ปรากฏการณ์ไฟลุกทั่วตัว

เรื่องน่ารู้ > ปรากฎการณ์ไฟลุกทั่วตัว    
ปรากฎการณ์ไฟลุกทั่วตัว


ปรากฎการณ์ไฟลุกทั่วตัว (Spontaneous human combustion)

 


                คุณรู้จักปรากฏการณ์ไฟลุกทั่วร่างหรือเปล่าครับ พอดีผมไปอ่านเจอการ์ตูนเรื่อง C.M.B.พิพิธภัณฑ์พิศวงที่ในเรื่องมีเหตุการณ์ลึกลับนี้ปรากฏอยู่ ผมเลยเกิดสนใจเรื่องนี้เลยมาขยายความสักหน่อยครับ

                มนุษย์เรารู้จักปรากฏการณ์ครั้งแรกในปี ค.ศ. 1663 เมื่อ Thomas Bartholin ได้บรรยายถึงการที่สาวชาวฝรั่งเศสคนหนึ่ง กลายเป็นเถ้าและควันไปในขณะที่เธอหลับอยู่... ต่อมาในปี ค.ศ. 1673 ก็มีชายชาวฝรั่งเศสชื่อ Jonas Dupont ได้ตีพิมพ์ผลงานการรวบรวมกรณี spontaneous human combustion เป็นหนังสือชื่อ "De Incendiis Corporis Humani Spontaneis"

               
                ต่อมาปรากฏการณ์ไฟลุกทั่วตัวนี้ได้สังเกตและบันทึก โดย ไมเคิล แฮร์รินสัน เขาได้บันทึกและนำมาเขียนเป็นหนังสือที่ชื่อว่า ไฟจากสรวงสวรรค์ หรือ ท่านปลอดภัยเพียงใดจากไฟ (Fire From Heaven, Are You From Burning) ตีพิมพ์ในลอนดอน โดยซิดวิน แอนด์ แจ๊คสัน เมื่อปี 1976

                งาน เขียนชิ้นนี้ เป็นการค้นคว้าศึกษาปรากฏการณ์ที่ไม่สามารถอธิบายได้ ที่จู่ๆ คนบางคนถูกไฟไหม้ลุกทั่วร่าง ซึ่งเกิดขึ้นกว่าร้อยรายที่เกิดปรากฏการณ์นี้ จะมีรูปแบบคล้ายๆ กันคือ ร่างกายของผู้เคราะห์ร้ายจะถูกเผาไหม้ไปเกือบจะเป็นเถ้าถ่านหมดจด โดยที่ตัวผู้เคราะห์ร้ายมักจะอยู่ในเคหะสถาน และบางครั้งจะรู้สึกได้ถึงกลิ่นหอมๆ ของควันในห้องที่เกิดเหตุ

                ที่ น่าประหลาดใจคือ บางครั้ง แม้ว่าบางส่วนของร่างกายจะถูกเผาเป็นเถ้าถ่านชนิดจำไม่ได้ เช่น ส่วนหัว เป็นต้น แต่ว่าส่วนอื่นๆ ของร่างกายเช่น มือ เท้า หรือเสื้อผ้า กลับไม่มีร่องรอยการถูกเผาไหม้แต่อย่างใด และสภาพแวดล้อมที่เกิดเหตุหรือแม้แต่เสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่ กลับเหมือนกับไม่มีอะไรไปแตะต้องเลย ไม่มีแม้แต่รอยไหม้ ของไฟสักนิด บางกรณีที่เกิดขึ้น อวัยวะภายในของผู้เคราะห์ร้ายจะไม่มีร่องรอยการถูกไฟเผาเลย ในขณะที่ภายนอกถูกเผาเป็นเถ้าถ่านหมด

                แต่ไม่ใช่ทุกครั้งที่เกิดปรากฏการณ์นี้แล้ว ผู้เคราะห์ร้ายจะเสียชีวิตทุกคนนะครับ มีบางคนที่รอดชีวิตมาได้ แต่ก็เป็นส่วนน้อยครับ

               

