เจ้าของรางวัลตุ๊กตาทอง นักแสดงประกอบหญิงจากเรื่องขบวนเสรีจีน (2502) ลูกอีสาน (2525)
และรางวัลตลกหญิงยอดเยี่ยมจากเรื่องไม่สิ้นไร้ไฟสวาทในปี 2529
เมื่อ 20-30 ปีก่อนแฟนละครและภาพยนตร์รู้จักมักคุ้นดาราสาวแสนสวยเจ้าของนามศรินทิพย์ดี เธอเคยรับบทนำในภาพยนตร์หลายเรื่อง เช่น โรงแรมนรก ของ "รัตน์ เปสตันยี" คู่กับ "ชนะ ศรีอุบล" และ "สุรสิทธิ์ สัตยวงศ์" เธอมีชื่อจริงว่า "ไพลิน คอลลิน" เกิดที่ อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม เมื่อปี 2469 พ่อเป็นชาวเนเธอร์แลนด์ ส่วนแม่เป็นคนไทย จบการศึกษาจาก ร.ร.ผดุงดรุณี จากนั้นไปสมัครเป็นนักร้องวงดนตรีกรมสรรพสามิต จนได้พบรักกับ "ชาลี อินทรวิจิตร" นักแต่งเพลงชื่อดังแห่งยุค แต่งงานอยู่กินฉันสามีภรรยานับแต่นั้นเป็นต้นมา
ต่อมาชาลีได้พาภรรยาไปฝากฝังกับ "อรรถ อรรถไกวัลวจี" ผู้จัดการคณะละครเทพศิลป์ แล้วชักนำเข้าสู่วงการมายาตั้งชื่อให้ว่า "ศรินทิพย์ ศิริวรรณ" แสดงภาพยนตร์เรื่องแรกในปี 2497 ก่อนจะโลดแล่นอยู่บนแผ่นฟิล์มชั่วเวลาหนึ่ง ระยะหลังเธอหันมาแสดงละครโทรทัศน์ ด้วยเป็นดาราหน้าตาย ไม่ค่อยยิ้ม บทที่ได้รับส่วนใหญ่จะเป็นบทแม่ และบทบาทอันเป็นที่จดจำมากที่สุดเรื่องหนึ่ง คือ "หม่อมแม่" ของคุณชายกลางในเรื่องบ้านทรายทอง ฉบับ "จารุณี สุขสวัสดิ์-พอเจตน์ แก่นเพชร"
แต่แล้วในวัย 61 ปี จู่ๆ ศรินทิพย์ก็มาหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยระหว่างรับงานถ่ายแบบปฏิทินในปี 2530 "คม ชัด ลึก" ได้พูดคุยกับหลานสาวของศรินทิพย์ที่บ้านย่านรามคำแหง กรุงเทพฯ ได้ความว่า 2 ทุ่มเศษ วันที่ 2 ธันวาคม 2530 ศรินทิพย์นั่งแท็กซี่จากบ้านไปห้างสรรพสินค้าเดอะมอลล์ รามคำแหง เพื่อพบกับชายที่อ้างตัวว่าชื่อ "จำนงค์" เพื่อพูดคุยตกลงเรื่องค่าตัวในการถ่ายแบบปฏิทินปีใหม่ ซึ่งจำนงค์บอกกับเธอว่ามีดาราดังมาร่วมถ่ายแบบมากมาย และศรินทิพย์จะได้ค่าเหนื่อยราว 10,000 บาท
นี่คือข้อมูลที่สามีและคนในบ้านได้รับรู้ก่อนเธอจะหายตัวไป !?!
