พระผู้ทรงอภิญญา รู้ภาษาสัตว์และภาษาคนได้ทุกชาติทุกภาษา
หลวงปู่สีโห เหมโก
พระผู้ทรงอภิญญา รู้ภาษาสัตว์และคนได้ทุกชาติทุกภาษา
เปิดตำนานพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์องค์สำคัญของอยุธยา ถึง ๒ องค์
คือ หลวงพ่อวัดมงคลบพิตร และหลวงพ่อโต วัดพนัญเชิง
เปิดเผยความจริงจากตำนาน เจ้าแม่สร้อยดอกหมาก วัดพนัญเชิง
มีอายุก่อนสร้างกรุงศรีอยุธยาถึง ๓๐๐ ปี
หลวงปู่สีโห เหมโก ท่านเป็นศิษย์ใกล้ชิดของพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต
ท่านเป็นพระธุดงค์ผู้ทรงคุณวิเศษยิ่งใหญ่องค์หนึ่ง ประสบการณ์การธุดงค์
ของท่าน ได้พบกับสัตว์ร้าย สิ่งเร้นลับและตำนานของพระพุทธรูปที่สำคัญ
และศักดิ์สิทธิ์ถึง ๒ องค์ ที่สร้างก่อนสร้างกรุงศรีอยุธยาถึง ๓๐๐ ปี และ
ตำนานประวัติที่แท้จริงของพระเจ้าสายน้ำผึ้งและเจ้าแม่สร้อยดอกหมาก
แห่งวัดพนัญเชิง จ.พระนครศรีอยุธยา
หลวงปู่สีโห เหมโก ท่านเป็นพระผู้ศักดิ์สิทธิ์ เคร่งครัดในพระธรรมวินัย
อย่างยิ่งยวดและชอบรุกขมูล ไม่ชอบอยู่วัดวาอาราม ท่านรักที่จะอยู่
ตามป่าช้า ตามถ้ำในป่าเปลี่ยว สถานที่วิเวกแวดล้อมไปด้วยสัตว์ร้าย
นานาและไข้ป่า มุ่งมั่นอยู่ในมรรคกระแสพระนิพพานเต็มตัว ไม่วอก
แวกไปทางอื่น
ที่ท่านไม่ชอบอยู่ตามวัดเพราะไม่ชอบคลุกคลีกับชาวบ้าน ทำให้ใกล้
ความประมาท เป็นเหตุให้กิเลสกำเริบและเข้าไปเกาะจิตวิญญาณ
ผู้เขียน(สิทธา เชตวัน) ได้รู้จักกับพระอาจารย์ยี่หลก ศิษย์ก้นกุฏิของ
หลวงปู่สีโห ท่านได้ถ่ายทอดเรื่องราวของหลวงปู่ให้ฟัง
พระอาจารย์ยี่หลก ท่านเป็นพระธุดงค์ที่มีญาณแก่กล้า เคยธุดงค์ไป
แต่ลำพังผู้เดียวทั่วภาคอิสาน ภาคเหนือ แล้วข้ามเขตเข้าไปในพม่า
และลาวมาแล้ว ท่านเป็นพระผู้มีวาจาสิทธิ์ น่าเลื่อมใส
ดังนั้น เรื่องราวต่อไปนี้ จึงยืนยันได้ว่าเป็นเรื่องจริงทุกประการ
ประมาณปี พ.ศ.๒๔๗๓ พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ได้ให้พระอาจารย์สิงห์
ขันตยาคโม นำพระภิกษุสามเณรจำนวนมากจัดเป็นกองทัพธรรม
ออกเผยแพร่ธรรม สมัยนั้น หลวงปู่สีโห ยังหนุ่มแน่น แต่ก็มีชื่อเสียง
ในทางกรรมฐานมาก ได้รับการยกย่องจากพระอาจารย์มั่น
หลวงปู่พร้อมพระธุดงค์ ๕-๖ รูป ได้ไปปักกลดอยู่ที่ป่าช้าแห่งหนึ่ง
ในอำเภอมัญจาคีรี ยังความไม่พอใจให้แก่ชาวบ้านในละแวกนั้นเป็นอย่างยิ่ง
เพราะชาวบ้านเขานับถือผี ไม่เคารพเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา
เห็นพระเป็นศัตรูไปหมด เพราะเป็นที่เลื่องลือในสมัยนั้นว่า คณะพระธุดงค์
