จุดเปลี่ยนชีวิต

 

จุดเปลี่ยนชีวิต

            ในโลกนี้ คงไม่มีใครใคร่จะประสบพบเจอสิ่งที่เรียกกันว่า "ความทุกข์" แต่ในความเป็นจริงความทุกข์มักแวะเวียนมาทักทายชีวิตเราอยู่เสมอ ขึ้นอยู่กับว่าจะมากน้อยต่างกัน ต่างรูปแบบ ต่างช่วงเวลา และต่างการหาหนทางพ้นจากทุกข์นั้น... 3 หญิงแกร่งในวงการบันเทิง จากรายการ คนค้นฅน พวกเธอคือตัวอย่างบุคคลที่สูญเสียความสุขในการมีชีวิตอยู่ เพราะความทุกข์ที่ถาโถมเข้ามาอย่างหนักหนาสาหัส แต่นั่นก็ทำให้พวกเธอพบกับจุดเปลี่ยนในชีวิต และค้นพบเส้นทางสายใหม่ที่จะพาให้ชีวิตพ้นจากความทุกข์ที่รุมเร้านานหลายปี



                    เจี๊ยบ-กาญจนาพร ปลอดภัย ผู้หญิงเก่งที่คร่ำหวอดอยู่ในวงการบันเทิงมานานกว่า 20 ปี เธอผ่านงานในวงการมาแล้วแทบจะทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็น ดารา นางแบบ พิธีกร ผู้จัดละคร จนเรียกได้ว่า ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน แม้ว่าอีกด้านของชีวิตครอบครัวจะล้มเหลวไม่เป็นท่า แต่ก็การันตีได้ว่า เธอคือหญิงแกร่งตัวจริง ที่สามารถเลี้ยงลูก 3 คน มาได้เพียงลำพัง แต่แล้วเส้นทางชีวิตที่ดูเหมือนจะราบรื่นของ เจี๊ยบ กาญจนาพร ก็ต้องสะดุดกึก เมื่อจู่ ๆ เธอต้องมีหนี้สินก้อนใหญ่จากการที่ไปทำธุรกรรมร่วมกับเพื่อน ซึ่งเธอไว้วางใจเพื่อนที่รับปากจะจ่ายคืนภาษีในการทำธุรกิจ แต่ทุกอย่างก็ไม่ได้เป็นไปตามที่รับปากไว้ เมื่อรู้ตัวอีกครั้งหนี้สินจาก 6.8 แสนบาท ก็พอกพูนถึง 3.7 ล้านบาท ทำให้บ้านของเธอถูกยึด ขณะเดียวกัน งานละครที่ทำอยู่ก็เริ่มมีปัญหา และลูกก็กำลังรอเงินก้อนไปจ่ายค่าเล่าเรียนที่สหรัฐอเมริกา "ตอนนั้นรู้สึกแย่มาก เราอธิบายได้เลยนะว่า ความรู้สึกอกจะแตกมันเป็นอย่างไร มันอัดอั้น เราทำดีทุกอย่างแล้ว แต่ทำไมมันเกิดขึ้น บ้านถูกยึดความรู้สึกเราคือมันร้ายแรงมาก ยอดเงิน 3.7 ล้านบาท ไม่รู้จะเอาเงินมาจากไหน ไม่มีใครเชื่อว่าเราไม่มีเงิน มันอีรุงตุงนังไปหมด มันงง เหมือนถูกชกเลย ไม่อยากคุยกับใครเลยแม้กระทั่งลูก" เจี๊ยบ กาญจนาพร เล่า วัดป่าหนองแสง จ.ยโสธร เป็นสถานที่ที่ เจี๊ยบ กาญจนาพร เลือกพาตัวเองไปหาธรรมะอันเป็นยาขนานเอกที่ช่วยเยียวยาจิตใจของตัวเอง โดยเธอบอกว่า การมาวัดแห่งนี้ทำให้ได้ข้อคิดเตือนสติจากหลวงปู่ที่สอนไม่ให้ยึดติดกับทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ให้ยึดติดกับบ้านที่ถูกยึด หลังจากนั้นเธอก็นำคำพระสอนมาพิจารณาในทุก ๆ วัน จนสามารถผ่านมรสุมนั้นมาได้
 