คืนนั้นศรินทิพย์ไม่ได้กลับบ้านและคนในบ้านก็ไม่ได้สนใจ เนื่องจากอาชีพนักแสดงการกินนอนอยู่ในกองถ่ายเป็นเรื่องปกติธรรมดา กระทั่งบ่ายวันรุ่งขึ้นทุกคนถึงได้รับรู้ถึงความผิดปกติ เมื่อ "กำธร ทัพคัลไลย" ผู้สร้างภาพยนตร์เรื่อง "อีจู้กู้ปู่ป้า" (ปัจจุบันล่วงลับไปแล้ว) ได้โทรศัพท์มาถามหาศรินทิพย์ เนื่องจากมีคิวถ่ายภาพยนตร์ตั้งแต่เช้า แต่เธอยังไม่มากองถ่ายจนต้องพักคิวถ่ายรอเธอแค่คนเดียว
ข้อเท็จจริงจากปากของผู้สร้างหนังทำให้คนที่บ้านร้อนใจมาก ทุกคนทราบดีว่าศรินทิพย์เป็นคนตรงต่อเวลา รักงานแสดงภาพยนตร์ ไม่มีทางที่เธอจะทำตัวเหลวไหลอย่างที่กำลังเกิดขึ้น ที่สำคัญไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนศรินทิพย์จะแจ้งข่าวความเคลื่อนไหวให้คนทางบ้าน ทราบตลอด ไม่เคยเงียบหายไปนานอย่างที่เป็นอยู่ ดังนั้น การหายตัวไปครั้งนี้จึงผิดปกติวิสัยจากที่เคยเป็น
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำเอา ชาลีสามีทุกข์ร้อนใจเหลือคณานับ ยิ่งสอบถามใครๆ ก็ไม่รู้จักจำนงค์ชายคนที่ว่าจ้างถ่ายแบบปฏิทิน ยังสร้างความร้อนรุ่มใจยิ่งขึ้น กระทั่ง 48 ชั่วโมงผ่านไปญาติจึงเข้าแจ้งความคนหาย หลังจากนั้นก็เริ่มตรวสอบไปตามบ้านญาติพี่น้อง เพื่อนสนิท รวมถึงโรงพยาบาลทุกแห่งทั่วกรุงเทพฯ และปริมณฑล สุดท้ายก็ไม่มีร่องรอยให้ติดตามค้นหาได้อีกต่อไป
เบื้องต้นตำรวจ สน.หัวหมาก สันนิษฐานว่าดารารุ่นใหญ่อาจถูกจับตัวไปเรียกค่าไถ่ แต่แล้วเมื่อเวลาเนิ่นนานออกไปก็ไม่พบการข่มขู่ หรือเรียกร้องค่าไถ่ใดๆ ทั้งสิ้น เมื่อประเด็นจับตัวไปเรียกค่าไถ่ตกไป ตำรวจก็มุ่งสอบประเด็นการงาน ความขัดแย้งส่วนตัว และชู้สาว เพื่อหาความเป็นไปได้ในการหายตัวไปในครั้งนี้ โดยคิดในแง่ร้ายที่สุดว่าอาจจะเป็นคดีฆาตกรรมอำพราง
ข่าวการหายตัวไปของศรินทิพย์ ศิริวรรณ เป็นข่างโด่งดังทางหน้าหนังสือพิมพ์ และส่งผลกระทบไปถึงวงการหนังไทย โดยเฉพาะเรื่องที่เธอรับงานแสดงเอาไว้และถ่ายค้างอยู่ บางเรื่องรอไม่ไหวต้องรื้อบทเปลี่ยนตัวแสดง ซึ่งนับเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง เพราะในเวลาต่อมาศรินทิพย์ก็ยังไม่ปรากฏตัวมาจนถึงทุกวันนี้
"มีข่าวหนาหูว่าป้าถูกอุ้มหายไปเพราะเป็นคนตรง พูดจาไม่ค่อยเข้าหูคน ครั้งหนึ่งเคยพูดถึงผู้ใหญ่ในวงการบันเทิงคนหนึ่ง ซึ่งอาจเป็นสาเหตุให้ป้าถูกอุ้มหายไปก็ได้"
