จูบตีน
google_protectAndRun("ads_core.google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);
google_protectAndRun("ads_core.google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);
บางช่วงบางวันหลังตื่นนอน ผมมีอาการเจ็บส้นตีน เดินเหินเจ็บจี๊ด อาการอาจหายไปในเวลาไม่กี่นาที หรืออาจอยู่นานเป็นวันๆ หมอบอกว่าอาการนี้เรียกว่า ‘รองช้ำ’ เกิดจากเส้นสายของขาตึงเกินไป เมื่อยืดเส้นยืดสายหรือบีบนวดท่อนขาให้คลายแล้ว อาการส้นตีนเจ็บก็หายไปเป็นปลิดทิ้ง
แม้ว่ารองช้ำอย่างไรก็ดีกว่าใจช้ำ แต่หากเป็นบ่อยๆ ก็ไม่สนุกนัก ถึงยามนี้ก็ให้นึกถึงปรัชญาเต๋าที่บอกว่า คนเราไม่นึกถึงตีนเมื่อมันไม่เจ็บ
คนที่ไม่เคยเจ็บตีนคงไม่มีวันเข้าใจความสำคัญของตีน
ความคงอยู่ของตีนเป็นความมหัศจรรย์อย่างหนึ่งของชีวิต ตีนมิเพียงเป็นส่วนที่รองรับน้ำหนักทั้งร่าง ยังพาเราไปไหนต่อไหน แต่แปลกที่น้อยคนจะเห็นบุญคุณของตีน พยายามผลักดันให้ ‘ตีน’ เป็นคำหยาบ เรายังดูหมิ่นตีนโดยเปรียบเทียบมันกับเรื่องไม่ดี คำว่า ‘ส้นตีน’ เป็นคำด่า (หลังจากที่เราเล่นกับคำว่า หมา กับ เห ี้ย มาแล้วอย่างโหดร้าย!)
ลองเป็นรองช้ำสักวัน แล้วจะสำนึกได้ว่า ปราศจากตีนที่ทำงานปกติ เราก็เดือดร้อน ดังนั้นมิเพียงคนเราควรนึกถึงบุญคุณของมันแล้ว ยังควรแสดงความเคารพตีนเช้าเย็น
เชื่อไหมว่าในบางวัฒนธรรมมีการจูบตีนผู้หลักผู้ใหญ่หรืออาจารย์ เป็นการแสดงความเคารพและความกตัญญู
หลายคนขยะแขยง ทั้งที่ตีนก็เป็นอวัยวะชิ้นหนึ่งของร่างกาย สะอาดกว่าอีกหลายๆ ส่วน ตีนของบางคนอาจสะอาดกว่าปากของเขาก็ได้ เอ้อ! ประโยคนี้ไม่มีนัยของการเสียดสีถึงนักการเมือง มันหมายความตรงคำ เพราะปากของมนุษย์มีแบคทีเรียจำนวนมหาศาล
แต่มนุษยเราก็ยินดีจูบปากแลกแบคทีเรียกันมากกว่าจะจูบตีน!
