10 เรื่องที่เข้าใจผิดกันมาตลอด

 

10. Memory of a Goldfish

 

http://www.nicaonline.com/webboard/index.php?topic=4449.0;prev_next=next

หลาย คนมักมีความเชื่อว่าปลาทองเป็นสัตว์ที่มีความจำที่สั้นมาก โดยเชื่อว่าปลาทอมีความจำแค่สองสามวินาทีก็ลืมไปแล้ว ในความจริงความเชื่อนี้ไม่จริงเลยจากผลการทดลองพบว่าปลาทองสามารถฝึกอบรมใน การทดสอบความจำ มันสามารถใช้ความจำอันนี้หาทางออกจากเขาวงกตได้เพียงไม่กี่เดือนที่มันเรียน รู้ นอกจากนี้ปลาทองยังมีความสามารถเรียนรู้ปฏิสัมพันธ์ต่างๆไม่ว่าจะเป็นเจ้า ของ หรือคนอื่นๆ ที่ให้เจ้าของ เวลาที่พวกมันเห็นเจ้าของหรือใครก็ตามที่ให้อาหารมันจะเกินไปผ่านมาว่ายวนมา เพื่อขออาหารเสมอๆ อีกทั้งมันยังเรียนรู้อันดับการจัดสังคมด้วย เช่น หากมีสมาชิกใหม่มาอยู่ตู้เดียวกัน พวกมันจะรับน้องใหม่โดยแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวต่อปลาที่มาใหม่อยู่ราว 2-3 ก่อนกลับสู่ถาวะปกติ

 

9. Mary Magdalen was a Prostitute

 

ตั้งแต่นิยายเรื่อง The Da Vinci Code ได้ รับความนิยมไปทั่วโลก ทำให้เหล่าชาวคริสต์หรือคนทั่วไปมีความเข้าใจผิดมาก เพราะเอาเรื่องนิยายนี้เป็นที่ตั้ง(ผมเองมักถูกหลายคนบอกว่านิยายเรื่องนี้ บอกว่าอย่างงี้อย่างงั้น) ทั้งที่หลายข้อมูลในนิยายเรื่องนี้มีหลายเรื่องที่ข้อมูลผิดไปจากความจริง เช่นเรื่อง แมรี่ แม็กดาเลนที่หลายคนเชื่อว่าเธอเป็นโสเภณีก่อนที่จะเป็นสาวกของพระเยซูคริสต์ และได้เห็นพระเยซูคริสต์ตรึงกางเขน ทั้งที่ความจริงแล้วเป็นข้อมูลที่ผิด ความจริงแล้วแมรี่ แม็กดาเลนไม่ใช่โสเภณี ในพระคัมภีร์(Luke 8:2) ว่าแล้วแมรี่ แม็กดาเลนเป็นหญิงสาวจากเมืองมักดาลา ซึ่งตั้งอยู่ทางเหนือของแคว้นกาลิลี ในพระคัมภีร์ระบุว่า เธอคือหญิงใจบาปที่ถูกผี 7 ตน เข้าสิงร่าง ก่อนที่จะได้พบกับพระเยซู และพระองค์ทรงเป็นผู้ที่ช่วยขับไล่ผีออกจากร่างของเธอ จากนั้น เธอก็ได้อุทิศตนเข้ามารับใช้พระเยซู ส่วนเรื่องเป็นโสเภณีนั้นไม่มีการระบุชัดเจนในพระคัมภีร์และไม่มีส่วนใดเลย ที่ระบุว่าเธอกับพระเยซูคริสต์มีความสัมพันธ์กันฉันชู้สาว(ข้อมูลจากวิกิพี เดีย)

 

