7 แผนร้ายเปลี่ยนโลกที่เกิดขึ้นจริง!!

 

 

 

พวกเรารักทฤษฏีสมคบคิด พวกเราชอบทฤษฏีลอบสังหารจอห์น เอฟ เคนนาดี้ แล้วเชื่อมโยงไปยังแอเรีย 51 ก่อนที่จะถูกรัฐบาลออกมาบอกว่า “มันไม่จริง” ใช่นี้คือเรื่องหลายเรื่องที่เรารู้จักกันดี แต่อันดับต่อไปนี้เป็น 7 แผนร้ายที่บุคคลกลุ่มหนึ่งสมคบคิดที่วางแผนเพื่อให้มันเป็นจริงเพื่อเปลี่ยนโลกใบนี้.....

 

7. Business Plot

 

“แผงผังลับธุรกิจ”(หรือเรียกอีกอย่างว่าแผนกบฏคิดมิดีมิร้าย Plot Against FDR และ White House Putsch) เป็นกลุ่มสมรู้ร่วมคิดทางการเมืองในปี 1930 ที่อ้างว่ามีนักธุรกิจนายทุนแบงค์มั่งคั่งประกอบด้วยเซลแบงค์, จีเอ็ม, กู๊ดเยียร์, สแตนดาร์ดออย (บริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ที่ทรงอิทธิพลของโลก) มารวมตัวกันวางแผนต้องการสร้างลัทธิฟาสซิสต์ในองค์กรทหารผ่านศึกเพื่อใช้ในรัฐประหารเพื่อโค่นล้มประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาแฟรงกลิน ดี รูสเวลส์

สำหรับสาเหตุที่มีคิดแผนการเช่นนี้ก็เนื่องจากในช่วงนั้นเศรษฐกิจสหรัฐตกต่ำ ทำให้มีความคิดยึดอำนาจเพื่อต้องการให้ประเทศนำเงินดอลล่าร์ผูกติดค่าทองคำ เพราะว่าหากปล่อยไว้เงินตรามากมายที่พวกตนมีอยู่จะกลายเป็นเงินเฟ้อกลายเป็นกระดาษที่ไร้ค่า

แผนการดังกล่าวคือการชักชวนอดีตนายพลบีตเลอร์ (Smedley Darlington Butler, retired U.S. Marine Corps MajorGeneral)ซึ่งเป็นนายทหารที่ได้รับยกย่องว่ามีความกล้าหาญและมีความสามารถในการรบนับไม่ท้วน และมีพลังอำนาจในการบัญชาการองค์กรทหารผ่านศึก ให้นำทหารผ่านศึกจำนวน 500,000 คนเข้าไปในพื้นที่ทำเนียบขาวในกรุงวอชิงตัน ดีซี เพื่ออ้างว่าเพื่อปกป้องประธานาธิบดีจากการรัฐประหาร(พล็อตนี้เอามาใช้ในหนังเรื่อง XxX )

แผนนี้ใกล้จะประสบผลสำเร็จหากแต่ ในปี 1930 อดีตนายพลบีตเลอร์ ฃที่พวกเขาคิดว่าเป็นหนึ่งในมิตรของกลุ่ม กลับไม่ใช่แฟนของฟาสซิสต์ เขาเป็นรักชาติ และสับสนุนแฟรงกลิน เขาเลยออกมาแฉพฤติกรรมของกลุ่ม ตอนแรกผู้เกี่ยวของกลุ่มที่โดนแฉออกมาปฏิเสธหากแต่หลังจากสืบหาหลักฐานพบว่าเป็นจริง แต่กระนั้นผลสุดท้ายก็ไม่มีใครได้รับการดำเนินคดี นิวยอร์กไทน์ได้ออกมาขนานนามแผนการนี้ว่า “เป็นเล่ห์เหลี่ยมขนาดยักษ์”

 

 

6. The July 20 Plot

  

เมื่อสถานการณ์สงครามโลกใกล้สิ้นสุดลง กองทัพนาซีเยอรมันใกล้พ่ายแพ้ แต่ฮิตเลอร์ผู้นำเยอรมันขณะนั้นยั้งดื้อดึงที่จะทำสงครามต่อ พันเอกเคานท์ เคลาส์ ฟอน ชเตาเฟนแบร์ก(Claus Schenk Graf von Stauffenberg) ถูกคัดเลือกเพื่อเข้าร่วมสมคบคิดสังหารฮิตเลอร์ในปี 1944