                มันเกิดขึ้นเพราะอะไร

                
                นักวิทยาศาสตร์ได้ตั้งชื่อปรากฏการณ์นี้ ว่า spontaneous human combustion (SHC) หรือแปลเป็นไทยๆ (เอา แบบที่แปลตรงๆ ตัวเลยนะ) ก็ได้ประมาณว่า การสันดาปของมนุษย์อย่างฉับพลัน หรือแปลให้เข้าใจเป็นภาษาชาวบ้านก็คือ อยู่ๆ ไฟก็ลุกท่วมตัว และไหม้เป็นเถ้าไปเองซะเฉยๆ ยังงั้น

                หลายคนเขามองเรื่องของ spontaneous human combustion เป็น เรื่องขี้จุ๊เบ่เบ๊ ขี้ฮกตาราร่า แต่ปัญหาก็คือ เรามีคดีที่เกิดขึ้นจริงๆ ที่ผู้เคราะห์ร้ายถูกเผากลายเป็นเถ้าอย่างไม่ทราบสาเหตุจริงๆ มันเกิดขึ้นได้ยังไง?!? มีอยู่ทฤษฎีหนึ่งที่พอจะอธิบายได้ครับ นั่นก็คือทฤษฎีของการเผาไหม้ของเทียนไข หรือเราจะเรียกว่าทฤษฎีไส้เทียนก็ว่าได้ละมั้ง

                เรา จะเห็นว่าเวลาที่เราจุดเทียนไขนั้น ไส้เทียนมันจะลุกไหม้ตลอดเวลา ไม่มีดับ... ที่มันเป็นยังงี้ก็เพราะขี้ผึ้งที่อยู่รอบๆ ไส้เทียนนั่นแหละครับ ขี้ผึ้งนั้นทำมาจากไขมัน ซึ่งจะเป็นตัวช่วยให้ไส้เทียนเกิดการเผาไหม้อยู่ตลอดเวลา ในร่างกายคนเราก็มีไขมัน ที่ทำหน้าที่เป็นวัตถุที่ติดไฟได้ และมีคุณสมบัติคล้ายขี้ผึ้ง ในขณะที่บรรดาเสื้อผ้า และขน เส้นผม ก็เปรียบเสมือนไส้เทียน

                อี ตอนที่ร่างกายเผาไหม้ ไขมันในร่างกายก็จะละลายด้วยความร้อนซึมเข้าสู่เสื้อผ้า ทำให้กลายเป็นเหมือนขี้ผึ้งที่ซึมเข้าสู่ไส้เทียน ที่กันไม่ให้ไส้เทียนไหม้เป็นเถ้า และทำให้ไส้เทียนลุกไหม้ตลอดเวลา... นักวิทยาศาสตร์ว่ากันว่า นี่แหละคือสาเหตุที่ทำให้รอบๆ ตัวของผู้เคราะห์ร้ายไม่มีร่องรอยความเสียหายจากไฟ

                ทีนี้ก็มีคำถามอีกว่า ในบางรายที่ศพของผู้เคราะห์ร้ายยังมีบางส่วนอยู่ในสภาพดี เช่น มือ หรือเท้า ล่ะ?!? มี ผู้ให้คำตอบว่าน่าจะเป็นเรื่องของการไล่ระดับของความร้อนครับ โดยมีแนวคิดที่ว่าอุณหภูมิของร่างกายของคนที่นั่งนั้น ส่วนบนสุดจะร้อนกว่าส่วนล่าง

                สุด ท้ายคือคำตอบต่อคำถามที่ว่า ไอ้ของที่มีสภาพคล้ายๆ จารบีเหนียวๆ ที่เกาะติดอยู่แถวๆ ผนังหรือเพดาน หลังจากเกิดปรากฏการณ์ มันคืออะไร... เขาตอบง่ายๆ ตามทฤษฎีเลยว่า มันก็คือ ไขมัน ที่ออกมาจากตัวเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายนั่นเอง

                จากทฤษฎีดังกล่าว เราอาจจะแบ่งสภาวะการเกิด spontaneous human combustion แบ่งออกได้เป็น 3 ขั้นก็คือ

 

