ทฤษฎีโลกกลวง ทฤษฎีที่ยังมีคนเชื่อ

 

 


 

        ทฤษฎีที่ฟังดูประหลาดที่สุดก็คือ ความเชื่อที่ว่า โลกใบนี้มีเนื้อในกลวง แถมข้างใต้ผิวโลก ยังมีอารยธรรมบ้านเมือง ซุกซ่อนอยู่ด้วย เป็นเมืองลับแล ที่น้อยคนจะรู้ถึงทางเข้า คนแรกๆ ที่เสนอความคิดนี้เมื่อปี ค.ศ. 1692 ก็คือ เอ็ดมันด์ ฮัลเลย์ ถ้าชื่อนี้รู้สึกคุ้นหูก็ไม่ต้องแปลกใจ เพราะเป็นคนเดียวกับนัก ดาราศาสตร์ชาวอังกฤษผู้คำนวณเวลาหวนกลับมาของดาวหางที่สุกสว่างที่สุด ดวงหนึ่งซึ่งได้ชื่อตามชื่อของเขานั่นเอง

        ฮัลเลย์รู้สึกฉงนกับสนามแม่เหล็กของโลก เขาสังเกตพบว่า สนามแม่เหล็กโลกมีทิศทางเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในเวลาที่ต่างกัน เขาจึงคิดว่า โลกมีสนามแม่เหล็กหลายสนาม โลกของเรานั้นกลวง ข้างในยังมีโลกอีกชั้น หนึ่งที่มีสนามแม่เหล็กอีกสนามหนึ่ง เพื่ออธิบายถึงความผันแปรทั้งหมดในสนามแม่เหล็กโลก ท้ายที่สุดเขาได้เสนอว่า โลกประกอบด้วยสัณฐานกลม 4 ชั้น แต่ละชั้นซ้อน กันอยู่ข้างใน

        ฮัลเลย์เสนอด้วยว่า ภายในโลกมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ โดยอาศัยแสงสว่างจากบรรยากาศที่เรืองแสง เขาคิดว่า ปรากฏการณ์แสง เหนือก็คือก๊าซที่เล็ดลอดออกมาจากใต้เปลือกโลกบางๆ ที่ขั้วโลกเหนือ คนอื่นๆ ที่ได้รับอิทธิพลจากความเชื่อของฮัลเลย์มักเอาทฤษฎีนี้ ไปต่อเติมเสริมแต่งตามความเชื่อของตัวเอง

        ในศตวรรษที่ 18 เลยองฮาร์ด ยูเลอร์ นักคณิตศาสตร์ชาวสวิส ได้แทนที่ทฤษฎีโลกหลายชั้นด้วยโลกที่กลวงเพียงชั้นเดียว ข้างในมีดวง อาทิตย์ขนาดกว้าง 600 ไมล์ คอยให้ความร้อนและแสงสว่างแก่อารยธรรมที่ เจริญก้าวหน้าที่อาศัยอยู่ในนั้น แล้วต่อมา นักคณิตศาสตร์ชาวสกอต เซอร์ จอห์น เลสลี ก็เสนอว่า ภายในโลกมีตะวันอยู่สองดวง ซึ่งเขาตั้งชื่อให้ว่า พลูโต กับโพรเซอร์ไพน์

        คนที่สนับสนุนทฤษฎีโลกกลวงอย่างหัวชนฝา คือ จอห์น ซิมเมส ชาวอเมริกัน อดีตนายทหารและนักธุรกิจ ซิมเมสเชื่อว่าโลกกลวง และก็ที่ขั้วโลกเหนือกับขั้วโลกใต้มีทาง เข้าขนาดกว้าง 4,000 ไมล์และ 6,000 ไมล์ ตามลำดับ ซึ่งจะนำเข้าสู่โลกบาดาลได้ เขาอุทิศชีวิตพัฒนาทฤษฎีของตัวเอง และระดมเงินสนับสนุน ให้มีคณะสำรวจเดินทางไปยังขั้วโลกเหนือ เพื่อเข้าไปสำรวจภายในโลก ถึงเขาจะทำไม่สำเร็จ แต่หลังจากเขาตายไป ลูกศิษย์ของเขา ซึ่งเป็นบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ ชื่อ เยเรมีย์ เรย์โนลด์ ได้ช่วยกระตุ้นให้ รัฐบาลสหรัฐส่งคณะสำรวจไปยังดินแดนแอนตาร์กติกาในปี 1838