ใช่นี้คือเรื่องจริงและถูกสร้างเป็นหนังหลายครั้ง แผนนี้มีชื่อว่า “แผนลับ 20 กรกฎาคม” เป็นแผนการลอบสังหารอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ภายใน "รังหมาป่า" (กองบัญชาการภาคสนามใกล้กับเมืองรัสเทนบูร์ก แคว้นปรัสเซียตะวันออก) เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม ค.ศ. 1944 แผนการดังกล่าวเป็นความพยายามของขบวนการกู้ชาติเยอรมนี เพื่อที่จะทำลายการปกครองของนาซี

ในตอนนั้นกลุ่มสมคบคิดทางทหารมีอยู่หลายกลุ่มตั้งแต่กลุ่มพลเรือน นักการเมืองและเหล่าปัญญาชน และในสมาคมลับอื่น ๆ ทั้งหมดต่อต้านฮิตเลอร์และอยากให้ฮิตเลอร์ตาย ซึ่งก่อนหน้าวันที่ 20 กรกฎาคม ค.ศ. 1944 นั้นมีความพยายามที่จะลอบสังหารฮิตเลอร์หลายครั้งแต่ไม่สำเร็จ ทำให้การลอบสังหารฮิตเลอร์เริ่มยากขึ้น ฮิตเลอร์เริ่มที่จะไม่ปรากฏตัวต่อสาธารณะและไม่ไว้ใจคนอื่น และใช้เวลาส่วนใหญ่ที่ "รังหมาป่า" โดยมีการคุ้มกันอย่างแน่นหนายิ่งกว่าเดิม

แต่กระนั้นกลุ่มสมคบคิดก็ไม่ลดละพวกเขาได้ติดต่อ พันเอกเคานท์ เคลาส์ ฟอน ชเตาเฟนแบร์กซึ่งเป็นหนึ่งในสมาชิกสมคบคิดเข้าไปใกล้ชิตฮิตเลอร์และสังหารเขาด้วยระเบิดแผนการของสเตาฟเฟนเบิร์ก คือ การวางกระเป๋าใส่เอกสารบรรจุระเบิดไว้ในห้องประชุมของฮิตเลอร์ ก่อนจะถอนตัวออกจากการประชุม รอจนเกิดการระเบิดขึ้น และบินกลับไปยังกรุงเบอร์ลินและเข้าร่วมกับผู้ก่อการคนอื่นและทำการควบคุมเยอรมนีทั้งหมด และคณะผู้นำนาซีทั้งหมดก็จะถูกจับกุม และสงครามโกกครั้งที่ 2 จะจบลงอย่างรวดเร็ว และคนนับล้านจะไม่ตายอีก และกลายเป็นหน้าหนึ่งที่ประวัติศาสตร์จะต้องจารึกไว้

ใช่แผนน่าจะสำเร็จโดยง่ายดาย แต่ปัญหาคือแผนการทั้งหมดนี้ต้องให้ฮิตเลอร์ตายเท่านั้น หากแต่ก่อนถึงวันที่ 20 กรกฎาคมพันเอกชเตาเฟนแบร์กพยายามลอบฮิตเลอร์ 2 ครั้งแต่ไม่สำเร็จ จนกระทั้งถึงวันที่  20 กรกฎาคม ค.ศ. 1944 สเตาฟเฟนเบิร์กเดินทางมายังรังหมาป่าเพื่อเข้าร่วมประชุมกับฮิตเลอร์อีกครั้งหนึ่ง พร้อมกับกระเป๋าเอกสารซึ่งบรรจุระเบิดไว้เช่นเดิม โดยที่ผู้ที่เข้าร่วมประชุมทั้งหมดไม่ถูกตรวจค้นตัวเลย

