ทะเลาะอย่างไรให้ชีวิตคู่ยืนยาว
หลายคนมักมีความเชื่อหลังจากที่ผ่านประสบการณ์ตรงในการใช้ชีวิตคู่ว่า “การทะเลาะกันจะทำให้รักกันมากขึ้น” ซึ่งอาจจะเป็นเพราะว่า การทะเลาะกัน ทำให้คนเราได้มีโอกาส “ง้อ” กัน และ “เข้าใจ” กันและกันมากขึ้น
แต่ทว่ากว่าคนสองคนจะกลับมารักกัน เข้าใจกัน และยอมคืนดีกันเหมือนเดิมนั้น มันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย หากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดยังไม่ลดทิฐิในตัว และไม่เห็นแก่ความรัก ความผูกพันที่ร่วมสร้างกันมา
ทั้งนี้ เราจะเห็นได้จากตัวอย่างของบางครอบครัวที่ทะเลาะกันจนแทบเป็นเรื่องธรรมดาแต่เขาก็ยังอยู่ด้วยกัน ไม่คิดทิ้งกันไป ในทางกลับกันคนหลายคนก็ต้องตัดสินใจแยกทางกันเพราะทะเลาะจนถึงทางตันก็มี
อย่างไรก็ดี 2 กรณีนี้มีปัญหาเหมือนกัน คือ “ทะเลาะเบาะแว้ง” แต่เคยสงสัยหรือไม่ว่า ทำไมหลายครอบครัวไม่เลือกการหย่าร้างมาเป็นทางออกและมองว่า การทะเลาะกันไม่ได้นำไปถึงทางตันของชีวิตคู่ ก่อนที่เขาทั้งคู่จะอภัยกันและกันนั้น วินาทีที่อารมณ์ร้อนเหมือนไฟกันทั้งคู่ เขาทำอย่างไรถึงยังอยู่ด้วยกัน และรักกันเหมือนเดิม
ดังนั้นจากประสบการณ์ตรงของหลายๆคู่ ต่างมีความเห็นตรงกันในเรื่องของข้อห้ามหรือกฎกติกาในการทะเลาะกันของสามี-ภรรยา เพื่อเป็นเครื่องเตือนสติไม่ให้ล้ำเส้นหรือทะเลาะเกินงามดังนี้
1. “ความผิด” ที่โยนกันไป-มา
เคยไหมที่คำว่า "คุณไม่เคยเข้าใจฉันเลย" ทำให้อะไรๆ กลับยิ่งแย่ลงไปกว่าเดิม คุณอาจจะเมินหน้าหนี ไม่พูดไม่จากัน คุณอาจจะหันหลังให้กันในขณะที่บรรยากาศแห่งความน่าอึดอัดนั้นจะยังคง อัดแน่นอยู่ในหัวใจ
นั่นเป็นเพราะความเข้าใจกันเป็นพื้นฐานสำคัญที่ทำให้ความรักมั่นคง คุณจึงไม่ควรโทษว่าความผิดพลาดหรือการกระทบกระทั่งกันด้วยเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ นั้น เป็นผลมาจากการที่อีกฝ่ายหนึ่งไม่ใส่ใจหรือรักที่นับวันจะยิ่งลดน้อยลงจนคุณรู้สึกได้บางครั้งมันอาจจะไม่เป็นเช่นนั้น
เรื่องของคนสองคนไม่จำเป็นที่จะต้องมีคนผิดเสมอไปท้ายที่สุดคุณอาจพบว่าเรื่องจริงของความไม่เข้าใจนั้นอาจเกิดจากการที่คุณสองคนไม่รู้จักปรับตัวเข้าหากันก็เป็นได้
2. กำจัด “จุดอ่อน” พูดทุกครั้งเมื่อทะเลาะกัน