ผมเคยเห็นแม่คนหนึ่งจูบตีนทารก เป็นภาพที่บอกถึงความรักอันท่วมท้นของแม่ได้ชัดเจนที่สุด
แน่ละ หลายคนคงคิดว่าการจูบตีนทารกเป็นเรื่องง่าย เพราะทารกน่ารักไปทั้งตัว และสายใยของแม่ทุกคนมีความผูกพันจนแม่จูบตีนลูกได้ คงไม่มีใครคิดจูบตีนสกปรกของคนอื่นแน่นอน แต่เชื่อไหมว่าการจูบตีนเคยเป็นพิธีที่ชาวคริสต์กระทำ เริ่มจากการ 'ชำระตีน' ก่อน และผู้ที่นำหน้าเรื่องการยกย่องตีนเป็นเรื่องเป็นราวก็คือมหาศาสดาพระเยชูนี่เอง
ในแผ่นดินปาเลสไตน์ราวศตวรรษที่ 1 นั้น การชำระตีนเป็นเรื่องปกติอย่างยิ่ง เพราะพื้นที่นั้นแห้งแล้งกันดาร ถนนหนทางมีแต่ฝุ่นละออง การสวมรองเท้าแบบเปิดทำให้คราบฝุ่นเกาะตีนง่าย การชำระล้างตีนเป็นหน้าที่ของบ่าวไพร่อันต่ำต้อย การต้อนรับแขกผู้มาเยือนด้วยการชำระเท้าให้ก็เป็นธรรมเนียมหรือมารยาทการต้อนรับอย่างหนึ่ง
คัมภีร์ไบเบิล (จอห์น บทที่ 13) เล่าไว้ว่าพระเยซูทรงชำระตีนของเหล่าสาวก และขอให้สาวกชำระตีนของคนอื่นๆ
สาวกหลายคนเห็นว่าพระเยซูทรงลดฐานะของพระองค์เป็นเพียงข้าทาสต่ำต้อย แต่ความหมายของการชำระตีน-จูบตีนนั้นไปไกลกว่านั้นนัก การที่พระเยซูทรงชำระตีนผู้อื่นด้วยตัวพระองค์เองมิเพียงทลายกำแพงของฐานะความแตกต่างของมนุษย์ ยังเป็นสัญลักษณ์ของความเมตตา ความถ่อมตน การรับใช้ การละตัวตน เป็นการแสดงความรักของมนุษย์โดยก้าวพ้นเปลือกทั้งหลาย
พูดง่ายๆ คือมันเป็นเรื่องการชำระใจมากกว่าชำระตีน
บางทีคราวหน้าหากมีใครบอกว่ารักคุณ ลองบอกคนนั้นว่า “พิสูจน์ด้วยการจูบตีนของฉันก่อนสิ”
ในหลักพุทธก็เน้นความสำคัญของตีน การเดินจงกรมก็คือการรับรู้ทุกชั่วขณะของการย่างตีนออกไป แต่ละย่างก้าวก็คือสติคู่ลมหายใจ ตีนก็คือสมาธิ!
ปรมาจารย์เซน ติช นัท ฮันห์ กล่าวว่า ปาฏิหาริย์มิใช่การเดินบนน้ำ เหาะเหินเดินอากาศ ปาฏิหาริย์คือการเดินบนยอดหญ้า ณ ปัจจุบันขณะ คือชั่วเวลาที่ตีนของเราสัมผัสแผ่นดินนี่เอง
หลักวิชา Reflexology เชื่อว่า ตีนเป็นฐานรองรับชีวิต เส้นประสาททั้งหลายของทุกอวัยวะไปรวมกันที่ฝ่าตีน แต่ละส่วนของตีนสัมพันธ์กับอวัยวะหนึ่งๆ หรือต่อมหนึ่งๆ การนวดแต่ละส่วนของตีนจึงทำให้อวัยวะนั้นๆ ทำงานดีขึ้น
หลักวิชาบุคลิกภาพย้ำนักย้ำหนาว่า ส่วนสำคัญที่สุดของการแต่งตัวคือตีน! การสวมรองเท้าที่สะอาด ได้รูป แสดงว่าเจ้าของเป็นคนเสมอต้นเสมอปลาย ดูแลส่วนที่ดูไม่น่าจะสำคัญอย่างดี ขณะเดียวกันรองเท้าที่ดีช่วยทำให้การยืน เดิน ได้สัดส่วนพอ
ขำขันเรื่องหนึ่งซึ่งผมได้ยินมาตั้งแต่เด็กเล่าว่า หมอชนบทผู้หนึ่งกำลังสอนชาวบ้านวิธีช่วยชีวิตคนถูกงูพิษกัด ในกรณีที่อยู่ไกลโรงพยาบาล
หมออธิบายว่า “วิธีเอาพิษงูออกง่ายนิดเดียว หากถูกงูกัดที่แขน ก็ใช้ปากดูดพิษออกจากแขน แล้วบ้วนออก หากถูกกัดที่ท่อนขา ก็ให้ดูดพิษออกจากท่อนขา...”
“หากถูกกัดที่ส้นตีนล่ะ?”
“คุณก็จะรู้ว่าใครเป็นเพื่อนแท้ของคุณ