8. Great Wall of China

 

http://www.vcharkarn.com/vcafe/139871

ย้อนกลับไปในทศวรรษที่ 1932 ได้มีหนังสือเล่มหนึ่งชื่อ Ripley's Believe It or Not! ได้ อ้างว่ากำแพงเมืองจีนเป็นสิ่งก่อสร้างที่ใช้แรงงานมากที่สุดของมนุษยชาติ ที่มีความยาวกว่า 4,500 ไมล์ และเป็นเพียงสิ่งก่อสร้างเดียวในโลกที่มนุษย์สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า จากดวงจันทร์ ความเชื่อนี้ได้ฝังแน่นของคนทั่วโลก ซึ่งแท้จริงแล้วกำแพงเมืองจีนไม่สามารถมองเห็นจากวงโคจรในอวกาศได้เลย เนื่องจากมันถูกสร้างจากวัสดุที่เป็นอิฐและหินที่แยกความแตกต่างของสีได้ยาก หากมองเข้ามาจากอวกาศ  อีกทั้งยังมีชั้นบรรยากาศ สภาพภูมิอากาศและแสงเป็นปัจจัยอีกต่างหาก โดยคำตอบที่ยืนยันได้อย่างดีคือนักบินอวกาศที่บินออกสู่อวกาศแล้วมองกลับมา ยังโลกไม่มีใครเลยที่บอกว่าเห็นกำแพงเมืองจีน แม้กระทั้งนีล อาร์มสตรอง กลับมาจากดวงจันทร์ในปี 1969 ได้ถูกตั้งคำถามว่าเขา เห็นอะไรจากบนนั้น เขาตอบว่าไม่เห็นสิ่งก่อสร้างของมนุษย์เลยเห็นแต่ทวีปทะเลและรอยด่างต่างๆ เท่านั้น(แม้แต่จีนเองปัจจุบันได้มีการแก้ไขในบทเรียนของพวกเขาแล้วหลังจาก ที่พวกเขาพบความจริงอันนี้)

 

 

7. Five Second Rule

 

http://health2u.exteen.com/20091103/en

หลาย คนเชื่อว่าถ้าอาหารที่ตกลงพื้นให้รีบเก็บมากินภายใน 5 วินาทีถึงจะปลอดภัยเพราะเชื้อโรคมองไม่เห็น นั้นคือคำพูดที่เหลวไหลเพราะจากการศึกษาพบว่าอาหารที่ตกบนพื้นไม่ถึงหนึ่งวิ นาทีเชื้อโณคสามารถกระโดดมาเกาะอย่างรวดเร็ว โดยข้อมูลมาจากผลงานนับจำนวนเชื้อซาลโมเนลลา ไทฟิมูเรียม (Salmonella typhimurium) ซึ่งเป็นสาเหตุเกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสียได้  โดยทดลองให้ไส้กรอกตกลงบนพื้นกระเบื้องพบว่า มากกว่า 99% ของเชื้อแบคทีเรียถึง 1500 ชนิดจากบนพื้นเกาะติดหนึบไปบนผิวไส้กรอกได้ภายใน 5 วินาที  นอก จากนี้ยังมีหลายปัจจัยที่ทำให้เชื้อโรคเกาะอาหารที่ตกบนพื้นด้วย เช่น อาหารบางอย่างมีเชื้อเกาะติดมากับผิวนอกได้ง่าย เช่น ไข่ ผลไม้ ฯลฯ ส่วนสาเหตุที่เราไม่ได้เป็นอะไรจากการกินอาหารภายในห้าวินาทีนั้นก็เนื่องมา จากร่างกายของเราพัฒนาระบบภูมิคุ้มกันต่างหาก

 

6. Rain

 

http://www.coconuthead.org/content/%E0%B8%9D%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%81