เมื่อถึงจุดหนึ่งที่คุณไม่รู้จะยกอ้างสรรหาคำพูดอะไรที่จะมาด่าทอใส่กัน คุณอาจจะพลั้งเผลอยกเอาข้อด้อยของอีกฝ่ายขึ้นมาพูดอย่างไร้เหตุผล หลายคู่ต้องจบกันด้วยสาเหตุจากเรื่องไม่เป็นเรื่องเช่นนี้เอง
ทุกคนควรตระหนักไว้ว่า ไม่มีประโยชน์อะไรเลยที่คุณจะหยิบยกเอาจุดอ่อนของคนรักขึ้นมาพูดเพราะก่อนที่คุณจะคบกันนั่นหมายความว่าคุณสามารถยอมรับความเป็นตัวเขาหรือเธอได้ตั้งแต่แรกแล้ว ดีไม่ดีการกระทำเช่นนี้อาจทำให้คุณดูแย่ลงในสายตาคนรักและสุดท้ายคุณอาจจะกลายเป็นคนผิดในเรื่องนั้น ๆ ก็เป็นได้
3. คุยเรื่องเก่าเป็น "ครั้งที่ล้าน"
เรื่องเก่าๆ ก็คือเรื่องที่ผ่านมาแล้ว ประโยชน์อะไรที่คุณจะไปรื้อฟื้นมันขึ้นมาเพื่อทำให้บรรยากาศที่มันคุกรุ่นอยู่แล้วยิ่งแย่ลงไปอีก คุณรู้ไหมว่าการกระทำเช่นนั้นนอกจากจะไม่ทำให้กลับมาคืนดีกัน ความรักที่คุณสองคนเคยมีให้แก่กันก็รังแต่จะลดน้อยลงไปกว่าเดิมอีกด้วย
4. “ตำหนิ” ช่วงเป็นฟืนเป็นไฟ
เป็นเรื่องดีหากคนสองคนจะเปิดใจพูดกันว่าต่างฝ่ายต่างมีข้อเสียที่ต้องปรับปรุงอย่างไรแต่บรรยากาศที่ไม่เป็นใจอาจทำให้สถานการณ์ยิ่งเลวร้าย คุณคงไม่อาจเปิดใจกว้างรับฟังคำตำหนิจากอีกฝ่ายในขณะที่ความโกรธเข้าครอบงำจิตใจเป็นแน่ ถ้าอยากจะติเตียนกันแล้วล่ะก็ ...รอให้อารมณ์เย็นกว่านี้ก่อนดีไหม?
จำไว้ว่า ขณะที่คนเราโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ จนไร้สตินั้น คำพูดที่ออกมาก็ไม่ได้ดีไปกว่าท่าทางและอารมณ์ที่แสดงออกไปเท่าใดนัก
5. “โยน-ทำลาย ของในบ้าน” เหมือนในละคร
ข้าวของในที่นี่คงไม่ได้หมายความว่าเป็นการปาหมอนใส่กันอย่างในมิวสิควิดีโอ แต่เป็นของใกล้มือ ไม่ว่าจะแก้วน้ำ จาน ชาม ของแข็ง หรืออาจจะของมีคม ที่ให้ผลไม่ดีด้วยประการทั้งปวง เพราะนอกจากของจะเสียแล้ว คุณก็อาจจะเจ็บตัว และยังได้แผลเป็นของแถมจากการทะเลาะกันอีกด้วย
และหากพิจารณาดีๆ การทำลายข้าวของก็ยังแสดงถึงพฤติกรรมที่ไม่น่าเอาเยี่ยงอย่างซึ่งอาจจะดูไปถึงครอบครัวของคุณด้วย ยิ่งไปกว่านั้นหากลูกเห็นการกระทำแบบนี้ ก็จะเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีให้ลูกอีก ฉะนั้นควรเตือนสติตัวเอง อย่าเลียนแบบในละครเด็ดขาด เพราะชีวิตจริงมันยิ่งกว่าละครเป็นไหนๆ
6. “สบถ” ทันทีที่ไม่ปลื้ม