                1. ในขั้นแรกผู้เคราะห์ร้ายเกิดอะไรซักอย่างทำให้หมดสติ ไม่รู้สึกตัวไป แล้วเสื้อผ้าก็เกิดได้รับความร้อนจากภายนอก ทำให้เกิดการลุกไหม้

 

                2. ความร้อนที่เกิดขึ้นก็ไปละลายไขมันในร่างกาย ให้ไหลออกมาซึมเข้าสู่เสื้อผ้า ทำให้มีสภาพเหมือนไส้เทียนที่ชุ่มไปด้วยเนื้อเทียนไข

 

                3. ร่าง กายก็จะได้รับความร้อนที่เกิดจากการเผาไหม้ไขมันนั้นเป็นเวลานานมากๆๆๆๆๆ จนทำให้ทั้งเสื้อผ้า และร่างกายกลายเป็นขี้เถ้าโดยสมบูรณ์แบบ

 

                นอกจากนี้ยังมีคำตอบอื่นๆ ตามมาอีกมากมาย เช่น

                
               ในช่วงปี 1800s นั้น นักเขียนชื่อดัง Charles Dickens ได้นำปรากฏการณ์นี้มาเป็นจุดขายในนิยายชื่อ "Bleak House" ของเขา โดยตัวละครชื่อ Krook เป็น คนที่ติดเหล้าสุดๆ แล้วเมื่อมีปริมาณแอลกอฮอล์ในร่างกายมากเกินพิกัด ก็เกิดปรากฏการณ์นี้ขึ้นมา... นี่แสดงให้เห็นถึงความเชื่อของนักเขียน เกี่ยวกับสาเหตุการเกิดปรากฏการณ์

                แต่ทฤษฎีที่มีพูดถึงกันในปัจจุบันนี้ มันเยอะแยะมากมายครับ1ในนั้นที่น่าสนใจคือ ก๊าซมีเธน (methane) ซึ่งเป็นก๊าซไวไฟที่เกิดจากการย่อยสลายของพืช...ไอ้เจ้าก๊าซตัวนี้มันอาจจะเกิดขึ้นภายในลำไส้ของเราได้ (เพราะเราก็กินพืชนิ) และเมื่อมันเกิดปฏิกิริยาบางอย่างกับเอนไซม์ (โปรตีนภายในร่างกาย ที่ทำหน้าที่เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาเคมี) ภายในร่างกาย มัน ก็เลยเกิดปรากฏการณ์นี้ขึ้น... แต่อันนี้ก็ยังไม่น่าจะเป็นคำตอบสุดท้ายที่ถูกต้อง เนื่องจากสภาพของผู้เคราะห์ร้ายนั้น ร่างกายได้รับความเสียหายไปถึงภายนอกร่างกาย ไม่ใช่เพียงแค่อวัยวะภายใน ซึ่งทำให้ทฤษฎีนี้ฟังแล้วดูขัดๆ อีกทฤษฎีหนึ่งพูดถึงเรื่องของไฟฟ้าสถิตย์ที่เกิดขึ้นภายในร่างกายหรือเกิด จากแรงกระทำจากสนามแม่เหล็กไฟฟ้าของโลก

                นอกจากนี้ก็มีนาย Larry Arnold ที่เหมาเอาเองว่าตัวเองคือผู้เชี่ยวชาญด้านปรากฏการณ์ spontaneous human combustion กล่าวว่า มันเกิดจากองค์ประกอบของอะตอม ที่พบใหม่ที่ชื่อว่า pyroton (pyro เป็น คำกรีกมีความหมายว่า ไฟ) ซึ่งถ้าทำปฏิกิริยากับเซลล์ ก็จะเกิดการระเบิดขนาดยุ่มๆ ได้... แต่ประทานโทษทีครับ ไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ใดๆ ที่ยืนยันได้ว่า ไอ้ pyroton นี้มันมีจริง

