ผลการศึกษาพบว่า ปัจจัยเดียวที่ทำให้คู่รักอยู่ด้วยกันยืนยาวเกิน 4 ปีคือ การแบ่งปันความรู้สึกร่วมกัน ยิ่งแบ่งปันความรู้สึกให้กันและกันมากเท่าไร ก็ยิ่งครองรักกันเนิ่นนานเกิน 4 ปีมากเท่านั้น นอกจากนั้นยังมีผลการสำรวจระบุว่า เหตุผลใหญ่ที่ทำให้ชีวิตแต่งงานล้มเหลวก็คือ การที่สามีไร้ความสามารถในการแสดงความรู้สึก
ผู้ชายเป็นเพศที่ไม่ค่อยแสดงความรู้สึก และยิ่งให้พูดจาอธิบายถึงความในใจละก็...ยิ่งยากเข้าไปใหญ่ ดังนั้นเพื่อให้ความสัมพันธ์อยู่ยืนยาวต่อไปผู้หญิงจึงควรกระตุ้นให้ผู้ชายยอมเปิดใจด้วยการ
ให้เขารู้ว่าเราให้ความสำคัญกับการพูดคุยกัน
บอกเขาไปตรงๆเลยว่า เรารู้ว่าเขาอึดอัดที่จะพูดถึงความรู้สึกของตัวเองในตอนนี้ แต่ถ้าลองพยายามดูมันก็จะมีความหมายกับเรามาก แล้วอธิบายเหตุผลด้วย หรือไม่ก็หาหนังสือที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์มาให้เขาอ่าน เน้นเรื่องการสื่อสารกันระหว่างคนรัก
ให้รางวัลถึงแม้เขายอมเปิดปากแค่นิดหน่อย
ถ้าเขาพูดว่า เจ้านายของผมเป็นคนเฮงซวยมาก ยังไม่ถือว่าเป็นการเปิดใจ แต่ถ้าวันถัดมาเขาบอกว่า ไม่รู้สิ บางครั้งผมรู้สึกว่าเจ้านายไม่แฮปปี้กับผลงานของผมเลย นี่ละถือว่าเปิดใจแล้ว ดังนั้นควรแสดงให้เขารู้ว่าเราปลาบปลื้มยินดีมาก แต่ไม่ได้หมายความว่าให้กระโดดกอดคอเขาแล้วร้องกรี๊ดๆว่า ที่รักจ๋า! ในที่สุดคุณก็ยอมเปิดใจกับฉันแล้ว (เพราะถ้าโดนแบบนี้เขาจะปิดปากเงียบไปตลอดกาล) เทคนิคคือรับรู้สิ่งที่เขาพูดมาเป็นข้อมูลแต่อย่าทำเป็นเรื่องใหญ่เรื่องโต นั่นคือ หนึ่ง-ให้เขารู้ว่าการที่เปิดเผยความกลัวให้เรารับรู้ไม่ได้ทำให้เขาดูด้อยลงในสายตาเรา สอง-นี่คือเรื่องปกติ สาม-การเปิดใจกับเราเป็นอะไรที่เจ๋งมาก ดังนั้นสิ่งที่ควรพูดคือ เราคิดว่าใครๆก็ต้องกังวลเรื่องแบบนี้บ้างเหมือนกัน และอะไรทำให้เขาคิดแบบนั้น หลังจากนั้นปล่อยให้เขาระบายออกมา พอจบแล้วเราก็ปิดท้ายว่า เราดีใจที่เขาบอกเรื่องนี้ให้เรารู้ ทำให้เรารู้ว่าเขารู้สึกอย่างไร
ยิ่งผู้หญิงเปิดเผยมากเท่าไร เขาก็ยิ่งเปิดใจมากเท่านั้น
ถ้าเราสบายๆ กับการพูดถึงเรื่องที่น่าอาย หรืออะไรที่ทำให้เราดูงี่เง่านิดๆ เขาก็จะทำตามบ้าง
ถามเขาไปเลย
ถ้าคิดว่าเขากำลังกลุ้มกังวลกับเรื่องบางเรื่อง ก็ถามเขาไปเลยตรงๆ แล้วตั้งอกตั้งใจฟังคำตอบของเขาให้ดี หลังจากนั้นลองถามนำเขาด้วย เช่น เขารู้สึกอย่างไรในตอนนั้น โกรธ? สับสน? ผิดหวัง? ใช่ค่ะ นี่คือการเอาคำพูดมายัดใส่ปากเขา แต่มันก็คือการสอนให้ผู้ชายรู้จักพูดถึงความรู้สึกข้างในออกมา
อย่าเหมาว่าอาการเงียบคือการไม่ใส่ใจ
นี่คือความแตกต่างหลักๆ ระหว่างผู้ชายและผู้หญิง ผู้หญิงจะคิดออกมาดังๆ ในขณะที่ผู้ชายจะคิดอยู่ในหัวสมอง วันนี้ผู้ชายอาจพูดถึงปัญหาของตัวเองว่า เจ้านายจู้จี้น่ารำคาญจริงๆ หลังจากนั้นพอเวลาผ่านไปสักระยะเขาจะบอกทางออกของปัญหาเลย เช่น ตัดสินใจส่งใบสมัครงานกับบริษัทอื่นแล้ว ช่วงระหว่างกลางของปัญหาและทางออกนั้น เขาคิดทบทวนด้วยตัวเองเงียบๆ นั่นคือเหตุผลว่าทำไมเวลาขอคำแนะนำอะไรจากผู้ชาย เขาจะบอกว่าขอคิดดูก่อน เขาไม่ได้บอกปัดแต่นี่คือวิธีที่ผู้ชายจัดการกับปัญหา ในทางกลับกันผู้หญิงจะคิดออกมาดังๆ ซึ่งจริงๆ แล้วผู้หญิงชื่นชอบการเปิดเผยทุกความคิดที่อยู่ในหัวเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเล็กน้อยแค่ไหนก็ตาม ตัวอย่างเช่น ผู้หญิงจะพูดว่า เดี๋ยวฉันจะไปธนาคารก่อนแล้วค่อยไปซื้อของทีหลัง อุ้ย ไม่สิ ไปซื้อของก่อนแล้วไปธนาคารทีหลัง เพราะมันอยู่บนทางผ่าน อ้าวตายจริง เกือบลืมแน่ะ ฉันต้องแวะเอางานไปทิ้งให้ลูกค้า วันนี้วันเสาร์แท้ๆ ยังต้องทำงานอีกหรือนี่ เอ๊ะ แล้วกางเกงสีดำอยู่ที่ไหน...นี่ไงเจอแล้ว ที่รักจ๋าวันนี้อยากทานอะไรเป็นมื้อเย็น ฉันจะได้แวะซื้อเข้ามา ว่าไงจ้ะที่รัก ฉันรู้สึกเหมือนพูดอยู่คนเดียวเลยนะเนี่ย (ใช่เลย...พูดคนเดียวจริงๆ) และคำตอบที่ได้อาจจะเป็น เดี๋ยวอีกชั่วโมงจะโทรหา ซึ่งหมายความว่าเขาหวังว่าถึงตอนนั้นเธอคงเข้าประเด็นสำคัญแล้ว
ที่มา : บทความจาก msn