะนอนก็นอนไม่หลับ อย่ากระนั้นเลย คุ้ยหาของในกองขยะดีกว่าเผื่อจะได้เจออะไรบางอย่างดีดีตัดหน้าคนอื่นในขณะที่คนอื่นๆเขานั้นกำลังเมาพับและหลับไปอย่างเมามายไร้สติ
ทันใดนั้น มีเสียงรถแท็กซี่คันหนึ่งแล่นผ่านมา โกซาวัยคะนองผู้นั้นต้องยกมือเข้าปิดป้องที่ใบหน้ากันมิให้แสงสว่างจากไฟส่องหน้ารถเข้ามากระทบตา เขาจึงทำตาหยีๆเพื่อดูสถานการณ์ และแล้วประตูรถแท็กซี่เปิดอ้าออกมา มีหนุ่มเอเซียผู้หนึ่งกำลังค้นกระเป๋าเดินทางใบมหึมาออกจากรถอย่างเร่ง รีบและทุลักทุเล เพราะท่าทางกระเป๋าใบนั้นคงจะหนักเอาการ
เมื่อหนุ่มเอเชียนั้นเห็นพวกโกซาก็ตกใจเขาทิ้งกระเป๋านั้นไว้ และปิดประตูรถแท็กซี่บึ่งถอยออกไปอย่างรวดเร็วโดยไม่ทราบว่า เหตุการณ์นั้นได้เข้ามาสู่สายตาของโกซาผู้หนึ่งแล้วและท่ามกลางกองขยะ ที่เน่าเหม็น หลังจากนั้นมีสองสามีภรรยาคนหนึ่งเดินมาเห็นเหตุการณ์ พอดีจึงเดินมาดูหีบใบใหญ่นั้นพร้อมกับโกซา
เมื่อฝากระเป๋าถูกเปิดออก ทันทีทันใดนั้น มือมนุษย์ข้างหนึ่ง ยืดออกจากซิปกระเป๋ามีคราบเลือดติดกรัง ภายในเป็นศพชิ้นส่วนมนุษย์ที่ ถูกตัดเป็นท่อนๆยัดใส่ลงภายในอย่างประณีต แต่ในเวลาไม่นานชิ้นส่วนเหล่านั้นได้ส่งกลิ่นคาวคลุ้ง ออกมาจนน่าสะอิด สะเอียน สองสามีภรรยา และพวกโกซาร้องอุทานลั่น ผงะหงายหลังไป ก่อนที่จะตั้งสติได้ และวิ่งแจ้นไปแจ้งความกับตำรวจทันที
นี่คือ คำให้การของโคซา และ สองสามีภรรยาคู่นั้น ซึ่งหนึ่งชั่วโมงต่อมาหลังเกิดเหตุ ตำรวจได้พบกระเป๋าเดินทางขนาดมหึมา ที่โกซานั้นแจ้งความไว้ ตำรวจได้สอบถามบริษัทแท็กซี่หลายๆแห่ง แล้วก็ ได้เบาะแสว่า ในคืนนั้น มีชายชาวเอเซียว่าจ้างให้รถแท็กซี่ให้ช่วยขนของจากอพาร์ท เม้นต์ไปทิ้งที่กองขยะริมแม่น้ำแซน
ในขณะเดียวกันสื่อมวลชนเริ่มทำ ข่าวคดีนี้อย่างสนุกสนานจนเก้าอี้ผกก.