สุสานโบราณ

 

 

สุสานโบราณ

 

 

         เรื่องอันไม่คาดฝันมักเกิดขึ้นได้เสมอ คล้ายกับว่าไม่มีทีท่าว่าฝนจะตก แต่ฝนก็ตกลงมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
                หมู่บ้านแห่งหนึ่งอยู่ในจังหวัดสุโขทัย แต่ห่างไกลออกไปมากจนสุดกู่ สมัยนั้นยังห่างไกลต่อความเจริญมาก ไม่มีไฟฟ้าใช้ ไม่มีน้ำประปา หมู่บ้านแห่งนี้สร้างขึ้นได้ไม่นาน มีคนไปตั้งรกรากเป็นครอบครัวเพียงห้าสิบกว่าหลังคาเรือนเท่านั้น
                ไม่มีใครสะกิดใจสักนิดว่าผืนดินที่พวกเขาได้มาสร้างบ้านอยู่นี้เป็นสุสานโบราณ ซึ่งมีอายุเก่าแก่ไม่น้อยกว่าหนึ่งพันปีมาแล้ว ใต้พื้นดินแห่งนี้ จึงมีศพฝังเอาไว้มากมาย ล้วนแต่เป็นมนุษย์โบราณทั้งสิ้น
                ในสมัยพันปีที่ผ่านมานั่นเอง วิญญาณบางดวงไปผุดไปเกิดหลายชาติแล้ว แต่ก็ยังมีวิญญาณอีกหลายดวงที่ยังไม่ได้ไปผุดไปเกิด
                ยังรอขอส่วนบุญเพื่อจะได้ไปผุดไปเกิดกับเขาบ้าง เพราะการเป็นวิญญาณนั้นต้องทนทุกข์ทรมานมาก
                เรือนหลังสุดท้ายเป็นครอบครัวของนายปุ๋ยกับนางเพี้ยน มีลูกสาวหนึ่งคนชื่อเด็กหญิงนิด อายุ 10 ขวบ
                ยังชีพด้วยการปลูกผลไม้และผักต่างๆ ขายประทังชีวิตได้ไม่ถึงกับเดือดร้อน สามคนช่วยกันทำมาหากินอย่างขยันขันแข็ง ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย พอจะมีเงินทองสะสมไว้ได้บ้าง
                เด็กหญิงนิด มีหน้าที่เฝ้าบ้านเวลาพ่อกับแม่ออกไปทำไร่ หุงข้าวทำอาหารไว้ให้พ่อแม่ รับประทาน เมื่อเวลากลับมาจากไร่
                ตะวันโพล้เพล้ของวันหนึ่ง นายปุ๋ยกับนางเพี้ยน ยังไม่กลับจากไร่ เด้กหญิงนิด หุงข้าวทำอาหารเสร็จ แล้วจึงเดินออกมาที่ระเบียงบ่อยๆ คอยชะเง้อดูว่าเมื่อไหร่พ่อกับแม่จะกลับมา จนมืดค่ำลง นายปุ๋ยกับนางเพี้ยนก็ยังไม่กลับ
                ทำให้เด็กหญิงนิด กระวนกระวายใจ และรู้สึกเป็นห่วงอย่างยิ่ง แม้อายุน้อยแตความคิดความอ่านเหมือนกับผู้ใหญ่คนหนึ่งทีเดียว
                ลงเรือนเดินออกไปข้างนอกมองดูหนทาง ซึ่งเป็นดินลูกรัง สองฟากทางมีต้นไม้ใหญ่ขึ้นเรียงราย ไม่มีวี่แววว่าพ่อกับแม่จะกลับมา
                จึงเดินกลับเพื่อจะไปคอยที่ระเบียงบ้าน พอโผล่ขึ้นไปที่ระเบียงก็ต้องหยุดชะงัก เมื่อเห็นหญิงชราผมขาวโพลนคนหนึ่ง นั่งกอดเข่าอยู่บนพื้นกระดาน เป็นหญิงชราที่คะเนอายุไม่ถูก เพราะแก่เหลือเกิน จนเนื้อหนังเหี่ยวย่นไปหมด หน้าตาก็เหี่ยว สีหน้าเป็นหญิงแก่ที่ใจดีมีเมตตา