คนเราส่วนใหญ่เชื่อกันว่าหยาดเม็ดฝนนั้นเป็นรูปหยดน้ำเมื่อตกบนท้องฟ้าในการ์ตูนมักจะถูกวาดเป็นรูปหยาดน้ำตา คือ ก้นกลมและปลายบนแหลม ซึ่งไม่ถูกต้องในความเป็นจริง หยาดฝนเม็ดเล็กนั้นจะมีรูปเกือบเป็นทรงกลม ส่วนเม็ดฝนที่ใหญ่ขึ้นก็จะมีรูปร่างที่ค่อนข้างแบนคล้ายขนมปังแฮมเบอเกอร์ ส่วนเม็ดที่ใหญ่มากๆนั้นจะมีรูปร่างคล้ายร่มชูชีพ โดยเฉลี่ยแล้วเม็ดฝนนั้นจะมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1 ถึง 2 มิลลิเมตร เม็ดฝนที่ใหญ่ที่สุดที่ตกลงถึงผิวโลกนั้น ตกที่ ประเทศบราซิล และ เกาะมาร์แชล ในปี ค.ศ. 2004โดยมีขนาดใหญ่ถึง 10 มิลลิเมตร

 

5. Adam and Eve's Fruit

 

http://en.wikipedia.org/wiki/Adam_and_Eve

หลาย คนมักคิดว่าอดัมกับเอวา(อีฟ)มนุษย์คู่แรกที่พระเจ้าสร้างขึ้นได้กินแอปเปิ้ล ต้องห้ามเข้า จนถูกขับไล่จากอีเดนดังในหนังสือปฐมกาลนั้นเป็นความคิดที่ผิด เพราะผลไม้ดังกล่าวไม่ได้พูดถึงแอปเปิ้ลหรือลูกมะเดื่อหลายคนเข้าใจ ในเนื้อหาได้กล่าวเฉพาะว่า “ต้นไม้แห่งความดีและความชั่ว(the tree of Knowledge of Good and Evil)” สาเหตุที่มาของความเข้าใจผิดนี้มาจากภาษาอังกฤษคำว่าแอปเปิ้ลนั้นถูกนำมาใช้ อ้างถึงผลไม้และถั่ว(ยกเว้นเบอร์รี่)กว่าศตวรรษ และคำนี้ได้ติดอยู่ในการอ้างอิงผลไม้ปฐมกาล และยังเป็นสำนวนคำว่า Adam's apple ที่กล่าวถึงลูกกระเดือกคนด้วย

 

4. Penis Enlarging

 

หลาย คน(โดยเฉพาะผู้ชาย)มักเชื่อว่าเราสามารถขยายกระเจี๊ยวของคุณให้มีขนาดใหญ่ หรือเส้นรอบวงกว้างได้โดยใช้อุปกรณ์พิเศษหรือยา ซึ่งความจริงแล้วมันไม่ใช่เลย และแหล่งที่มาเหล่านี้มาจากอีเมลขยะนับล้านที่ส่งจากทั่วโลกทุกวัน มีทั้งปั๊มสุญญากาศ, ยาเม็ด, เครื่องยืด แต่อุปกรณ์เหล่านี้ไม่ได้มีผลต่อกระเจี๊ยวของคุณเลยแม้แต่น้อย วิธีเดียวที่จะขยายขนาดกระเจี๊ยวคุณได้ก็คือการผ่าตัด แต่วิธีนี้เสียค่าใช้จ่ายแพงมากและมันน่ากลัวมากหากคุณคิดจะทำ

 

3. Midnight Snacks

 

http://www.expert2you.com/view_news.php?art_id=2373

ทุก วันนี้เรายังเชื่อว่าการกินอาหารตอนกลางคืนทำให้เราอ้วน ทั้งๆ ที่มันไม่ใช่เลยเพราะร่างกายขอคุณไม่ได้รับรู้หรือปฏิกิริยาใดทั้งสิ้นว่า คุณจะกินอาหารในเวลาใด หากแต่ปัจจัยที่ทำให้เราอ้วนก็คือการกินอาหารที่มีแคลอรี ไม่ว่าจะเป็นเวลาไหนก็ตามที่กินอาหาร หากแคลอรีมากก็ทำให้น้ำหนักเพิ่มได้   และผลจากการวิจัยพบว่าอาหารว่างตอนกลางคืนมันก็ไม่ได้แตกต่างอะไรกับของว่างในช่วงเช้าหรือบ่าย