ตำรวจร้อน สี่วันต่อมาหลังจาก การพบชิ้นส่วนมนุษย์ ตำรวจถือหมายค้นเข้าห้องพักของนักศึกษาชาวญี่ปุ่นคนหนึ่ง ชื่อว่า "อิสเซ ซากาวะ" เมื่อเปิดประตู ชายเตี้ยร่างผอมออกมาต้อนรับและให้ความร่วมมือกับตำรวจเป็นอย่างดี เขาได้ให้รายละเอียดว่า เขาชื่อ อิสเซ ซากาวะ อายุ ๓๒ ปี เป็นลูกชายของเศรษฐีโรงงานอุตสาหกรรมแห่งหนึ่งในญี่ปุ่น แนะนำตัวเสร็จแล้ว เขาก็ทำตนเหมือนไม่มีความผิดอะไร ซากาวะเชิญชวนตำรวจให้เข้ามาในห้องจัดแจงเสิร์ฟน้ำชาและคาดว่าน่าจะชวนให้รับประทานอาหารมื้อเย็นด้วยกัน แต่ด้วยการต้อนรับที่อบอุ่น ห้องของเขาที่สะอาดสะอ้าน แต่ทว่า...ยังมีอะไรบางอย่าง ที่มีกลิ่นอายแห่งความกลัวและขนพองสยองเกล้า
ที่ตรงนั้น...โต๊ะอาหาร ตำรวจต่างพากันพะอืดพะอมกับก้อนเนื้อเป็นกองๆ และ เครื่องในที่ล้างๆออกมาไว้ในชามกะละมังตั้งเรียงเป็นแถวเป็นแนวแล้ว ยังมีหม้อพะโล้ หม้อต้มเค็มวางไว้ข้างๆ ถ้ามองเข้าไปในครัวก็ จะมองเห็นสตู ซึ่งกำลังเดือดปุดๆอยู่บนเตา สิ่งเหล่านี้ทำให้ตำรวจที่ เข้ามารู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีอย่างไรไม่รู้ แต่ใจพวกเขาคิดว่า ซากาวะ ดูท่าทางอบอุ่น ไม่น่าจะวิปริตขนาดนั้นหรอกมั้ง............
แต่ว่า......ลางสังหรณ์ก็บังเกิดขึ้นจริงๆ เมื่อตำรวจเอื้อมมือเขาไปเปิดตู้เย็น ไอเย็นๆของน้ำแข็งระเหยออกมา ม้วนตัวออกมาเป็นวงรี ปรากฏศีรษะของผู้หญิง คนหนึ่งวางเด่นเป็นสง่าอยู่กลางแสงไฟจ้า
ศีรษะ ที่ถูกตัดแค่คอ มีผมยาวสีน้ำตาลทอง
ใบหน้า ที่เคยดูสวย แต่บัดนี้กลับดูสยอง
ตา ข้างหนึ่งหรี่เกือบปิดสนิท อีกข้างหนึ่งลืมตาครึ่งๆ
จมูก แหว่งเปรอะเลือด และ
ปาก ถูกเฉือนออกมาทำให้เห็นแผงฟันขาวเผยออ้าคล้ายกำลัง
ส่งยิ้มออกมาให้กับ ผู้ที่จ้องมองเธอ
"แล้วส่วนที่เหลือมันอยู่ไหน?" ตำรวจผู้ซึ่งถือหมายค้นถามด้วยน้ำเสียงสั่นสะท้าน ขณะที่ตำรวจอีกคนหนึ่งเหงื่อไหลออกมา เป็นจุดๆ "ผมทานมันไปแล้วครับ" ซากาวะตอบอย่างยิ้มแย้ม ซื่อๆง่ายๆ เมื่อถามถึงเต้านมข้างขวา "ปรุงสุกๆ อย่างนั้นหรือ!"ตำรวจนายนั้นถามซ้ำอีก เหมือนว่าเขาไม่อยากจะเชื่อในการกระทำของซากาวะ และเหลือเชื่อว่า คนเราจะมีวิธีการทำครัวและเครื่องปรุงวัตถุดิบที่สุดจะวิปริตได้ถึงเพียงนี้ "ดิบๆ ครับ ผมจะลองทำดูแบบซาซิมิดู !!" ซากาวะตอบแล้วหัวเราะ "แล่บางๆ ให้เฉียบ แล้วกินดิบๆ หวานหอม อร่อยยิ่งกว่าปลาแซลมอนซะอีกนะครับ"
