>ตามหลักวิทยาศาสตร์ปัจจุบัน บ้างก็ว่า

 

        ในสมัยก่อนเมืองไทยไม่มีไฟฟ้าใช้ มีแต่ตะเกียงน้ำมันวับๆ แวมๆ มีดตัดเล็บอย่างที่ใช้ในปัจจุบันก็ไม่มี จึงใช้กรรไกรหรือมีดเจียนหมากบ้าง มีดทำครัวบ้าง ถ้าตัดเล็บกลางคืนก็จะบังคับมีดได้ยาก  อาจจะตัดเอาเนื้อแทนที่จะเป็นเล็บก็ได้ เลยบอกไว้เสียเลยว่าอย่าตัดเล็บกลางคืน

           >ถ้ามันเป็นเรื่องที่ว่ากลัวตัดโดนเนื้อมันไม่ใช่เรื่องใหญ่ที่จะต้องห้ามต่อๆกันมา และพูดจาด้วยเสียงแข็งว่า"ห้ามตัดเล็บตอนกลางคืนนะ"

 

 

>แต่ปัจจุบันนี้มีอุปกรณ์ตัดเล็บ มีไฟฟ้าใช้ แต่ก็ ยังห้ามอยู่

 

 

           "ตำนาน ความเชื่อ นิทานบอกเล่า เคยสงสัยมั้ยว่าทำไมคนโบราณ ผู้เฒ่าผู้แก่ หรือผู้สูงอายุต้องคอยพูด คอยสอนให้จำตลอดเวลา?  เคยรู้บ้างมั้ยว่ามันลึกลับน่ากลัวแค่ไหน? เคยที่จะรู้จักกับมันอย่างลึกซึ้งหรือยัง ถ้ายังไม่รู้ ก็ลองมาดูกัน...

ตำนานที่ ความเชื่อ นิทานบอกเล่า


เพราะ ถ้าตัดเล็บตอนกลางคืน จะไม่ได้ เห็น และจะไม่ได้ไปงานศพของพ่อแม่

ทำไมนะรึ??!...

บางคนก็บอกว่า เพราะ เราอาจจะไม่รู้ว่าพ่อหรือแม่ตายแล้ว หรือเพราะพ่อแม่อาจจะยังมีอายุยืนไม่ตายง่ายๆ...

อย่าได้คิดอย่างนั้นเชียว!!!!

เพราะ ที่เราจะไม่ได้ไปงานศพพ่อแม่... 

ก็เพราะ...

วิญญาณเร่ร่อนที่ยังยึดติดกับทางโลกอยู่?!...

จะมาพาเราไปยังโลกแห่งความตาย!!!

เราจะตายโดยที่ไม่ทราบสาเหตุ!!

เราจะนอนนิ่งไม่ไหวติ่งกับสิ่งใดๆ...

เราจะนอนหลับยาวไปชั่วนิรันดร์...

เราจะไม่สามารถตื่นจากโลกแห่งความตายได้ชั่วนิรันดร์...

เพราะว่าอะไรรู้มั้ย?!..

เพราะการตัดเล็บในเวลากลางคืนเป็นการตัดทอนอายุขัย และชีวิตของตัวเราเอง...

ยิ่งตัดมากเท่าใด...

อายุขัยก็จะสั้นตามจำนวนครั้งที่เราตัด!!

เมื่อวิญญาณเร่ร่อนต่างๆได้มาเห็นตัวเราที่กำลังตัดเล็บในเวลากลางคืนอย่างเมามัน!!

เขาก็จะนึกว่าเรา อยากตาย!! 

และเขาก็จะพาเราไปอยู่กับเขา!!

หรือ

ถ้าร้ายกว่านั้นเราอาจจะถูกเขาพาไปเป็นตัวตายตัวแทน แทนเขา!!!!

ต้องอยู่บนโลกนี้แทนเขา นานเท่านาน!!!!

เราจะไม่ได้ไปเกิดจนกว่าจะมีตัวตายตัวแทนมาแทนให้เรา!!!

แต่นานเท่าไหร่ล่ะ?!!!.......

อาจจะนานจนชั่วนิรันดร์.......

หรือถ้าตัวเราอยากทำกรรมมากกว่านี้........

ก็ต้องหาวิญญาณดวงอื่นมาแทนที่ตัวเรา.....

แต่นั่นคือการสร้างกรรม!!!

แล้วคิดหรอว่าจะได้ไปสววค์?!...

นรกเท่านั้นที่คุณจะได้ไป!!!

เมื่อรู้ความจริงแล้วคุณจะฝ่าฝืนข้อห้าม หรือคำสอนของผู้เฒ่า ผู้แก่อีกมั้ย"