        ขณะที่นักสำรวจไม่พบช่องทางเข้าอะไรที่ว่านั้น คณะสำรวจได้พบหลักฐานที่ว่า แอนตาร์กติกา ไม่ได้เป็นแค่ผืนน้ำแข็งบริเวณขั้วโลกเท่านั้น แต่นับเป็นทวีปที่เจ็ดของโลก

        ในปี 1846 มาร์แชล การ์ดเนอร์ ได้อ้างการค้นพบซากแมมมอธขนยาวที่แช่แข็งอยู่ในน้ำแข็งที่ไซบีเรียเป็นหลักฐานยืนยันว่าโลกกลวง การ์ดเนอร์เชื่อว่า ข้างในโลกมีดวงอาทิตย์หนึ่งดวง และเสนอว่า เหตุที่ซากแมมมอธยังมีสภาพดี ก็เพราะมันเพิ่งตายเมื่อไม่นานมานี้ ด้วยว่าแมมมอธ และสัตว์ที่สูญพันธุ์ไปแล้วชนิดอื่นๆ สามารถตระเวนเข้าออก ส่วนในของโลกได้อย่างอิสระ ซึ่งเจ้าตัวนี้ได้เดินออกมาข้างนอกโดยอาศัยช่อง ทางที่ขั้วโลกเหนือ แล้วภายหลังซากของมันได้ถูกน้ำแข็งซัดมาจนถึงไซบีเรีย
      
        ในทศวรรษเดียวกันนั้นเอง ทฤษฎีโลกกลวงอีกทฤษฎีหนึ่งได้อุบัติขึ้น เป็นผลงานจากความคิดของ ไซรัส รีด ทีด โดยทีดบอกว่า โลกกลวง ข้างในมีคนอาศัยอยู่ และมีดวงอาทิตย์อยู่ ตรงใจกลางโลก ดวงอาทิตย์นี้ด้านหนึ่งมืด ด้านหนึ่งสว่าง เมื่อดวงอาทิตย์ หมุนก็จะเกิดสภาพเหมือนกลางวันกับกลางคืนสลับกัน บรรยากาศอันหนา แน่นในใจกลางของโลกทำให้คนที่อยู่ในโลกแหงนมองไม่เห็นคนที่อยู่ทางอีก ด้านหนึ่งของโลก ต่อมาทีดได้เปลี่ยนชื่อเป็นโคเรช และก่อตั้งสิ่งที่ปัจจุบันถือเป็น ลัทธิประหลาด หลังจากซื้อที่ดิน 300 เอเคอร์ในฟลอริดา โคเรชก็ประกาศตัว เองเป็นพระมหาไถ่แห่งศาสนาใหม่ เขาตายเมื่อปี 1908 โดยไม่ได้พิสูจน์ ทฤษฎีของตัวเอง

        หลังสงครามโลกครั้งที่สอง มีการเอาเรื่องโลกกลวงไปโยงเข้า กับพวกนาซีเยอรมัน นักเขียนคนหนึ่ง เอิร์น ซันเดล ได้เขียนหนังสือเรื่อง “ยูเอฟโอ-อาวุธลับของนาซี?” อ้างว่า ฮิตเลอร์กับกองกำลังชุดสุดท้ายของเขา ได้โดยสารเรือดำน้ำตอนสงครามเลิกหลบหนีไปยังอาร์เจนตินา แล้วต่อมาได้ ตั้งฐานทัพของจานบินขึ้นตรงช่องทางที่นำเข้าไปสู่ภายในโลกที่ขั้วโลกใต้ ซันเดลบอกด้วยว่า พวกนาซีเป็นเผ่าพันธุ์ที่แยกต่างหากจาก มนุษย์ พวกนี้มาจากข้างในโลก ยิ่งเวลาผ่านไป ไอเดียเรื่องโลกกลวงก็ยิ่งกลายเป็นทฤษฎีเพี้ยน และกลายเป็นเรื่องของนิยายวิทยาศาสตร์และจินตนาการเพ้อฝันไป เหตุก็เพราะไม่มีหลักฐานพิสูจน์ความถูกต้องของทฤษฎีนี้