ราว 12.30 น. การประชุมเริ่มขึ้น พันเอกชเตาเฟนแบร์กวางระเบิดภายในกระเป๋าเอกสารใต้โต๊ะที่ประชุมของฮิตเลอร์และนายทหารอีกกว่า 20 นาย  และได้แกิดการระเบิดขึ้นและทำลายห้องประชุม พันเอกสเตาฟเฟนเบิร์กที่ออกมาข้างนอกได้ยินเสียงระเบิดก็คิดว่าฮิตเลอร์เสียชีวิตแล้ว จึงรีบเดินทางกลับกรุงเบอร์ลินเพื่อควบคุมสถานการณ์ตามแผนที่เขาวางเอาไว้ หากแต่แผนการต้องหยุดลงเมื่อมีรายงานยินยันได้ว่าฮิตเลอร์ยังไม่ตายเขาแค่บาดเจ็บเพียงเล็กน้อย ส่งผลทำให้พันเอกชเตาเฟนแบร์กและสมาชิกสมคบคิดจำนวนมากถูกประหารชีวิต ก่อนได้รับการยกย่องให้เป็นวีรบุรุษในเวลาต่อมา และเรื่องราวของเขาได้ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ เรื่อง Valkyrie โดยมี ทอม ครูซ รับบทเป็นพันเอกชเตาเฟนแบร์ก

 

5. Operation Ajax

  

ในช่วงอังกฤษปกครองอิหร่านนั้นพวกเขามีความสุขใจกับการค้าขายอิหร่าน โดยเฉพาะแหล่งน้ำมันมหาศาล หากแต่ในปี 1951 อิหร่านได้ยกเลิกปกครองแบบกษัตริย์ พระเจ้ามุฮัมมัด เรซา ชาห์ ปาฮ์ลาวี (Muhammad Reza Shah Pahlavi)ที่เป็นผู้ปกครองเวลานั้นได้ลี้ภัยไปต่างประเทศ อิหร่านได้มีรัฐบาลและรัฐสภาภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี โมฮัมมัด มูสซาเด็ก (Mohammad Mussadeq)อิหร่านก็กลายเป็นประเทศที่ชาตินิยมมากพวกเขาต่อต้านอังกฤษ และใช้นโยบายแบบชาตินิยมโดยการยึดสัมปทานน้ำมันของบริษัทอังกฤษ ให้เป็นกิจการของรัฐ ส่งผลให้อังกฤษยุติการซื้อขายน้ำมันกับอิหร่าน

และนั่นทำให้อังกฤษวางแผนที่จะโค่นล้มรัฐบาลของโมฮัมมัด มูสซาเด็กขึ้น และแล้วแผนการ “ปฏิบัติการอาแจ๊กซ์”  จึงได้ถือกำเนิดขึ้นในช่วงเดือนเมษายน 1953 จากความร่วมมือของประธานาธิบดี ไอเซนฮาวร์ แห่งสหรัฐ และนายกรัฐมนตรี เชอร์ชิล แห่งอังกฤษ เพื่อเป้าหมายในการโค่นล้มรัฐบาลของนาย มูสซาเด็กและสนับสนุนให้พระเจ้าชาห์กลับมามีบทบาทปกครองประเทศอีกครั้ง

แผนการนี้ซีไอเอมีบทบาทเต็มๆ พวกเขาทำการโฆษณาชวนเชื่อและออกข่าวลื่อต่างๆ นาๆ ว่ามูสซาเด็กวางแผนที่จะเปลี่ยนระบบการปกครองจากนายกรัฐมนตรีสู่ระบบประธานาธิบดี ซึ่งจะทำให้เขามีอำนาจเบ็ดเสร็จในการปกครองประเทศ แต่เมื่อประชาชนอิหร่านได้ทราบแนวคิดดังกล่าว ต่างก็ไม่เห็นด้วย และได้เริ่มก่อการประท้วงอย่างรุนแรงอีกครั้ง แต่มูสซาเด็กก็ได้ตอบโต้ โดยส่งกองกำลังเข้าไปยึดครองพระราชวังของพระเจ้าชาห์ในเดือนสิงหาคม และได้ผลักดันให้พระเจ้าชาห์ออกจากประเทศ โดยได้ทรงลี้ภัยสู่อิตาลีในเวลาต่อมา