 

2. 10% of brain myth

 

http://www.vcharkarn.com/vblog/35310

ทุกวันนี้เรายังเชื่อว่าเราใช้สมองในการทำงานเพียงแค่ 10%  ความ จริงแล้วเป็นความเข้าใจผิดเพราะจากการวิจัยการสแกน สมองยังแสดงให้เห็นว่าไม่มีส่วนใดของสมองที่ทำงานตลอดเวลาไม่ว่าเราจะทำอะไร สมองแยกออกเป็นส่วนๆ ทำหน้าที่ต่างๆ กัน เราพูด สมองส่วนหนึ่งก็เคลื่อนไหว เราเดินก็อีกส่วนหนึ่ง หลับฝันก็อีกส่วนหนึ่ง บางส่วนอาจทำหน้าที่หลายอย่าง แต่ไม่มีส่วนใดเลยที่ไม่ทำงานเลย ยกเว้นมีการบาดเจ็บเกิดขึ้นในสมองส่วนความเข้าใจผิดอันนี้สันนิษฐานว่ามาจาก บทความในหนังสือ The Energies of Men ที่กล่าวถึงว่า "มนุษย์ เรากำลังใช้เพียงส่วนน้อยของความสามารถของร่างกายและจิตใจ" ซึ่งแต่โดยวิลเลียม เจมส์ นักจิตวิทยาและนักประพันธ์ชาวอเมริกาในปี 1980 ที่กล่าวว่า"มนุษย์เรากำลังใช้เพียงส่วนน้อยของความ สามารถของร่างกายและจิตใจ" ซ้ำหนังสือนี้ยังกล่าวเกี่ยวข้องกับความสามารถของ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ อีกด้วย ส่งผลทำให้หลายคนที่มีความอ่อนด้อยและเชื่อว่าที่เขาไม่ฉลาดโน้นอย่างงี้ เพราะสมองของเขาไม่ได้ทำงานเต็มที่นั่นเอง และบางคนก็เชื่อว่าถ้าเขาใช้สมองเต็มที่จะสามารถเป็นมนุษย์พลังจิตได้(วู้)

 

1. Einstein failed math at school

 

http://www.time.com/time/2007/einstein/3.html

ในปี 1935 มีบทความหนึ่งในนิตยสารริปลีย์ เชื่อหรือไม่ (Ripley's Believe It or Not!)  ได้ มีหัวข้อกล่าวว่า “นักคณิตศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกอย่างอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ล้มเหลว(ตก)ในวิชาคณิตศาสตร์ในโรงเรียน” และบทความนี้ทำให้หลายคนมีความเชื่อว่าไอน์สไตน์นั้นไม่เก่งคณิตศาสตร์ตอน เป็นเด็ก ก่อนที่จะมาเป็นอัจฉริยะเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ ซึ่งความแล้วมันไม่ใช่เลย จริงอยู่ว่าประวัติของของนั้นตอนเป็นเด็กเป็นผู้ที่เรียนรู้ได้ช้า สาเหตุอาจเกิดจากการที่เขามีความพิการทางการอ่านหรือเขียน (dyslexia)  แต่ กระนั้นเขาก็ยังเก่งคณิตศาสตร์ตั้งแต่เด็ก โดยบทสัมภาษณ์ในนิตยสารฉบับหนึ่งไอน์สไตน์เคยหัวเราะและบอกว่า “ผมไม่เคยตกคณิตศาสตร์ สมัยตอนผมอายุสิบห้าผมก็เข้าใจความแตกต่างและแคลคูลัสได้แล้ว)

#10
tttnt
เด็กกองถ่าย
2 ก.พ. 54 เวลา 16:37 3,827 5 90
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...