        นายพลเรือเอกของสหรัฐ ริชาร์ด ไบร์ด ได้บินข้ามขั้วโลก เหนือเมื่อปี 1926 และขั้วโลกใต้เมื่อปี 1929 โดยไม่พบช่องทางเข้าสู่ภายใน โลกเลย ภาพถ่ายจากนักบินอวกาศก็ไม่ปรากฏทางเข้าเช่นกัน ในขณะที่วิชา ธรณีวิทยาสมัยใหม่ชี้ว่า โลกมีเนื้อในส่วนใหญ่เป็นของแข็ง แต่กระนั้น มีภาพถ่ายของนาซาชิ้นหนึ่งที่ปรากฏรอยมืดใน ภาพ ซึ่งคนที่เชื่อเรื่องโลกกลวงบอกว่าเป็นข้อพิสูจน์ทฤษฎีนี้ ทั้งที่อันที่จริง แล้ว ภาพนั้นเกิดจากการเอาภาพถ่ายหลายๆ ใบที่ถ่ายในช่วงเวลา 24 ชั่วโมงมาซ้อนกัน เพื่อให้มองเห็นทุกส่วนเป็นเวลากลางวัน ส่วนตรงที่เป็นสี ดำมืดนั้นเป็นเขตอาร์กติกที่ไม่สะท้อนแสงในตอนกลางวันของฤดูหนาว

        หนังสือที่เผยแพร่ความคิดเรื่องโลกกลวงที่ผู้คนรู้จักมากที่สุด นั้นเห็นจะเป็น “การเดินทางสู่ใจกลางโลก” (Journey to the Center of the Earth) ของ จูลส์ เวิร์น หนังสือเล่มนี้เสนอทฤษฎีโลกกลวงได้น่าฟังกว่า ด้วยการพูดถึงช่องทางจากผิวโลกเข้าไปสู่โพรงถ้ำใต้ดินที่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ ในนิยายเล่มนี้ นักวิทยาศาสตร์สามคนได้ปีนลงไปในปล่อง ภูเขาไฟที่หมดพลังแล้ว เพื่อค้นหาหนทางที่จะเข้าสู่ใจกลางโลก พวกเขาทำ ไม่สำเร็จ แต่ก็ได้พบทะเลใต้ดินที่มีสัตว์ยุคก่อนประวัติศาสตร์อาศัยอยู่มากมาย รวมทั้งตัวเพลซิโอซอร์ด้วย

ทว่า ความเชื่อเรื่องนี้ไม่เคยตาย อาทิตย์หน้าเชิญพบกับโลกใต้ บาดาลตามไอเดียของนักคิดนักเขียนมากหน้าหลายตา.

        บางคนเชื่อว่า ลึกลงไปใต้โลก คือบ้านของเผ่าพันธุ์ประหลาด ที่มีเทคโนโลยีก้าวหน้า แต่คนพวกนี้เป็นใคร? และทางเข้าสู่เมืองบาดาลของ พวกเขาอยู่ตรงไหน? และทำ
มถึงเข้าไปอยู่ใต้พื้นโลก ? ความคิดที่ว่าโลกกลวงนี้มีรากเหง้ามาจากตำนานโบร่ำโบราณ ของหลายวัฒนธรรม มักเล่าขานต่อๆ กันมาถึงชนกลุ่มหนึ่งที่มีอารยธรรมของตัวเอง อาศัยอยู่ในนครลี้ลับใต้พื้นพสุธา คนพวกนี้มีเทคโนโลยีหรือฤทธิ์เดชสูง กว่าพวกเราบนพื้นผิวโลก บางคนถึงกับบอกว่า จานผีไม่ได้มาจากนอกโลก หากแต่เกิด จากการประดิษฐ์คิดค้นของคนที่อยู่ภายในโลกต่างหาก