ชอบทำลายศาลปู่ตา ที่สถิตย์ของผีสางที่ชาวบ้านเคารพกราบไหว้บูชา
เพื่อให้ชาวบ้านหันมานับถือพระสงฆ์องค์เจ้า
ศาลปู่ตา ที่ป่าช้าหมู่บ้านแห่งนั้นดุร้ายมาก ชาวบ้านผ่านไปมาทำอะไรผิด
แม้เล็กน้อย เป็นต้นว่าขาดการให้ความเคารพนบไหว้บ้าง ไปเก็บเห็ดเก็บ
ผักในป่าลืมบอกบ้าง ถ่ายปัสสาวะบ้าง หรือทำต้นไม่ในเขตศาลหักบ้าง
มักจะถูกผีทำโทษ ให้เจ็บป่วยถึงตาย สร้างความเกรงกลัวให้แก่ชาวบ้าน
สืบทอดกันมาหลายชั่วคน
หลวงปู่สีโห รู้สึกสลดสังเวชที่ชาวบ้านหลงผิดไปนับถือผี มีความเกรงกลัว
แบบไร้สาระ ต้องฆ่าหมูเห็ดเป็ดไก่ไปสังเวยเซ่นสรวงกันไม่ขาด เป็นการ
ทำลายชีวิตสัตว์น่าอนาถนัก
ซ้ำยังทำให้ชาวบ้านขาดศีลธรรม เพราะไม่มีผู้ชี้ทาง ให้ข้ออรรถข้อธรรม
สั่งสอนอบรมกล่อมเกลากมลสันดานให้รู้จักผิดถูก ให้รู้จักเมตตาปราณี
เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
ชาวบ้านมีแต่การมั่วสุมในอบายมุข กินเหล้าเมายา เล่นการพนัน เมื่อผิดใจ
ก็ตีรันฟันแทงกันถึงล้มตาย เป็นคนโหดร้ายทั้งชายทั้งหญิง
ชีวิตของพวกเขาน่าสงสารแท้ เมื่อตายแล้วหนทางไปคืออบายภูมิ มีนรกเป็น
แดนเกิดเป็นแม่นมั่น หลวงปู่ท่านมีจิตเมตตาคิดอยากจะช่วยฉุดพวกเขาจาก
ทางแห่งอบายภูมิ จึงได้พาพระธุดงค์ในคณะตรงไปยังศาลปู่ตา อันเฮี้ยนและ
มีฤทธิ์ในทางชั่วร้ายแห่งนั้น แล้วช่วยกันรื้อทำลายลงจนราบคาบไม่มีชิ้นดี
การกระทำของคณะพระธุดงค์ สร้างความโกรธแค้นให้แก่ชาวบ้านเป็นอย่างยิ่ง
เพราะถือว่าไปทำลายล้างความเชื่อถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขา
ปรากฏว่าในตอนกลางคืนวันนั้น ผีปู่ตาได้อาละวาดครั้งใหญ่
ชาวบ้านไม่ได้หลับได้นอน ด้วยว่ามีเสียงประหลาดได้วิ่งเข้าไปในหมู่บ้าน
เสียงดังสนั่นหวั่นไหว คล้ายกับมีฝูงวัวฝูงควายนับร้อยนับพันตัววิ่งเข้าไปใน
หมู่บ้านฝุ่นคลุ้งไปหมด แต่มองไม่เห็นตัว หมาในหมู่บ้านส่งเสียงเห่าหอน
และร้อยอี๊ดๆ หางจุกก้นแสดงความเกรงกลัวในเสียงประหลาดที่มนุษย์
มองไม่เห็น ชาวบ้านรู้ดีว่าเป็นขบวนผีปู่ตาอาละวาด เพราะถูกคณะพระธุดงค์
ทำลายศาล นอกจากเสียงวิ่งแตกตื่นปานหมู่บ้านจะถล่มแล้ว ยังปรากฏเสียง
ร้องห่มร้องไห้กันระงม ทั้งลูกเด็กเล็กแดง เป็นทำนองพร่ำรำพันว่าบ้านช่อง
ถูกทำลาย แล้วพวกตนจะไปอยู่ที่ไหน ได้รับความเดือดร้อนลำบาก บ้านแตก
สาแหรกขาด เลือดตาแทบกระเด็น ชาวบ้านจะต้องได้รับการแก้แค้นในครั้งนี้
เสียงร่ำไห้โหยหวนรำพันเหล่านี้คือเสียงของฝูงผีนั่นเอง
ข้อมูลจากหนังสือในเครือโลกทิพย์
หนังสือทิพย์ ตายแล้วไปไหนเล่มที่ ๑๕
ตอน ปราบผีศาลปู่ตา ๒