                สวมผ้าถุงสีหมาสุก แต่เก่าคร่ำคร่า ห่มผ้าแถบ จ้องมองมาที่เด็กสาว “ยาย...มาหาใครค่ะ พ่อกับแม่ยังไม่กลับเลย” เด็กหญิงนิดถามขึ้น
                “ยาย...มาหา...หนู” ยายแกตอบเสียงเครือ
                “ยายมีธุระอะไรหรือค่ะ”
          “ยาย...หิว..หิวเหลือเกิน”
                “งั้นยายรอเดี๋ยวนะ หนูจะไปหาข้าวมาให้กิน เดี๋ยวเดียวเท่านั้นแหละ”
                เด็กหญิงนิดวิ่งกลับเข้าไปในครัว สักครู่ก็เอาข้าวสวยหนึ่งจาน ยังร้อนๆส่งควันกรุ่น กับข้าวมีสองอย่าง คือ ปลาทูหนึ่งตัว กับน้ำพริกและผักต่างๆ
                “ผักเราปลูกเองมีเยอะแยะ ยายกินมากๆนะ ไม่ต้องเกรงใจ”
                “น้ำ..น้ำละ ให้อาหารต้องอย่าลืมน้ำ” ยายแก่เตือนน้ำเสียงแจ่มใส พูดจาได้คล่องแคล่วไม่ขาดเป็นห้วงๆอีก
                “รอเดี๋ยวนะ”
                ขันลงหินเสียเป็นเงาวับ ถูกยกมาตั้งข้างอาหาร มีน้ำฝนบรรจุอยู่เต็มเปี่ยม
                “นี่เป็นน้ำฝนนะคะ...ยาย ไม่ใช่น้ำบ่อ”
                “เออ...เจริญๆ เถอะนะหลาน เอ้า พนนมมือเข้า ก่อนยายจะกินหนูต้องสวดอธิฐานเสียก่อน ไม่งั้นยายกินไมได้”
                “อธิฐานยังไงละคพ”
                “เอ้ายกมือขึ้นพนม แล้วว่าตามยายนะ อิทังเม ญาตินังโหตุ สุขิตาโหตุ ญาติโย”
                เด็กหญิงว่าตามได้อย่างฉาดฉาน และคล่องแคล่ว แล้วสบตากับยายแก่
                “แล้วยังไงอีกล่ะยาย”
                “ขออุทิศอาหารนี้ให้แกดวงวิญญาณทั้งหลายที่อยู่ในบริเวณแห่งนี้ สาธุ”
                เด็กหญิงนิดว่าตามอีก
                “เอาละ..เสร็จแล้ว ยายกินอิ่มแล้ว”
                ยายแก่พูดเพิ่งจะยิ้มออกมาได้เป็นครั้งแรก
“ยายไปละนะ”
“อะไรกัน ยังไม่เห็นยายกินซักคำ”
เด็กหญิงท้วง
“นั่นแหละ...ยายกินแล้วขอบใจมากนะหลาน” ยายแก่พูดแล้วเดินลงบันไดซอยเท้าถี่ๆหายไปอย่างรวดเร็วในความมืด
                นายปุ๋ยกับนางเพี้ยนกลับมาบ้าน ลูกสาวก็เล่าเรื่องยายแกให้ฟังอย่างละเอียด
                พ่อกับแม่นิ่งอึ้งไปทีเดียว ไม่แน่ใจเสียแล้วว่ายายแก่ที่มาขอข้าวลูกสาวกินเป็นใครกันแน่
“ดีแล้วลูก ให้ทานคนแก่กินได้บุญ” แม่พูดยิ้มๆ หันไปสบตากับนายปุ๋ย มีความสงสัยอยู่ครามครันแต่ไม่กล้าพูด