เมนูชวนอ๊วก ของเขายังมิได้หมดเพียงเท่านี้ ซากาวะ ชี้ชวนให้ตำรวจทั้งหลายดู ซุปต้มเค็ม พะโล้เนื้อ สตู และ ต้มเครื่องใน ที่เก็บไว้กินกับข้าวสวยๆ ร้อนๆ "แหมๆ.......ผมไม่อยากเชื่อเลยนะนี่ ผู้หญิงตัวแค่นี้จะนำมาปรุงอาหารได้เยอะขนาดนี้ แถมอร่อยซะด้วย ดูสิ ผมเก็บไว้กินได้หลายๆ อาทิตย์แน่ะ"
ตำรวจและคอข่าวอาชญากรรมแทบทุก คนต่างพากันโก่งคอ อาเจียนกันหมด กว่าจะทำใจสืบสวนกันต่อไปได้รายการอาหารทั้งหมดเช่น ต้มเค็ม สตู ซาซิมิเต้านม ทุกรายการถูกถ่าย เก็บไว้เป็นหลักฐาน พร้อมทั้งศีรษะที่เผยออยู่ในตู้เย็นด้วย
ภาพทั้งหมด ถูกนักข่าวจากนิตยสาร Photo ถ่ายเก็บเป็นสารคดีเล่มที่พิเศษสุด แต่น่าเสียดาย เพราะวางจำหน่ายเพียงวันเดียว ทางการสั่งให้เก็บออกจากแผงทั้งหมด เพราะว่ามันน่ากลัวเกินเขย่าขวัญ เกินกว่าที่ประชาชนจะรับได้
ย้อนกลับไปวันที่ ๑๑ มิถุนายน ๑๙๘๑ นั่นคือวาระสุดท้ายของเธอ อิสเซ ตัดสินใจฆ่าเรนี เพราะอยากกินเธอ จึงได้ชวนเรนี มาวันเกิดครบรอบ ๓๒ ของเขา ที่โต๊ะตัวเตี้ย (โต๊ะโทคัทซึ) นั่งตามสไตล์ญี่ปุ่น ซากาวะ แอบปลื้มอยู่เงียบๆ เพราะ ในใจเขาอยากกินเรนีใจจะขาดแล้ว
เมื่อเรนีมาถึงอิสเซได้ต้อนรับเธอ ด้วยธรรมเนียมญี่ปุ่นด้วยการให้ เรนีนั่งคุกเข่ากับพื้นชงชาให้ดื่มผสมเหล้าลงไปด้วย จากนั้นเขาได้สารภาพรักกับเรนีทันที ขณะที่เรนีกำลังตั้งใจเรนีดูท่าทางจะตกใจมาก เนื่องจากรับสถานการณ์ไม่ทัน หล่อนจึงแกล่งตอบกลบเกลื่อนไปว่าเธอคบ อิสเซแค่เป็นเพื่อนเท่านั้น ไม่ใช่แบบชู้สาว อิสเซเงียบไปพักหนึ่งแล้ว ผงะจากเรนีเดินไปหยิบ กวีนิพนธ์ มาส่งให้เธอ แล้วเอื้อมมือไปกดปุ่มเครื่องบันทึกเสียงในขณะที่เรนีอ่านกวีนิพนธ์ อิสเซฟังเรนีอ่านกวีนิพนธ์พอใจแล้วจากนั้นก็ เดินไปข้างหลัง หยิบปืนเดินกลับมาจากนั้นก็จ่อยิงกลางหลังเรนีหนึ่งนัด เรนีสะดุ้งเฮือกหล่นลงจากเก้าอี้ลงกองอยู่บนพื้นเธอตายทันที อิสเซ พูดพล่ามกับเรนีเหมือนคนบ้า ต่อหน้าศพของเรนี