                อย่าง ไรก็ดี เราก็ยังไม่มีข้อสรุปอย่างเป็นทางการ ถึงสาเหตุของการเกิดปัญหานี้ ทว่านักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ตั้งข้อสังเกตว่า ผู้เคราะห์ร้ายที่เจอปรากฏการณ์นี้ส่วนใหญ่เป็นพวกสิงห์รมควัน หรือพวกที่ชอบสูบบุหรี่นั่นเอง และก็มักพบว่าตายในขณะที่หลับโดยยังจุดบุหรี่ ซิการ์ หรือไปป์เอาไว้ ซึ่งนั่นก็อาจจะเป็นสาเหตุได้อีกทางหนึ่งครับ

 


                เหยื่อของปรากฏการณ์ไฟลุกทั่วตัว (ทำไมไม่มีไทยฟ่ะ)

                และนี้คือตัวอย่างเหยื่อของปรากฏการณ์ไฟลุกท่วมตัวครับ  แม้จะเกิดขึ้นจริง ทั้งๆ ที่ฟังแล้วมันไร้เหตุผลอย่างยิ่ง

 


                ฟิลลิส นิวคอมบ์ Phyllis Newcombe

              
               ในปี ค.ศ. 1938 หญิงอายุ 22 ปีนาม Phyllis Newcombe กำลังปลีกตัวออกจากงานเต้นรำที่ Shire Hall ในเมือง Chelmsford ประเทศ อังกฤษ ขณะที่เธอกำลังลงบันไดอยู่นั้น อยู่ๆ เสื้อผ้าเธอก็ติดไฟโดยไร้สาเหตุ จากนั้นเธอก็วิ่งย้อนกลับไปยังห้องบอลลูม แล้วก็ล้มลง หลายคนพยายามเข้าไปช่วยเธอ แต่เธอก็สิ้นใจที่โรงพยาบาล แม้จะมีคนกล่าวว่าสาเหตุน่าจะเกิดจากบุหรี่ หรือไม้ขีดไฟ ที่โยนขึ้นไปหาเธอขณะที่เธอลงจากบันได แต่ก็ไม่พบหลักฐานใดๆ ยืนยัน เจ้าหน้าที่ชันสูตรศพ L.F. Beccles ได้กล่าวถึงคดีนี้ว่า "จากประสบการณ์ของผม ผมไม่เคยเจอคดีอะไรที่เป็นปริศนามากขนาดนี้มาก่อนเลย"

                               


                ยูฟีเมีย จอห์นสัน

                หญิงชรา ม่าย อายุ 68 เป็น ชาวอังกฤษ วันหนึ่งขณะที่เธอกำลังชงชา หล่อนก็ถูกไฟลุกท่วมร่างอย่างรุนแรงปัจจุบันทางด่วน ไฟไหม้รุนแรงมาก และในเวลาชั่ววูบเดียว ร่างเธอทั้งร่างกลับกลายเป็นเถ้าถ่าน แต่เสื้อผ้าเธอกลับไม่มีรอยไหม้แต่อย่างใด

 


                มิสเตอร์ เอช.

                เป็นศาสตราจารย์คณิตศาสตร์ ในมหาวิทยาลัยแนชวิลล์ มลรัฐเทนเนสซี

                วันนั้นเป็นฤดูหนาว ปี 1835 ขณะ ที่เขากำลังเดินกลับบ้าน ก็รู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาที่ขาขวา เขาเห็นไฟพุ่งออกจากขาตรงที่เจ็บปวดแปลบนั้น เขาเอามือตบ พยายามดับไฟแต่ไม่สำเร็จ จนต้องเอามือประกบปิดเพื่อไม่ให้มีออกซิเจนมากพอสำหรับการลุกไหม้ ซึ่งได้ผลมันดับลงได้ ผลคือกางเกงในเขาถูกไฟไหม้เป็นรูเล็กๆ แต่กางเกงขายาวที่เขาใส่อยู่กลับไม่มีรอยไหม้ใดๆ แต่ขาเกิดบาดแผลจนตั้งรักษาอยู่นานกว่าจะหาย

 


                แอนนา มาร์ติน

                
                เป็นชาวเมืองเวสต์ ฟิลาเดลเฟีย อายุ 69 ปี ถูกไฟไหม้ในวันที่ 18 พฤษภาคม 1957 แต่ถูกไฟไหม้เฉพาะแขนทั้งสองข้าง และศีรษะเท่านั้น โดยไม่ไหม้บริเวณลำตัว และที่น่าประหลาดคือรองเท้าของนาง ไม่ได้รับความเสียหายเลย