                เมื่อสองผัวเมียเข้านอนแล้วแต่ยังไม่หลับ จึงคุยกันถึงเรื่องนี้
“ฉันว่ายายแก่คนนั้นไม่ใช่คนแน่ๆต้องเป็นผี” นางเพี้ยนพูดเสียงสั่น
                “พี่เข้าใจเหมือนกันมั้ย”
          “คิดว่ายังงั้นเหมือนกัน แต่เราต้องดูเหตุการณ์ก่อนอีก สองสามวัน บางทีเราต้องทำอะไรซักอย่างนึงแล้ว”
                “อย่ามาทำร้ายลูกเราก็แล้วกัน”
                นางเพี้ยนพูดด้วยความเป็นห่วง
                “คงไม่หรอก” นายปุ๋ยปลอบ
                “เขาคงอดอยากน่ะ”
                วันรุ่งขึ้นสองผัวเมียก่อนจะไปไร่ สั่งให้ลูกสาวหุงข้าวมากๆ ผัดผักให้มากๆเพราะอยากจะทดสอบว่าผีจะมาหาลูกสาวอีกหรือเปล่า
พอตะวันตกดิน ยายแก่คนเดิมก็พาชายหญง คู่หนึ่งมา รูปร่างสูงใหญ่ ยังหนุ่มและสาว ต่างกายแบบชาวพื้นเมืองโบราณมาขออาหารกินอีก
                หนุ่มกับสาวคู่นั้นหน้าตาดีด้วยกันทั้งคู่ เด็กหญิงนิดก็จัดอาหารมาให้ตามที่ขอ ยายแก่ให้สวดคาถาก่อนให้อาหารอีกครั้งหนึ่ง แล้วลากลับไปโดยไม่ได้แตะต้องอาหารเลย แต่เขาบอกว่ากินกันแล้ว และกล่าวคำขอบใจ
นายปุ๋ยกับนางเพี้ยนกลับมา ลูกสาวก็รายงานเรื่องราวอย่างละเอียดให้ฟังอีก เล่นเอาใจคอไม่ดีไปตามๆกันๆ
“เขาเป็นใครกันคะพ่อกับแม่ หนูไม่เข้าใจเลย ไม่กินอาหารแต่บอกว่ากินแล้ว”
“พวกเขาไม่ใช่คนหรอก เป็น.....เป็นผี” แม่เสียงสั่นเครือ
“เราจะต้องหาทางแก้ไขกันซะแล้วไม่งั้นอยู่ที่นี่ไม่ได้ เพื่อนบ้านคนอื่นจะเป็นอย่างเราหรือเปล่านะ”
ขาดคำก็มีเพื่อนบ้านกลุ่มใหญ่พากันเดินมาอย่างหน้าตาตื่น
ทุกคนมาเล่าให้ฟังว่ามีผีมาขอส่วนบุญ เป็นชุดเดียวกับที่มาขออาหารเด็กหญิงนั่นเอง เหตุการณ์เหมือนกันหมดทุกอย่าง มาสืบทราบภายหลังว่า หมู่บ้านแห่งนี้มาตั้งทับสุสานร้าง ซึ่งมีอายุถึงพันปีมาแล้ว
คืนนั้นเองกลางดึก ไม่รู้ว่ามีหมามาจากไหนตั้งฝูง วิ่งกระจายกันไปในหมู่บ้าน ส่งเสียงเห่าหอนอย่างโหยหวนยิ่งนัก
แล้วก็มีวิญญาณรูปร่างต่างๆเดินกระจายกันเกลื่อนหมู่บ้านไปหมดส่งเสียงร้องดังแซ่
“หิ........หิว.........หิว”
“หิ........หิว.........หิว”
ชาวบ้านไม่เป็นอันหลับนอนกันปิดประตูหน้าต่างเงียบไปหมด

                รุ่งเช้าทุกครัวเรือนก็อพยพหนีไปหมด ไม่มีครอบครัวไหนกล้าอยู่ในสุสานร้างพันปีอีกเลย

 

Credit: http://plak.nokroo.com/browse.php?cat_id=33&id=5534
8 ก.พ. 54 เวลา 13:19 10,622 27 110
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...