ต่อมาก็มีเหตุการณ์การประท้วง 1953 ที่นำโดยกลุ่มที่นิยมระบบกษัตริย์ และกลุ่มอำนาจเก่าที่เคยเสียผลประโยชน์ต่างๆ โดยได้รับการสนับสนุนในทางลับ จากหน่วยสืบราชการลับซีไอเอ ของสหรัฐและเอ็มไอหกของอังกฤษ ผลของการประท้วงคือมีผู้เสียชีวิตกว่า 300 คน และ นาย มูสซาเด็กจำเป็นต้องออกจากตำแหน่งในเดือนสิงหาคมและถูกจับในข้อหากบฏ ถูกตัดสินจำคุกกว่า 3 ปี และได้เสียชีวิตลงในปี 1967 เมื่อการประท้วงครั้งนั้นสิ้นสุดลง พระเจ้าชาห์ทรงเสด็จกลับสู่ประเทศในฐานะผู้นำสูงสุดอีกครั้ง และได้ทรงปรับเปลี่ยนนโยบายให้มีการส่งออกน้ำมันดิบไปยังอังกฤษและตะวันตกเหมือนเดิม และดำเนินนโยบายส่งน้ำมันให้อังกฤษอีกครั้ง จนกระทั้งปี 1979 เกิดเหตุวุ่นวายในประเทศอีกครั้ง ส่งผลทำให้พระเจ้าชาห์ลี้ลัยในต่างประเทศและเสด็จสวรรคตเมื่อ 1980 ก่อนที่อิหร่านจะกลายเป็นประเทศที่ต่อต้านตะวันตกอย่างเต็มเหนี่ยว อย่างที่เราได้เห็นจนถึงปัจจุบัน ส่วน“ปฏิบัติการอาแจ๊กซ์” กลายเป็นปฎิบัติการที่เปิดเผยต่อสาธารณะ ครั้งสุดท้าย เพราะหลังจากนั้น ล้วนแล้วเป็นความลับ)

 

4. The Gunpowder Plot

  

“แผนดินปืน”  เป็นแผนที่เกิดขึ้นในศตวรรษที่ 1605 ก่อนหน้านั้นเรียกว่า “กบฏดินปืน” โดยเป็นแผนการลอบสังหารพระเจ้าเจมส์ที่ 1 แห่งอังกฤษ (King James I)  ซึ่งคนวางแผนคือกาย ฟอคส์ (Guy Fawkes)และผู้นับถือนิกายโรมันคาทอลิกจำนวน 13 คน ซึ่งพวกเขาอยากให้พวกคาทอลิกในอังกฤษมีเสรีภาพมากขึ้นซึ่งในตอนนั้นพระเจ้าเจมส์นับถือโปรเตสแตนต์(นอกจากนี้ในช่วงพระเจ้าเจมส์ปกครองบ้านเมืองทรงบริหารราชการตามอำเภอใจจนเกิดความระส่ำระสาย เกิดกบฏต่อต้านและมีการจำคุกผู้คนเป็นจำนวนมาก)

โดยแผนการของกาย ฟอคส์คือการวางระเบิดรัฐสภาของอังกฤษพร้อมพระเจ้าเจมส์ที่ 1 ที่จะมาประชุมเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 1605 เพื่อเป็นการโหมโรงให้เกิดความวุ่นวายในมิดแลนด์ กาย ฟอคส์เป็นผู้รับผิดชอบเรื่องดินปืนและมีประสบการณ์ทางการทหาร เขาวางแผนเช่าห้องใต้ถุนรัฐสภาเพื่อเก็บดินปืนไว้ 36 ถัง(820 กิโลกรัม) เพื่อหวังระเบิดรัฐแห่งนี้ซึ่งถ้าแผนการณ์นี้สำเร็จอังกฤษจะเปลี่ยนประวัติศาสตร์ครั้งยิ่งใหญ่แน่นอน  แต่แผนการกับรั่วไหลเสียก่อนเมื่อเจ้าหน้าที่พบจดหมายที่บอกแผนการเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม กาย ฟอคส์ถูกจับและถูกทรมานเพื่อบอกสมาชิกในกลุ่มทั้งหมด ก่อนที่จะถูกแขวนคอในวันที่ 30 มกราคม 1606

แม้ว่ากาย ฟอล์ค จะตายนานแล้วแต่ชื่อของเขายังคงอยู่ ในฐานะบุคคลที่ชาวอังกฤษรู้จักกันดี และทุกวันที่ 5 พฤศจิกายนของทุกปี จะมีงานฉลองเกี่ยวกับเขา โดนการเผารูปสัญลักษณ์ที่ทำจากฟางหรือเศษวัสดุเป็นรูปกาย ฟอคส์เพี่อเป็นการระลึกถึงเขาที่วางการคบคิดระเบิดรัฐสภาอังกฤษ แต่ไม่สำเร็จ และเหตุการณ์ดังกล่าวได้ถูกนำไปดัดแปลงสร้างภาพยนตร์ในเรื่อง V for Vendetta

 

3.The Tuskegee Experiment

  