 


                บิลลี โธมัส ปีเตอร์สัน

                ชายหนุ่มอายุ 27 ปี เป็นชาวเมืองปอนเตียก รัฐมิชิแกน อยู่ดีๆ ก็ถูกไฟไหม้เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 1957 โดยไหม้ที่แขนซ้าย อวัยวะเพศ และบางส่วนบนใบหน้า แต่ขนตามร่างกาย ขนคิ้ว ผม และเสื้อผ้าของเขากลับไม่ถูกไฟไหม้

 


                สองผัวเมียรูนีย์

                สองผัวเมียคู่ชาวไร่คู่นี้ตายวันดี คือวันคริสต์มาส อีฟ ปี 1985 ในเมืองเซเนคา รัฐอินลินอยส์

                อยู่ดีๆ นางแพทริค รูนีย์ถูกไฟไหม้ทั่วร่าง ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เธอถึงแก่ความตาย ส่วนสามีเธอตายเพราะสำลักควัน

 


                เคาน์เตส คอร์นีเลีย ดิ แบนดิ

                ท่านเคาน์เตสแห่งซิเซนา อิตาลี ถูกไฟไหม้ในศตวรรษที่ 18 แต่ไม่ทราบวันเดือนปี รู้แต่ว่าตอนเกิดเหตุ สุภาพสตรีสูงศักดิ์อายุ 62 ปี และบรรดาเพื่อนบ้านเห็น ควันสีเหลืองสยอง ล่องลอยออกจากบานประตูของท่านเคาน์เตส  วันรุ่งขึ้นสาวใช้เข้าไปดูพบว่าห่างจากเตียง 4 ฟุต มีขี้เถ้าอยู่กองหนึ่ง ขาของท่านเคาน์เตสซึ่งใส่ถุงเท้าอยู่ ที่ไม่มีไฟไหม้อยู่สมบูรณ์ อากาศเต็มไปด้วยเขม่า แต่เฟอร์นิเจอร์และพื้นห้องกลับไม่มีรอยไหม้สักนิด ที่น่าแปลกคือเทียนสองแท่งที่วางบนโต๊ะข้างเตียง เทียนน่ะหลอมละลาย แต่ไส้เทียนนี้สิไม่มีรอยไหม้แต่อย่างใด

 

                ส่วนนี้คือรายที่ดังที่สุด และน่าสงสัยว่ามันเกิดจากปรากฏการณ์ไฟลุกทั่วตัวจริงหรือ

 


                ดอกเตอร์จอห์น เออร์วิ่ง เบนทเลย์  J Irving Bently

               
                วันที่ 5 ธันวาคม 1966 รัฐเพนซิลวาเนีย เมืองเคาวเดอร์สปอร์ท นายกอสเนลไปที่บ้านของอดีตหมอ จอห์น เออร์วิ่ง เบนทเลย์ (92) เพื่อ ดูมีเตอร์แก๊สแทนเจ้าของบ้านซึ่งเดินไม่สะดวก เขาพบว่าบันไดลงไปห้องใต้ดินมีควันดำสีออกน้ำเงินลอยคลุ้งและมีกลิ่นเหม็น ฉุนอบอวลไปหมด ด้วยความสงสัย เขาจึงเข้าไปยังห้องน้ำซึ่งเป็นที่มาของควัน ซึ่งที่นั่นเองที่เขาได้พบกับภาพที่เขาไม่สามารถลืมได้ชั่วชีวิต

                บนพื้นห้องน้ำมีรูขนาดกว้าง 75 เซนติเมตร ยาว 120 เซนติเมตร และที่ข้างรูนี้เองเขาก็พบขาของเบนทเลย์ซึ่งกลายเป็นสีคล้ำราวกับขาหุ่นตก อยู่ ส่วนอื่นๆของร่างกายนั้นกลายเป็นเถ้าถ่านตกอยู่ในห้องใต้ดินเบื้องล่าง