คงเป็นเรื่องแย่ถ้าหากคุณจะต้องทนฟังถ้อยคำหยาบคายจากอีกฝ่าย ซึ่งมันคงจะไม่แปลกอะไรหรอกถ้าฝ่ายนั้นเป็นผู้ชาย ดังนั้นคุณสาวๆ โปรดจำไว้ไม่ว่าสถานการณ์จะเลวร้ายสักแค่ไหน ถ้าคำหยาบจะหลุดจากปากก็ขอให้เป็นวิธีสุดท้ายที่จะเลือกใช้ อย่าปล่อยให้บรรยากาศพาไปเป็นอันขาดเชียว เพราะนอกจากจะทำให้ผู้หญิงเราดูแย่แล้ว เปอร์เซ็นต์ที่จะเลิกกันก็มีสูงตามไปด้วย
7. ด่าเข้าไป...ครอบครัว-เพื่อนฝูง ไปจนถึงต้นตระกูล
อย่าปล่อยให้เรื่องส่วนตัวกลายเป็นเรื่องส่วนรวมเด็ดขาด ถ้าคุณจะทะเลาะกันก็ขอให้อยู่แต่ในบ้าน แต่อย่าได้พาลไปถึงคนอื่นเป็นอันขาดเชียว โดยเฉพาะคุณสาวๆ พึงรู้เอาไว้ว่าเรื่องเพื่อนสำหรับผู้ชายถือเป็นของต้องห้ามคุณพาดพิงแม้เพียงนิดเดียว เรื่องเล็กๆ มันอาจจะกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โตขึ้นมาได้ ในขณะเดียวกันคุณก็ไม่ควรกล่าวอ้างไปถึงญาติพี่น้องเขา ไปจนถึงต้นตระกูลของเขาด้วย เพราะนอกจากจะเป็นการลามปามอย่างไม่รู้จักกาลเทศะ คุณก็อาจกลายเป็น “คนเคยรัก”ในสายตาคนรักโดยไม่รู้ตัว
ยิ่งไปกว่านั้น หากเรื่องเหล่านี้เข้าหูครอบครัว ญาติๆ และเพื่อนฝูงของเจ้าตัว แน่นอนว่า...คุณมีงานเข้าแน่! แม้จะเคยทำดีแค่ไหน หากลามปามเมื่อไหร่ ก็ไม่มีประโยชน์อีกต่อไป
8. “บทเงียบ” และ “เย็นชา”
ไม่เสมอไปที่ความเงียบจะทำให้คนสองคนเข้าใจกัน การไม่พูดไม่จาอาจทำให้ได้ผลดีบางครั้ง แต่คุณสาวๆ ต้องอย่าลืมว่าในเรื่องที่ละเอียดอ่อนมนุษย์ผู้ชายที่มาจากดาวอังคารเขาไม่มีวันเข้าใจ การปิดหากเงียบจึงไม่ใช่ทางออกที่ถูกต้อง คุณควรลดทิฐิในตัวเองลงเสียบ้างแล้วหันมาเปิดอกคุยกันด้วยความละมุนละไมจะดีกว่า
แม้ว่าในความเป็นจริงแล้ว หากมีเรื่องฉุนเฉียวขึ้นมา ในช่วงอารมณ์โมโห และกำลังจะมีปากเสียงกันนั้น หลายคนอาจบ่นว่า เทคนิคเหล่านี้อาจไม่ได้อยู่ในหัวสมองเลย พูดได้ คิดได้ แต่ทำไม่ได้ ทั้งๆที่จริงๆแล้ว หากคนเราฝึกใช้สติ ใช้เหตุผลมากกว่าอารมณ์ เคล็ดลับที่กล่าวมาก็จะเป็นประโยชน์ที่มีส่วนให้อัตราการหย่าร้างไม่เพิ่มสูงขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ก็ได้
แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรที่ทำให้ผิดใจ สิ่งที่ทำให้ความรักมั่นคงอยู่ได้ก็ขึ้นอยู่กับคนสองคนเป็นสำคัญ ดังนั้นทะเลาะกันบ้าง ก็อาจเป็นภูมิคุ้มกันและยาบำรุงที่จะให้คนสองคน “รักกัน”มากขึ้นจนไม่รู้ตัวก็ได้ ซึ่งส่วนใหญ่จะรู้ตัวต่อเมื่อ...เสียงทะเลาะและเสียงยั่วยุนั้น...หายไปอย่างไม่มีวันกลับมา!!