อิสเซเริ่มเปลื้องผ้าออกจากศพของเรนี พบว่ามันยุ่งยากพอสมควร แต่ช่างหัวมันเถอะ เพราะจากนั้นเขาเอาปลายจมูกใส่ปากเคี้ยวกินดิบๆ อย่างเอร็ดอร่อย
ในตอนหนึ่ง ในหนังสือ "ในหมอก" อิสเซได้บรรยายตอนนี้อย่างกวีนิพนธ์ไว้ว่า "ข้าพเจ้า เอามือจับเอวเธอแล้วคิดว่าจะกินส่วนไหนก่อนเป็นอันดับแรก เอาล่ะแก้มก้นขวานี้แหละ กร้วม ข้าพเจ้าอ้าปากกัดลงไปเต็มที่แต่มันเหนียวมากจนฟันกัดไม่เข้า"
จากนั้นเขาก็เล่าไปเป็นฉากๆ ถึงเรื่องไขมันและกล้ามเนื้อ
"ข้าพเจ้าใช้มีดจ้วงแทงลงไปร่างของเรนี ไขมันก็ผลุดออกจากบาดแผลที่ ฉีกกว้างสีมันเหลืองเหมือนสีเมล็ดข้าวโพดไม่ผิด ข้าพเจ้าดึงออกมาดม ปรากฏว่ามันไม่มีกลิ่นคาวและเหม็นเขียวสักนิด ข้าพเจ้าจึงแล่ลึกเข้าไปจนถึงเนื้อแดง ตัดเป็นชิ้นพอคำใส่ปากเคี้ยวดิบๆ มันละลายในปากรสชาติคล้ายทูน่าทำซาซิมิในภัตตาคารไม่มีผิด"
อิสเซ ง่วนอยู่กับการชำแหละศพของ เรนี ด้วยมีดปอกสายไฟอันคมกริบ มาชำแหละเป็นชิ้นๆ ส่วนหนึ่งเก็บสำรองไว้กิน ส่วนหนึ่งก็ใส่ปากเคี้ยวดิบๆ โดยอาหารจานแรกที่อิสเซทำคือ "เนื้อคนผัดมัสตาร์ด" เขาถ่ายรูปศพที่อันเป็นเศษเนื้อเธอไว้เป็นที่ระลึกก่อนที่จะเปลื้องเสื้อผ้า ร่วมรักกับศพ อย่างหื่นกระหาย เขาบรรยายฉากนี้อย่างละเอียดลออไว้ว่า "ระหว่าง ที่ข้าพเจ้าร่วมรักกับศพของเธอมันเหมือนกับว่าเธอหอบหายใจออกมา ข้าพเจ้า เร่งจังหวะแล้วบอกกับเธอว่า ผมรักเธอที่สุดในโลก โอ้....ว"
เนื้อที่ชำแหละไว้ อิสเซ ได้เก็บไว้เพื่อทำอาหาร กินไปพลางฟังเสียงบทกวีที่เรนิ อ่านในเทปบันทึกไปพลาง เมื่ออิ่มก็ใช้กางเกงในของเธอซับปากแทนผ้าเช็ดหน้า จากนั้นเดินกลับไปที่ศพเรนี ตัดเต้านมสองข้างไปอบในเตาอบ พอสุกก็เอามากินซะ แต่ปรากฏว่าเขาไม่ชอบเพราะ มันเหนียวยืดยาด ซึ่งเขาชอบเนื้อต้นขา ของเรนีมากกว่า เมื่อ อิสเซชำแหละศพจนเหนื่อย หลังจากนั้น เขาก็ลากศพที่ยับเยินไปนอนกอดบนเตียงจนม่อยหลับ โดยเขาตั้งใจว่าจะทำลายหลักฐานในวันรุ่งขึ้น ให้หมด พอวันรุ่งเช้าเมื่อเขาตื่นนอนก็ แทะเนื้อจากท้องแขนไปถึงข้อ ศอก ช่วงนี้ อิสเซ เขียนไว้ว่า "ไม่รู้น่ะ ว่าทำไมแต่บอกได้คำเดียวว่า อร่อยชะมัด"