           * ขอค้าน กล่าว กันว่าคดีของเบนทเลย์เป็นปริศนาเพราะเกิดการลุกไหม้ทั้งๆที่ไม่มีเชื้อไฟ แต่ความจริงแล้ว เป็นที่รู้กันดีว่าเบนทเลย์ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่นั้นชอบสูบไปป์ และมักทำขี้เถ้าตกใส่เสื้อบ่อยๆ ในวันเกิดเหตุนี้ก็มีการพบขี้เถ้าตกอยู่บนพรมห้องนอนของเบนทเลย์ด้วย จึงเป็นการยืนยันว่าในวันดังกล่าว เบนทเลย์ก็กำลังสูบไปป์อยู่เช่นกัน

                        นอกจากนี้ ในบันทึกส่วนมากมักจะเขียนว่า เบนทเลย์ถูกเผาจนเหลือแต่ขาขวาข้างเดียว แต่              ในความจริงแล้ว หัวกระโหลกของเขายังเหลืออยู่จากการเผาไหม้นี้ด้วย หากจะสันนิษฐานตาม      สภาพที่เกิดเหตุก็ได้ความดังนี้

 

        

                       1. เบนทเลย์ทำขี้เถ้าตกใส่เสื้อคลุมอาบน้ำ

                2. หลายนาทีให้หลัง เสื้อติดไฟ

                        3. เบนทเลย์รีบมุ่งไปยังห้องน้ำ เมื่อไปถึงเสื้อคลุมก็ติดไฟจนลุกท่วมไปหมดแล้ว เขาจึง         ถอดเสื้อคลุมโยนใส่อ่างอาบน้ำ (เสื้อคลุมที่ถูกพบในอ่างน้ำ มีไม้ขีดไฟใส่อยู่ในกระเป๋าด้วย  

                        4. แต่ไฟก็ลามมาติดที่ร่างกายแล้ว ร่างของเบนทเลย์จึงเกิดปรากฏการณ์ Wick Effect ลุกไหม้จนเขาเสียชีวิต

 

1.

 

 

 

 

 

                        แมรี่ รีเซอร์หรือ The Mary Reeser Cinder Lady

                       
                        เป็นคดีที่โด่งดังที่สุดของปรากฏการณ์นี้ก็ว่าได้

                        ตอนเช้าของวันที่ 2 กรกฎาคม 1951 รัฐฟลอริด้า เมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กZ St. Betersburg) คุณนายคาร์เพนเตอร์ เจ้าของห้องที่        เช่ามา     หาแมรี่ ฮาร์ดี้ รีเซอร์ (61) ที่ห้องของเธอ หากกดกริ่งเรียกแล้วก็ไม่มีเสียงตอบ และเมื่อจะเปิดประตูเข้าไปก็พบว่าลูกบิดประตูร้อนจัดจนลวกมือ

                คุณนายรีบวิ่งไปขอความช่วยเหลือจากคนงานเป็นเพื่อนบ้านหญิงอีก 2 คน ซึ่งทำงานกันอยู่ฝั่งตรงข้าม เมื่อพวกเขาพังประตูเข้าไปในห้องได้ก็พบกับแมรี่ รีเซอร์ ที่เก้าอี้ พร้อมกับวงกลมสีดำรอบๆ ตัวเธอ หัวของเธอถูกเผาจนเหลือขนาดแค่ถ้วยกาแฟ ส่วนอื่นๆ ที่ยังเหลือก็มีแค่กระดูกสันหลัง และเท้าข้างซ้าย พบ ร่องรอยของไฟน้อยมาก แต่ในคดีนี้ตำรวจสันนิษฐานว่า มีความเป็นไปได้ที่สาเหตุจะเกิดจากบุหรี่ เนื่องจากพบบุหรี่ตกอยู่ และมันสามารถที่จะติดไฟไปยังชุดนอนของเธอ ที่ทำจากใยสังเคราะห์ acetate ได้ (เป็นใยสังเคราะห์ที่ติดไฟได้)