ระหว่างการรอคอยของญาติพี่น้องและครอบครัว จากวันเป็นเดือนจากเดือนเป็นปี มีข่าวลือกระเซ็นกระสายออกมาอยู่เป็นระยะๆ ว่ามีคนพบเห็นเธออยู่ที่โน่นบ้างที่นั่นบ้าง แม้จะเป็นความหวังอันน้อยนิดและริบหรี่ ญาติพี่น้องก็ไปสืบหาตามเบาะแสที่ได้ ทว่าสุดท้ายข่าวลือก็เป็นเพียงข่าวลือ คือ ไม่มีมูลความจริง ศรินทิพย์ยังคงเป็นเงาให้ผู้คนติดตามค้นหา กระทั่งผ่านไป 7 ปี วันที่ 2 ธันวาคม 2537 ทางการก็จัดให้เธอเป็นบุคคลหายสาบสูญถาวร
"แรกๆ ยังมีความหวังอยู่ พอนานๆ ไปก็เริ่มหมดหวัง จน 20 ปีให้หลังเราก็ไม่เหลือความหวังอะไรอีกแล้ว โชคดีหน่อยที่ปัจจุบันมีการทำซีดีหนังที่ป้าเคยแสดงออกมาจำหน่าย เราเลยได้เห็นผลงานป้าบนแผ่นฟิล์มอีกครั้ง ก็ยังดีนะที่คนยังจำป้ากันได้อยู่" หลานสาวในวัย 35 ปีกล่าว
เรื่องราวชีวิตที่ยากลำบากของ "ศรินทิพย์ ศิริวรรณ" ช่วงปี 2486-2487 ก่อนจะได้พบกับ "ชาลี อินทรวิจิตร" เคยถูกสร้างเป็นละครวิทยุจนโด่งดังเรื่อง "ม่านน้ำตา" และนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์กำกับโดยเนรมิต นำแสดงโดย "เพชรา เชาวราษฎร์" รับบทเป็นศรินทิพย์, วิไลวรรณ วัฒนพานิช รับบทเป็นแม่ และ "อนุชา รัตนมาลย์" รับบทสามีเก่าของศรินทิพย์ เข้าฉายที่โรงภาพยนตร์คาเธ่ย์ เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2505 ปรากฏว่า อำนวย กลัสนิมิ และศรินทิพย์ถูกสามีเก่าของเธอฟ้องหมิ่นประมาทจนเป็นเรื่องราวโด่งดัง คดีนี้จบลงโดยศาลไกล่เกลี่ย ผู้กำกับยินยอมประกาศขอขมาทางหน้าหนังสือพิมพ์ จากเหตุการณ์ครั้งนั้น "ชาลี อินทรวิจิตร" ได้แต่งเพลงชื่อ "ไม่อยากให้โลกนี้มีความรัก" ขับร้องโดย "สวลี ผกาพันธุ์"
ศรินทิพย์หายตัวไประหว่าง การถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง "อีจู้กู้ปู่ป้า" ของ "กำธร ทัพคัลไลย" เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2530 จนถึงปัจจุบันยังไม่พบตัว หลังเหตุการณ์ครั้งนั้น "ชาลี อินทรวิจิตร" ได้แต่งเพลงเพื่อระลึกถึง โดยใช้ทำนองเพลง Aubrey ของ เดวิด เกตส์ แห่งวง Bread ใช้ชื่อเพลงว่า "เมื่อเธอจากฉันไป" ขับร้องโดย "พรพิมล ธรรมสาร" ต่อมานำมาขับร้องใหม่โดย "อรวี สัจจานนท์"
"แรกๆ ยังมีความหวังอยู่ พอนานๆ ไปก็เริ่มหมดหวัง จน 20 ปีให้หลังเราก็ไม่เหลือความหวังอะไรอีกแล้ว โชคดีที่ปัจจุบันมีซีดีหนังที่ป้าเคยแสดงออกมาจำหน่าย เราเลยได้เห็นผลงานป้าบนแผ่นฟิล์มอีกครั้ง"
บทความจากคมชัดลึก
รูปจากโอเคเนชั่น