บทลงโทษที่บางเบา ทำเชื้อชั่วระบาด...

 

                ในปัจจุบัน ผู้คนในสังคมอยู่ที่สภาพที่ตกต่ำทางด้านศีลธรรม คดีอาชญากรรมเกิดขึ้นมากกว่าในอดีตมาก คดีฆ่าข่มขืนมีให้เห็นทุกวันในหน้าหนังสือพิมพ์ การคดีลักขโมย งัดแงะแทบไม่เป็นข่าวเพราะมากเกินรายงาน ที่ถึงขั้นเป็นข่าวก็ไปขัดแงะ ลักขโมยสายไฟฟ้าของวัด ข่าวโจรกรรมพระพุทธรูปประจำวัดดังๆ อาจมีการทำร้ายหรือฆ่าพระก็ยังกลายเป็นข่าวกรอบเล็กไปเสียแล้ว 

                  การคอรัปชั่น การตัดไม้ทำลายป่ายังไม่มีทีท่าว่าจะลดลง การจ้างมือปืนฆ่าคู่แบ่งทางการเมือง ซึ่งคดีอย่างนี้ตำรวจมักจับผู้ก่อเหตุไม่ค่อยได้ เพราะอะไร เพราะตำรวจดีๆเก่งๆเริ่มน้อยลง หรือเพราะสภาพแวดล้อมในองค์กรไม่อำนวย

                    สิ่งหนึ่งที่สำคัญ คือ บทลงโทษไม่เป็นยำเกรงของอาชญากรในยุคปัจจุบัน รวมไปถึงการบังคับใช้กฏหมายไม่มีประสิทธิภาพ เมืองไทยจึงเป็นสวรรค์ของอาชญากร นักจารกรรม มิชฉาชีพระดับสากล ทั้งผิวดำ ผิวขาว แขกอาหรับ แก๊งลูกหมู จนกระทั้งโจรท้องถิ่น ต่างก็ไม่ยี่ระต่อพระบวนการยุติธรรมของไทย อันนี้เราต้องกลับมาทบทวนวิธีคิด หลักการควบคุมคนไม่ดี วิธีจัดระเบียบสังคมที่เหมาะสมกับพฤติกรรมของผู้คนในสังคมปัจจุบันกันใหม่

 

            

               คนไทยใจบุญ ลืมง่าย เชื่อเรื่องเวรกรรม จึงเป็นจุดอ่อนในการควบคุมจัดระเบียบสังคมให้สงบ จะเรียกว่า อ่อนแอก็ไม่ผิด ตัวอย่างประเทศเพื่อนบ้านที่คดีลักเล็กขโมยน้อยแทบไม่มี คือ "มาเลเซีย" โทษของการลักขโมย บนเกาะลังกาวี ถ้าเป็นอดีตโทษคือ "ตัดข้อมือทิ้ง" เด็ดขาดและโหดเหี้ยม แม้ภายหลัง 20 ปี มานี้ เพิ่งเปลี่ยนแปลง เพราะเขาเห็นว่า เป็นการสร้างภาระให่รัฐบาลที่จะต้องเลี้ยงดูคนพิการเหล่านี้ หลังจากถูกลงโทษ จึงได้ปรับโทษลดลง โดยการเลาะ ถอดเล็บนิ้วมือกันสดๆทั้งสิบนิ้ว แล้วเอามือไปแช่น้ำเกลือ ให้เข็ดหลาบไปตลอดชีวิต นี่คือต้นตอ ของคดีลักขโมย ที่น้อยมากในมาเลเซีย   

 

 

            อย่างตะวันออกกลางในบางประเทศ สำหรับคดีข่มขืน เขาจะตัดเจ้าโลกทิ้ง ต่อหน้าสาะารณะชน เพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่าง และหากเป็นการข่มขืนแล้วฆ่า โทษของเขาคือประหารด้วยการยิงทิ้ง ประจานต่อหน้าสาธารณชนเลย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ต้องผ่านการกระบวนการสืบสวนสอบสวน และพิพากษาของศาลยุติธรรม ผิดกับบ้านเรา ที่ความยำเกรงกลับไปอยู่ที่ระบบศาลเตี้ยมากกว่าศาลยุติธรรม เพราะจำเลยไม่มีโอกาสต่อสู้ เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์

 

                     โดยเฉพาะคดีทางการเมืองในเมืองไทยเรา แทบไม่ยำเกรงเลย เพราะสามารถโอกาสวิ่งเต้นจนรอดจากเงื้อมมือกฏหมาย แปรผันตามอำนาจทางการเมืองของพวกพ้อง จึงคุ้มค่าสำหรับการเสี่ยงเพื่อกระทำผิดกฏหมายเป็นอย่างยิ่ง

                    ทำไม พวกอดีตเคจีบี พวกแก๊งอาชญากรรมทั่วโลก จึงใช้ไทยเป็นแหล่งกบดาน ทำไมเขามองบ้าเราเป็นสวรรค์ คงไม่ใช่เรามีกฏหมายเด็ดขาด หรือเจ้าหน้าที่เข้มแข็งแน่นอน

                     ทำไมพวกนี้ไม่ไปกบดานเมืองจีน เขมร มาเลเซีย หรือเวียดนาม เพราะมันไม่ได้กินหญ้า มันรู้บ้านเรา สะดวกโยธินที่สุด แค่อย่าไปขัดกับตอ ขัดกับเจ้าถิ่นก็พอ