เรื่องของเผ่าชนใต้พิภพ โจษขานกันแยกย่อยเป็นหลายพวก หลายกลุ่ม ดังนี้

อาการ์ธา

        ชื่อของกลุ่มชนที่ว่ากันว่าอาศัยอยู่ใต้ดินที่ถูกพูดถึง มากที่สุดคือ ชาวอาการ์ธา (Agartha) ซึ่งมีเมืองหลวงชื่อ ชัมบัลลา (Shamballa) โดยเรื่องนี้มีที่มาจากหนังสือเรื่อง The Smoky God อันเป็น “ชีวประวัติ” ของนักเดินเรือชาวนอร์เวย์ นามว่า โอลาฟ แจนเซน ซึ่งเขียนโดย วิลลิส อีเมอร์สัน พรรณนาถึงการแล่นเรือใบเสากระโดง
เดี่ยวของ แจนเซนเข้าไปยังใต้โลกผ่านทางขั้วโลกเหนือ

        อีเมอร์สันเขียนว่า แจนเซนได้ใช้ชีวิตอยู่กับนิคมต่างๆ ของชาวอาการ์ธาเป็นเวลาสองปี คนพวกนี้ตัวสูง 12 ฟุต โลกของพวกเขา สว่างสลัวๆ ด้วยดวงอาทิตย์ตรงใจกลาง
เขาบอกด้วยว่า ชัมบัลลาประกอบด้วยศูนย์กลางรัฐบาลซึ่งอยู่ที่ ผืนทวีปชั้นใน และเมืองบริวารมากมายภายใต้เปลือกโลก บางแห่งก็อยู่ภายในภูเขาที่เรามองเห็นกันอยู่

        ปูมหลัง สงครามและภัยพิบัตินานัปการที่ได้เกิดขึ้นบนผิวโลก ได้ผลักดันให้คนเหล่านี้ลงไปอยู่ในโลกใต้ดิน ชนโบราณผู้มีเทคโนโลยีก้าวหน้ากลุ่มนี้ได้ห้ำหั่นกันด้วยอาวุธนิวเคลียร์ ทะเลทรายซาฮารา ทะเลทราย โกบี และเขตกันดารของออสเตรเลีย คือตัวอย่างของผลที่ตามมา พวกเขาจึงสร้างนครใต้ดินขึ้นเป็นแหล่งหลบภัย และเป็นที่เก็บรักษาคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ คำสอน และเทคนิควิทยาต่างๆ ที่เคยฟูเฟื่องในวัฒนธรรมโบราณของตัวเอง

ทางเข้า ร่ำลือกันว่า มีทางเข้าสู่อาณาจักรอาการ์ธามากมาย หลายจุดทั่วโลก ตัวอย่างเช่น

- ถ้ำเคนตักกี มัมมอธ ในมลรัฐเคนตักกี สหรัฐ

- ภูเขาชาสตา ในแคลิฟอร์เนีย ซึ่งกล่าวกันว่า นครเทลอส ของชาวอาการ์ธาตั้งอยู่ภายในภูเขาลูกนี้

- มาโต กรอสโซ ในบราซิล ซึ่งเชื่อกันว่า นครโปสิดตั้งอยู่ใต้ ที่ราบผืนนี้

- น้ำตกอิกวาซู บนพรมแดนระหว่างบราซิลกับอาร์เจนตินา

- เทือกเขาหิมาลัย ในทิเบต เป็นทางเข้าของนครชอนเช

- มองโกเลีย ว่ากันว่านครชิงหวาตั้งอยู่ใต้พรมแดนของจีนกับ มองโกเลีย

- พระราม อินเดีย ลึกลงไปใต้ดินเป็นที่ตั้งของนครพระราม

- พีระมิดแห่งกิซา ประเทศอียิปต์

- ขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้

นาคา

        ผู้คนในอินเดียมีความเชื่อเก่าแก่ว่า มีมนุษย์งูอาศัยอยู่ในนครใต้บาดาลที่ชื่อ ปัตลา กับ โภคาวตี พวกนี้เคยทำศึกกับชาวอาการ์ธาด้วย โดยพวกนาคานั้นเป็นชนเผ่าที่มีความเจริญรุ่งเรือง มีเทคโนโลยีสูง พวกนี้รังเกียจมนุษย์ มักลักพามนุษย์ไปทรมาน ผสมพันธุ์ หรือแม้กระทั่งกิน เป็นอาหารอยู่เนืองๆ ทางเข้าสู่นครโภคาวตีอยู่ที่เทือกเขาหิมาลัย ส่วนทางเข้านครปัตลานั้นอยู่ที่เมืองพาราณสี