การศึกษาซิฟิลิสทัสคีจี หรือ โครงการศึกษาสุขภาพซิฟิลิสสาธารณะเป็นแผนการศึกษาโรคฟิสิกซ์ซึ่งดำเนินการมา ตั้งแต่ ค.ศ.1932 -1972 ระยะเวลานานถึง 40 ปี ในทัสคีจี เมืองชนบทในมลรัฐอลาบามา โดยมีที่มาจากแนวคิดของรัฐบาลสหรัฐและสาธารณสุขสหรัฐ(U.S. Public Health Service (PHS)) ที่ต้องการศึกษาการเจริญเติบโตของโรคซิฟิลิสในคน อืม ฟังดูมันธรรมดาใช่เปล่าแค่ทดลองเชื้อโรคเฉยๆ แต่ที่น่ากลัวของโครงการนี้ก็คือโครงการไร้จริยธรรมโดยสิ้นเชิง การทดลองในมนุษย์โครงการนี้ผู้ทดลองไม่ได้รับความยินยอมและส่วนใหญ่เป็นคนไม่รู้หนังสือ และผิวดำ

การทดลองนี้ได้ดำเนินการโดยฉีดยาให้แก่ผู้ทดลองแก่คนผิวดำกว่า 412คน(ชุดแรก) ในย่านอาศัยแถวนั้น จากนั้นก็ศึกษาวิจัยการดำเนินโรคซิฟิลิสตามธรรมชาติในคนโดยที่คนเหล่านั้น  ผู้โชคร้ายเหล่านี้เข้าใจว่า ตนกำลังได้รับการรักษาจากรัฐ โดยไม่เคยมีใครบอกให้รู้ว่าเป็นโรคอะไร และจะไม่ได้รับการแจ้งว่าเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และไม่ได้รับการรักษาใด ๆ เลย(ถูกปฏิเสธการรักษาที่เหมาะสมเกี่ยวกับโรค) โดยบอกผู้ป่วยว่าเป็นโรคโลหิตจางและเมื่อยล้า มีการทำหัตถการหลายอย่างเพียงเพื่อการศึกษาวิจัย เช่น การเจาะหลังเพื่อนำน้ำไขสันหลังไปตรวจ เป็นต้น(แต่อย่างน้อยคนป่วยที่ว่าได้ค่าตรวจสุขภาพฟรี อาหารฟรี และค่าฝังศพผู้เสียหายนั้นฟรีเพราะเป็นหนึ่งในสัญญาจากรัฐบาล) 

ตอนแรกแผนการทดลองวางกำหนดการณ์ไว้ที่ไม่กี่เดือน(6 ถึง 9 เดือร) แต่การวิจัยครั้งนี้กลับดำเนินการต่อเนื่องถึง 40 ปี ส่งผลให้ผู้ถูกทดลองรอดชีวิตเพียงประมาณ 70 คนจากทดลอง(ไม่รวมผู้ที่ติดเชื้อจากการทดลองนี้) แล้วสิ่งที่ได้คือวงการแพทย์ได้ศึกษาเกี่ยวกับซิฟิลิสอย่างละเอียด

การทดลองนี้ได้รับการขนานนามว่า “เป็นการวิจัยทางการแพทย์ที่น่าอับอายที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐ” เป็นการทดลองที่ไม่มีความจำเป็นอะไรเลย อีกทั้งโรคนี้มียารักษามานานแล้ว เห็นได้ว่าเป็นการเพิ่มความเสี่ยงโดยไม่จำเป็น และมีการกระจายภาระไม่เป็นธรรมโดยเลือกแต่ชาวผิวดำในพื้นที่ยากจน ส่งผลให้ประธานาธิบดีแถลงขอโทษต่อผู้เข้าร่วมโครงการที่ยังมีชีวิตอยู่ หรือครอบครัว และชุมชน และเสนอให้ดูแลชดใช้ความเสียหายอันเกิดจากโครงการวิจัย ในปี ค.ศ. 1997 ผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่(ประมาณ 9,000,000 ดอลลาร์) ได้เข้าทำเนียบขาวเพื่อรับฟังคำกล่าวขออภัยจากประธานาธิบดีคลินตัน  นำไปสู่การออกกฎหมายควบคุมดูแลการวิจัยในประเทศสหรัฐอเมริกา (National Research Act) โดยกฎหมายดังกล่าวต้องอาสาสมัครต้องมีความยินยอมรวมไปถึงกฎหมาย “บริจาคอวัยวะ”เป็นต้น