ขอย้อนเรื่องเดิม นอกจากเสียงวิ่งแตกตื่นปานหมู่บ้านจะถล่มแล้ว
ยังปรากฏเสียงร้องห่มร้องไห้กันระงม ทั้งลูกเด็กเล็กแดงเป็นทำนองพร่ำรำพัน
ว่าบ้านช่องถูกทำลายแล้วพวกตนจะไปอยู่ที่ไหน ได้รับความเดือนร้อนลำบาก
บ้านแตกสาแหรกขาด เลือดตาแทบกระเด็นชาวบ้านจะต้องได้รับการแก้แค้น
ในครั้งนี้ เสียงรำไห้โหยหวนรำพันเหล่านี้คือเสียงของฝูงผีนั่นเอง
รุ่งเช้าชาวบ้านล้วนชายฉกรรจ์ หมู่หนึ่ง ได้ยกขบวนกันมาที่ป่าช้า
ทุกคนถือปืนแก๊ปคาบศิลากันคนละกระบอก ด้วยความโกรธแค้น
มุ่งจะมาฆ่าหลวงปู่สีโห พอมาถึงได้ระยะเผาขนก็ตะโกนด่าอย่างหยาบคาย
ต่ำช้าต่างๆ นาๆ แล้วยกปืนขึ้นเล็ง แล้วยิงมายังหลวงปู่สีโหและคณะ
พร้อมกันทุกกระบอก
ปรากฏว่าปืนยิงไม่ออกสักกระบอกเดียว เมื่อปืนยิงไม่ออกชาวบ้านก็ตกใจ
จึงพากันโยนปืนทิ้ง แล้วชักดาบออกมาจะวิ่งเข้าไปฟาดฟันหลวงปู่
และพระที่ร่วมเดินทาง ก็ปรากฏเหตุอัศจรรย์ ปรากฏว่าทุกคนก้าวขาไม่ออก
คล้ายมีก้อนหินหนักอึ้งถ่วงที่เท้า ต่างก็ดิ้นรนกันไปมา
หูตาเหลือกด้วยความตกใจและก็พากันล้มลง
เมื่อเจอกับอภินิหารของหลวงปู่สีโห เช่นนั้น คนเหล่านั้นก็พากันหวาดกลัว
กันจนตัวสั่น หน้าซีดเหมือนผีตาย พากันร้องอ้อนวอนขอขมาลาโทษ
หลวงปู่สีโหท่านมีจิตเมตตา ไม่เคยนึกพยาบาทจองเวรผู้ใด
จึงถอนพลังกระแสจิตด้วยอำนาจอิทธิฤทธิ์อภิญญา
ทำให้คนเหล่านั้นสามารถลุกขึ้นเดินได้เป็นปกติ
ก็เข้ามากราบนมัสการแทบเท้าของหลวงปู่และคณะสงฆ์
หลวงปู่ได้เมตตาอบรมธรรมะให้ฟังอย่างง่ายๆ แต่ทว่ามีข้ออรรถข้อธรรม
ลึกซึ้งกินใจ มองเห็นอะไรผิดอะไรถูก เห็นทางนรก และทางสวรรค์ ชัดแจ้ง
ดุจคนเรามองดูเงาตนเองในน้ำแล้วเห็นเงา ฉะนั้น
คนเหล่านั้นก็มีน้ำตาใหลออกมาด้วยความสำนึกผิดชอบชั่วดี
จากนั้นหลวงปู่สีโห ได้ให้พวกเขาไปหาบเอาทรายมา
แล้วท่านได้เสกคาถาปราบผี ให้เอาทรายไปหว่านทั่วบริเวณหมู่บ้าน
ปรากฏว่าคืนนั้นเหตุการณ์สงบร่มเย็นดี ไม่มีผียกขบวนวิ่งเข้ามาในหมู่บ้าน
ให้หมูหมาแตกตื่นเห่าหอนแต่อย่างใดเลย เป็นที่น่าอัศจรรย์
ชาวบ้านได้พากันมากราบไหว้หลวงปู่และนำข้าวปลาอาหารมาถวายมากมาย
และยังได้นิมนต์ให้ท่านอยู่ด้วย เพื่อเป็นหลักสรณะที่พึ่ง โดยจะสร้างวัดถวายด้วยแรงศรัทธา
หลวงปู่สีโหท่านได้ให้พระธุดงค์ในคณะ ๒ รูป อยู่ที่หมู่บ้านแห่งนี้เพื่อเจริญศรัทธา
และช่วยชาวบ้านสร้างวัดป่าสาลวันขึ้น ตามนโยบายเผยแพร่ธรรมะของพระพุทธองค์
เพื่อที่ชาวบ้านจะได้ส่งบุตรหลานบวชเรียนบำเพ็ญศีลปฏิบัติธรรม ให้พระศาสนาเจริญ แพร่หลายออกไป
ข้อมูลจากหนังสือในเครือโลกทิพย์
หนังสือทิพย์ ตายแล้วไปไหนเล่มที่ ๑๕