        วิลเลียม ไมเคิล มอท ผู้เขียน The Deep Dwellers บอกว่า “ทางเข้าเหล่านี้มีจริง เมื่อก้าวลงไป 40 ขั้นก็จะพบแอ่งรูปทรงกลม มีบานทวารศิลาที่มีรูปจำหลักของงูจงอางปรากฏอยู่ พวกนาคาชอบน้ำ ฉะนั้น ทางเข้าสู่พระราชวังใต้ดินของคนพวกนี้จึงมีอยู่ตามก้นสระ ทะเลสาบ และแม่น้ำ”

ดึกดำบรรพ์มนุษย์

        คนก่อนคน ในบทความเรื่อง “โลกกลวง : ความเชื่อหรือ ความจริง” แบรด สไตเกอร์ ได้เขียนถึงตำนานเกี่ยวกับ “ดึกดำบรรพ์ มนุษย์” หรือ “The Old Ones” อันเป็นเผ่าพันธุ์โบราณที่เคยอยู่บนโลกเมื่อ หลายล้านปีก่อน แล้วได้ย้ายเข้าไปอยู่ใต้โลกในเวลาต่อมา

“ดึกดำบรรพ์มนุษย์ เผ่าพันธุ์ที่มีสติปัญญาล้ำเลิศและมีความ ก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ ได้เลือกที่จะสร้างสภาพแวดล้อมของตัวเองขึ้นภาย ใต้พื้นผิวของดาวเคราะห์ดวงนี้ และประดิษฐ์สิ่งจำเป็นสำหรับการยังชีพขึ้น เองทั้งหมด พวกเขาเป็นมนุษย์ มีอายุยืนยาวมาก และได้ถือกำเนิดขึ้นก่อน มนุษย์โฮโมซาเปียนส์อย่างเราถึงกว่าหนึ่งล้านปี โดยทั่วไปแล้ว ดึกดำบรรพ์มนุษย์มักแยกตัวจากคนบนดิน แต่บางครั้งพวกเขาก็ให้คำแนะนำในทางสร้างสรรค์ และมาเอาเด็กๆ ไปสอนสั่งและเลี้ยงดูเป็นลูกของตัวเอง”

เผ่าพันธุ์อาวุโส

        เรื่องราวว่าด้วยโลกกลวงที่อื้อฉาวที่สุดคือกรณีที่เรียกกันว่า “ปริศนาเชฟเฟอร์” โดยในปี 1945 นิตยสารในแนวเรื่องพิสดาร ชื่อ Amazing Stories ได้เผยแพร่เรื่องเล่าของ ริชาร์ด เชฟเฟอร์ ผู้อ้างว่าตัวเองได้เป็นแขก เยี่ยมเยือนอารยธรรมใต้ดินที่ยังคงหลงเหลืออยู่ ถึงจะมีคนเชื่อสิ่งที่เขาพูดน้อยมาก บางคนหาว่าเขาเพี้ยนด้วยซ้ำ แต่เจ้าตัวก็ยืนยันว่าเรื่องของตัวเองเป็นเรื่องจริง

        เขาบอกว่า เผ่าพันธุ์อาวุโส หรือ The Elder Race ได้เดิน ทางจากระบบสุริยะอื่นมายังโลกใบนี้ในช่วงยุคก่อนประวัติศาสตร์ของเรา หลังจากอาศัยบนพื้นผิวโลกได้ไม่นาน มนุษย์ต่างดาวพวกนี้ก็ตระหนักว่า ดวงอาทิตย์ทำให้พวกเขาแก่เร็ว จึงพากันหลบลี้ลงไปอยู่ใต้ดิน แล้วสร้างเมืองอันสลับซับซ้อนเป็นที่อาศัย ต่อมาภายหลัง พวกนี้ตัดสินใจย้ายไปหาดาวเคราะห์ดวงใหม่ จึงทิ้งนครใต้ดินที่มีสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ไว้เบื้องหลัง พวกหนึ่งเป็นหุ่นยนต์ ฝ่ายอธรรมที่มีชื่อว่า เดโร อีกพวกเป็นหุ่นยนต์ฝ่ายธรรมะ เรียกว่า เทโร ซึ่งเชฟเฟอร์อ้างว่าตัวเองได้เจอพวกหลังนี้


Credit: http://board.postjung.com/523718.html
21 ธ.ค. 53 เวลา 14:23 6,006 23 230
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...