               
                * ขอค้านเกี่ยว กับเชื้อไฟนั้น ที่จริงแล้วจากการตรวจที่เกิดเหตุทราบได้ว่าเกิดจากบุหรี่นี่เอง แมรี่มีนิสัยชอบสูบบุหรี่อยู่แต่เดิมแล้ว ประกอบกับก่อนที่เธอจะถูกพบเป็นเถ้าถ่านอยู่ในห้องพัก แมรี่เพิ่งจะโทรศัพท์คุยกับลูกชายว่าเธอได้ทานยานอนหลับไปแล้ว 2 เม็ด และจะทานอีก 2 เม็ดก่อนเข้านอน จึงเป็นไปได้ว่า แมรี่อาจจะเผลอหลับระหว่างที่เธอกำลังสูบบุหรี่อยู่และทำบุหรี่ตกใส่เสื้อ    นอก จากนี้จากคำให้การของผู้ที่เห็นเธอเป็นครั้งสุดท้ายกล่าวว่า แมรี่ใส่ชุดนอนและเสื้อคลุมซึ่งล้วนทำจากวัสดุซึ่งติดไฟง่าย และเธอยังนั่งอยู่บนเก้าอี้นวนซึ่งยัดไส้ด้วยวัสดุที่ติดไฟง่ายเช่นกันอีก ด้วย

           อีกประการหนึ่ง มักจะกล่าวกันว่าภายในห้องไม่ถูกเพลิงไหม้เสียหาย แต่ในความจริงแล้ว ไฟได้ไหม้เก้าอี้ โต๊ะข้างเก้าอี้ และโคมไฟไปจนหมด ในตอนที่ค้นพบศพนั้น เพดานยังลุกไหม้อยู่ด้วยซ้ำ                และ จริงอยู่ที่ร่างกายของแมรี่ถูกไหม้เป็นเถ้าถ่านจนแทบไม่เหลือกระดูก แต่ที่บอกว่ากระโหลกของเธอหดตัวจนมีขนาดเท่ากำปั้นนั้นมีความเป็นไปได้สูง ที่จะไม่จริง เนื่องจากในหนังสือพิมพ์ที่ลงข่าวนี้อยู่กล่าวเพียงว่า"วัตถุทรงกลมซึ่งน่า จะเป็นกระโหลกศีรษะ" (ไม่ได้เจาะจงว่าเป็นกระโหลกจริงๆ) นักวิจัยชี้ว่าเป็นไปได้ว่าวัตถุดังกล่าวน่าจะเป็นกระดูกส่วนฐานกระโหลกที่เชื่อมกับคอก็เป็นได้

 

                มักจะมีการอ้างว่า การจะเผาร่างกายมนุษย์ให้เหลือแต่เถ้าถ่านนั้นต้องใช้อุณหภูมิ 1370 องศาเซลเซียสขึ้นไปเผาติดต่อกันเป็นเวลา 3 ชั่วโมงขึ้นไป แต่ที่จริงแล้วใช้อุณหภูมิ 870 - 980 องศาเซลเซียสเป็นเวลา 1 ชั่วโมง ก็สามารถเผาให้เป็นเถ้าถ่านได้แล้ว และถึงจะเป็นอุณหภูมิที่ต่ำกว่า หากใช้เวลาหลายชั่วโมงก็สามารถทำได้เช่นเดียวกัน อย่าว่าแต่แมรี่ถูกเผาอยู่ถึง 10 ชั่วโมงด้วยซ้ำ  นอก จากนี้ ไฟซึ่งลุกไหม้ในสถานที่ปิดนั้น จะไม่โหมลุกใหญ่โตเนื่องจากมีออกซิเจนน้อย แต่จะลุกไหม้อยู่ที่ต้นเพลิงทีละน้อยเท่านั้น ในกรณีของแมรี่นี้ ห้องของเธอเป็นพื้นคอนกรีตจึงมีสภาพปิดตายและทำให้ไฟไม่ลามไปยังที่อื่นมาก นัก

 


                จีนนี่ แซฟฟิน Jean Lucille "Jeannie Saffin"

                15 กันยายน  1982 จีนนี่ แซฟฟิน (61)

Credit: หมีน้อยพูรดอดคอม
#เรื่องน่ารุ้
THEPOco
ผู้กำกับภาพ
สมาชิก VIP
26 ม.ค. 54 เวลา 06:22 2,847 7
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...