                     ในด้านกฏหมายที่ใช้ควบคุมนักการเมืองหรือข้าราชการระดับสูง ถ้าเปรียบเทียบกับประเทศจีน หรือประเทศมาเลเซีย เหมือนไม้เรียวกับมีดอีโต้ ของจีนข้าราชการระดับสูงคอรัั่นแค่สี่แสน ก็โทษประหารชีวิตทันที มาเลเซียแค่ทำตัวเป็นปรปักษ์ บั่นทอนความมั่นคงของรัฐบาล ระดับรองนายกฯถูกกุมขังทันที

                    ในขณะที่บ้านเรา คดีล้มล้างสถาบันฯ คดีล้มล้างระบอบการปกครอง คดีก่อการร้าย เผาบ้านเผาเมือง กลับมีความพยายาม นิรโทษกรรม เพื่อประโยชน์ของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเท่านั้น แล้ว...หน้าไหนจะรับประกันได้ ว่า มันจะไม่เกิดซ้ำอีก

                     การกระทำตนเป็น "ถาดปลาเน่าบนแผงปลา"ในการเสนอ ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม โดยมีนัยทางการเมือง ของกลุ่มคนเหล่านี้ ถือเป็นอุปสรรคในการพัฒนาทางการเมืองของประเทศอย่างแท้จริง ยามนี้ สถาบันนิติบัญญัติหรือสภาผู้แทนราษฎร แทบจะหมดสภาพการเป็นผู้ทรงเกียรติเพราะกลุ่มคนเหล่านี้ "สิ่งที่ควรทำกลับไม่ทำ ที่ไม่ควรทำกลับทำ" มีกฏหมายดีๆที่เป็นประโยชน์ส่วนรวมกับไม่รีบพิจารณา กลับไปทำเรื่องที่เป็นประโยชน์ทางการเมืองเฉพาะกลุ่มของตน  

 

 

 

 

 

                

 

              ถึงเวลาแล้วหรือยัง ที่เราต้องกลับมาทบทวน ว่า "กระบวนการยุติธรรมหรือบทลงโทษในกฏหมายไทย มันสามารถควบคุมคนชั่ว ปกป้องคนดีได้หรือเปล่า" การที่จะควบคุมพฤติกรรมคนชั่ว หรือคนเลวในสังคม ให้หยุดการกระทำชั่วหรือกลับตัวเป็นคนดีได้นั้น นอกจากการสาเหตุจากปัญหาสภาพสังคม ที่แบ่งชนชั้น ช่องว่างระหว่างสังคม ระบบเศรษฐกิจที่ไม่เอื้อให้คนที่ยากจน ด้อยโอกาสทางสังคม ให้สามารถยืนหยัดอย่างเข้มแข็งในสังคมได้แล้ว  อีกส่วนหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ ก็คือ คือบทลงโทษที่เบาบาง ไม่รุนแรง ไม่น่ายำเกรง ทำชั่วที่สุด รุนแรงที่สุด โทษก็แค่ ถูกฉีดยาพิษให้หลับตลอดกาล  ดูเหมือนเป็นรางวัลชีวิต สำหรับเดนคนมากกว่า

               การกลับไปศึกษาอดีตอันรุ่งโรจน์ ในการปกครองบ้านเมืองของผู้ปกครองในอดีต ก็เป็นอีกหนทางหนึ่งในการควบคุมพฤติกรรมคนไม่ดี ให้อยู่ในลู่ในกรอบแนวทางของพลเมืองดีในสังคม ผู้เขียนมิได้ต้องการให้ รัฐบาล กลับไปใช้"พระไอยการกระบถศึก" ที่โหดเหี้ยมและป่าเถื่อน แต่อยากให้รัฐบาลหาวิธีปกป้องคนดี โดยควบคุมคนชั่ว สร้างความยำเกรงในกฏหมายบ้านเมืองในบริบทแบบไทยๆ อย่าปล่อยให้บ้านเมืองไร้ระเบียบ เหมือนไม่มีขื่อมีแปร เหมือนเชื้อโรคที่ดื้อยา จนประชาชนหวาดผวาแบบนี้อีดเลย ช่างมันเถอะอียู มองข้ามบ้างนักสิทธิมนุษยชน เอ็นจีโอ ที่ไม่สามารถช่วยเหลือเราได้ เวลาบ้านเมืองเราย่ำแย่ มีแต่ไทยเรากันเองนี่แหละที่ช่วยป้อนน้ำ ป้อนยาเวลาเจ็บป่วย นี่กำลังจะตาย ขอเวลานอกบ้าง.. ไว้แข็งแรงก่อน ค่อยว่ากันอีกที. 

                     

 

             

 

 

 

 

                                                  

 

 

 

 

 

 "พระไอยการกระบถศึก" กับบทลงโทษประหารชีวิต

             

       "พระไอยการกระบถศึก" ถือเป็นกลไกสำคัญในลักษณะพระเดช ของผู้ปกครองสยามในอดีต สามารถปกครองบ้านเมืองได้สงบอย่างยาวนาน แม้แต่คนต่างชาติก็ยังเกรงกลัว ไม่กล้าทำอะไรที่เกินเลยกว่า 400 ปี                                                            

Credit: ศณีรา
22 ธ.ค. 53 เวลา 15:16 7,355 35 346
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...