 

2. Operation Snow White

 

แผนสโนไวท์ แผนการนี้คล้ายกับหนังสายลับหลายเรื่องเลยครับ โดยเป็นแผนการระหว่างปี 1970 ภายใต้แนวคิดของ L.รอนฮับบาร์ด(L. Ron Hubbard)ผู้เขียนที่เป็นแรงบันดาลใจในการก่อตั้งลัทธิไซน์โทโลจี (Scientology) ในการให้สาวกบุกรุกแทรกซึมและขโมยเอกสารสำคัญจาก สำนักงานใหญ่ทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็น หน่วยงานราชการ สถานทูต และสถานกงสุลต่างประเทศ รวมไปถึงองค์กรเอกชน โดยแผนนี้ดำเนินการโดยสมาชิกลัทธิกว่า 30 ประเทศ รวมถึงประเทศไทยและใหญ่ที่สุดคืออเมริกา โดยสมาชิกเหล่านี้จะปลอมตัวเป็นคนของหน่วยงานราชการ เช่น ยาม เลขานุการ หรืองานอื่นๆ ที่ต่อมามีการระบุว่ามีตัวแทนของลัทธิถึง 5,000 คนแทรกซึม ดักฟัง โดยมีวัตถุประสงค์คือโจรกรรมและขโมยเอกสารสำคัญของหน่วยงานสาเหตุที่ทำก็เพราะเจ้าลัทธิมีวัตถุประสงค์เพื่อปกป้องผลปกป้องผลประโยชน์ของลัทธิ ส่งผลทำให้มีการตัดสินว่าเสมาชิกระดับสูงของลัทธิและภรรยารอนฮับบาร์ดนี้มีความผิดจริงในข้อหาลักทรัพย์ของหน่วยงานรายการ

 


           1.Project MKULTRA

  

โครงการเอ็มเคอัลทราหรืออีกชื่อหนึ่งว่า CIA mind-control research program เป็นชื่อรหัสลับที่เป็นการทดลองลับๆ ที่ผิดกฎหมายของหน่วยข่าวกรองกลางและสืบราชการลับของสหรัฐ"ซีไอเอ" พยายามปิดบังซ่อนเร้นไม่ให้ประชาชนรู้ โดยโครงการนี้เป็นการทดลองในมนุษย์ที่ดำเนินการโดยสำนักงานวิทยาศาสตร์ของรัฐบาลสหรัฐ โดยเริ่มขึ้นเมื่อทศวรรษที่ 1950 โดยดำเนินถึงปลายปี 1960 โดยใช้ชาวอเมริกันและแคนาดาเป็นตัวทดลอง

จุดประสงค์ของโครงการเอ็มเคอัลทราคือเป็นการศึกษาและทดลอง "การควบคุมพฤติกรรมมนุษย์" โดยใช้สารเคมีและสารชีวภาพ เพื่อนำมาดัดแปลงใช้ทำอาวุธสงครามแรกเริ่มเดิมทีนั้น ซีไอเอ ไม่ได้คิดจะสร้างอาวุธชนิดนี้ พวกเขาเพียงแต่กลัวว่าประเทศที่เป็นปฏิปักษ์ต่อสหรัฐจะใช้อาวุธเคมีและชีวภาพในการทำสงคราม พวกเขาจึงต้องทำการศึกษาเตรียมไว้ก่อนเพื่อจะได้ป้องกันและแก้ไขแก่สถานการณ์ภายภาคหน้าเอาไว้

การทดลองนี้ไม่ใช่มีแต่ซีไอเอเท่านั้น หากแต่ยังมีหน่วยข่าวกรองของกองทัพและหน่วยข่าวกรองของสำนักงานอื่นๆ ของรัฐบาลด้วย พวกเขาจะคอยแลกข้อมูลที่ได้จากการทดลองกัน ซึ่งการทดลองนี้ถือเป็นการทดลองลับสุดยอดขนาดเจ้าหน้าที่ระดับสูงของ ซีไอเอ ยังไม่ทราบเลยว่ามีการทดลองนี้ในหน่วยงานของเขา ผู้ที่ทราบเรื่องก็จะมีแต่นายแพทย์

Credit: http://board.postjung.com/523130.html
21 ธ.ค. 53 เวลา 15:59 9,681 24 330
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...