                   ในขณะที่หญิงเก่งคนหนึ่งในวงการบันเทิงต้องเจอมรสุมหนี้สิน ปรียานุช ปานประดับ ดาราสาวอดีตนางงาม ที่ผันตัวจากเบื้องหน้ามาทำงานละครเบื้องหลัง เป็นผู้จัดละคร "น้ำดี" ที่มีรางวัลการันตีมาแล้วหลายเรื่อง และนอกเหนือไปกว่านั้นเธอยังมีคู่ชีวิตที่ลงตัว จนดูเหมือนว่าชีวิตจะมีความสุขเหลือเฟือ แต่ทว่าเธอคนนี้กลับต้องเผชิญความทุกข์ในอีกรูปแบบ จากโรคที่รุมเร้า จนต้องผ่านการผ่าตัดมากว่า 7 ครั้ง และเคยเดินไม่ได้นานกว่า 1 ปี "ตอนนั้นเราต้องนั่งรถเข็น เดินไม่ได้ สืบเนื่องมาจากการที่กินยานอนหลับเป็นประจำ 20 กว่าปี ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2533 ทำให้เป็นโรคหลายโรค และมีอาการเข่าเสื่อมกระทันหัน ต้องได้รับการผ่าตัดเข่า แต่เราไม่ต้องการผ่า เพราะได้รู้จักกับคนที่ผ่านการผ่าตัดเข่ามาแล้ว เขาบอกว่าไม่ค่อยหาย เราเลยหาวิธีอื่น" ปรียานุช เล่าถึงอาการป่วยของเธอ เกือบ 4 ปีที่ผ่านมา ปรียานุช ปานประดับ เลือกที่จะรักษาอาการเดินไม่ได้ของตัวเองด้วยวิธีการแพทย์ทางเลือกที่ มูลนิธิไทยกรุณา จ.กาญจนบุรี สถานพยาบาลแห่งนี้จะรักษาผู้ป่วยด้วยการใช้สมุนไพรบำบัด ซึ่งในช่วงแรกเธอต้องใช้ความอดทนอย่างสูงต่อสู้กับความทรมานจากการกินยาสมุนไพรเพื่อบำบัดรักษาโรคที่ตัวเองเป็น เพราะต้องการให้ตัวเองหายเป็นปกติ ด้วยคิดว่าจะได้ไม่เป็นภาระให้กับคนใกล้ตัว "ตอนที่ป่วยหนัก รู้สึกเลยว่าความตายมันอยู่แค่เอื้อม แต่ไม่กลัวนะ เป็นห่วงแม่กับสามีมาก เพราะกลัวว่าถ้าเราตาย แล้วมันจะเร็วเกินไปสำหรับเค้า เราจึงฮึดสู้ วันแรกที่ตัดสินใจมารักษาที่มูลนิธิไทยกรุณา เราไปถามเค้าเลยว่าเราจะหายไหม จะเดินได้ไหม เค้าบอกว่าเดินได้ เราโอเค ให้ทำอะไรก็จะทำ" และแล้วความมุ่งมั่นอดทนของเธอก็เป็นผล ปรียานุช ปานประดับ สามารถกลับมาเดินเหินได้อีกครั้ง แต่ปัจจุบันเธอยังคงต้องเดินทางไปกลับมูลนิธิไทยกรุณาอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ครั้ง เพื่อรักษาอาการป่วยของตัวเองต่อไป นั่นอาจเพราะเธอได้ค้นพบแล้วว่า ความทุกข์จากโรคภัยไข้เจ็บทำให้รู้สึกถึงความสุขของการมีชีวิตอยู่...



ด้าน "จอห์น มกจ๊ก" หรือ ศุภาพิชญ์ บัวติ๊ก หรือที่รู้จักกันในฐานะภรรยาของ โจ้ มกจ๊ก ตลกแคระ ที่เสียชีวิตจากฝีมือของแก๊งปาหิน เมื่อปี พ.ศ. 2547 เธอคนนี้ต้องเผชิญความทุกข์ ในรูปแบบของการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก ในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน จนยากเกินทำใจ เพราะเพียง 3 ปีหลังการจากไปอย่างไม่มีวันกลับของสามี เธอต้องพบกับสูญเสียอีกครั้งเมื่อ "น้องเจนนี่" ลูกสาววัยอนุบาลเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ "ตอนนั้นจอห์นเจ็บมาก ภายนอกจอห์นร่าเริง แต่ข้างในจอห์นเจ็บ ถ้าอยู่คนเดียวก็จะร้องไห้ ตอนโจ้เสีย จอห์นก็เสียหลักไปครั้งนึง แต่ก็ยังมีลูกเป็นกำลังใจ พอลูกมาเสียอีก เราเหมือนอยู่ตัวคนเดียวในโลก ภาพที่เคยวาดไว้ว่าจะไปอยู่บ้านนอกกับลูกกับแฟน ตั้งร้านขายของเล็ก ๆ ฝันมันสลายหมดเลย" จอห์น มกจ๊ก ยอมรับว่า เคยรู้สึกแค้นใจคนปาหินที่พรากชีวิตสามีไปจากเธอ แต่ยิ่งสาปแช่งคนที่กระทำมากเท่าไหร่ เธอก็ยิ่งรู้สึกปวดใจมากเท่านั้น และเมื่อมาเสียลูกสาวอีก ทำให้เธอรู้สึกเหมือนหมดสิ้นทุกอย่างในชีวิต จนต้องพึ่งยานอนหลับ ในเวลาตื่นจอห์นก็จะมาพูดคุยกับรูปภาพของบุคคลอันเป็นที่รักทั้งสอง และนอนกอดในทุกยามที่คิดถึง จนถูกมองจากคนภายนอกว่าเป็นบ้า แต่นั่นก็เปรียบเสมือนยา(ใจ) ที่จะทำให้เธอไม่คิดฟุ้งซ่าน และเข้มแข็งมีชีวิตอยู่มาได้จนทุกวันนี้ จากเรื่องราวมรสุมชีวิตของผู้หญิงทั้ง 3 คน จะเห็นได้ว่าพวกเธอเลือกที่จะยอมรับและเผชิญความจริงอย่างกล้าหาญ และกล้าลุกขึ้นมาสู้กับปัญหาโดยไม่จำนนต่อความทุกข์...แล้วคุณล่ะ ท้อแท้กับชีวิตตั้งแต่ยังไม่ได้ลุกขึ้นสู้อยู่หรือเปล่า....





 


 

 
 
Credit: http://thaiblogonline.com/samunprithai.blog?PostID=23182
20 ม.ค. 54 เวลา 11:56 2,140 20
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...