ขณะนั้นเป็นเวลาย่ำรุ่ง 6 นาฬิกา กับอีก 5 นาที ก่อนที่จะประหารนักโทษ
อาตมานั่งคุกเข่าต่อพระพัตรพระพุทธรูป
ดวงตาของอาตมาคลอด้วยแววน้ำตาแห่งความสงสาร และเมตตา
อาตมามองไปยังพระพุทธรูปที่แน่นิ่ง ไม่เคลื่อนไหว ไม่พูด
แต่ก็คลับคล้ายกับว่าพระองค์ท่านก็ทรงพระเมตตา โปรดอาตมาว่า
"การเกิด ค่อย ๆ คืบคลานมาอย่างเงียบสงบวิเวก การตาย ก็ค่อย ๆ
เดินทางกลับไปอย่างเดียวดาย"
อาตมาพนมมือทั้งสองข้างวันทาแผ่เมตตา
ขอให้นักโทษประหารทั้งสองเดินทางกลับไปด้วยความสุขสงบ ปราศจาคความทุกข์
ดวงอาทิตย์ทอแสงเป็นประกาย เป็นเวลา 7 โมงเช้า กับ 30 นาที
ที่หน้าประตูเรือนจำเมือง กาจั้ง มองไม่เห็นคนเป็นทั้งคู่เดินออกมา
แต่มีโลงศพตั้งอยู่ 2 โลง บรรจุด้วยร่างที่ไม่มีลมหายใจ 2 ร่าง อนิจจา
เพียงชั่วข้ามคืน คนเป็นกลายร่างเป็นเช่นนี้
หมู่ญาติของนักโทษที่ถูกประหารแล้ว ยืนออมุงดูรองโลง
บรรยายกาศเศร้าสลอหดหู่อบอวลทั้งบริเวณ ดวงตาทุกคู่คลอด้วยน้ำตา
สาดส่องสายตาไปยังร่างที่มองคล้ายนอนหลับทั้งสอง
เขาทั้งสองหมดวาสนาฟังธรรมสนทนาธรรมะกับอาตมาอีกแล้ว เราเคยถกธรรมะกันว่า
"ความตายมิใช่การปลดปล่อย และก็มิใช่การสิ้นสุดแห่งบุญวาสนา
เป็นการรับผลการกระทำในอดีต
และนำผลการกระทำในปัจจุบันตามจิตวิญญาณไปแสดงผลต่อของอีกวัฏฏะจักร"
ท่ามกลางบรรยายกาศอันโศกเศรา ต่อหน้าซากศพทั้งสอง อาตมาไม่มีคำปลอบโยนใด ๆ
แก่เหล่าญาติมิตร เพียงแค่ชี้แนะตามหลักสัจจะธรรม
"จงอย่ายึดมั่นในร่างกาย จงอย่ายึดมั่นในสถานที่เรือนจำ
จงอย่ายึดมั่นในความรัก ความเกลียดชัง และความผูกพันธ์ในโลกมนุษย์
จงเตรียมใจให้พร้อมเข้าถึงซึ่งพระรัตนไตร เดินตามรอยพระพุทธบาทของพระพุทธองค์"
"หนทางกลับ เป็นหนทางที่ทุกคนต้องเดิน เพียงแต่ว่า
ผู้ตายทั้งสองนี้เดินทางมาก่อนเราหนึ่งก้าว
พวกเรามาส่งเป็นเพื่อนที่สิ้นสุดแล้ว หน้าที่ของอาตมาก็ใกล้สิ้นสุด"
งานพิธีปลงศพจัดทำขึ้นอย่างง่าย ๆ สามีญธรรมดา มีเพียงเสียงสวดมนต์ของมนุษย์
ปราศจาคเสียงเคาะของไม้ บักฮื้อ ไม่มีเสียงของเครื่องดนตรีใด ๆ
บรรเลงประกอบพิธีสวดมนต์ มีเสียงฝีเท้าของผู้ร่วมพิธีกรรมเดินย่ำ
มีเสียงแต้งของหัวใจบรรดาญาติมิตร มีเสียงร้องไห้กระซิกสะอึกสะอื้น ฯ ล ฯ
เพียงคนเป็นเท่านั้นที่ได้ยินเสียงเหล่านี้
ส่วนผู้ตายทั้งสองมีฉายาของพระพุทธะติดตามจิตวิญญาณ
ร่างกายที่ปราศจาคประโยชน์แล้วห่อหุ้มด้วยโลงสองโลง
ถึงยามค่ำจักเห็นพระเพลิงเผาสยายร่าง กลายเป็นกองอัถฐิ ไม่มีคำบรรยายใด ๆ
อีกแล้ว แต่ยามเมื่ออาตมากำลังรวบรวมกองอัถฐิ 2 กอง เสียงของเด็กชายวัย 4
ขวบ ถามมารดาด้วยสำเนียงไร้เดียงสา แต่ชวนสะเทือนใจ
"แม่จ๋า... พ่อเป็นอะไรไปครับ"
"เมื่อวานหนูเห็นพ่อยืนอยู่ มือทั้งสองถูกสวมกุนแจมือ หนูกลัว....."
"ทำไมเช้าวันนี้พ่อมานอนในเตียง (โลง) ดูซิ... พ่อไม่ต้องสวมกุนแจมืออีกแล้ว.."
"ตอนกลางวันพ่อทำไมเปลี่ยนไป หน้าพ่อเปลี่ยนไป ทำไมพ่อยังนอนหลับ
นี้เที่ยงแล้วครับ แม่... ปลุกพ่อขึ้นมาคุยกัยหนูซี.."
"แม่จ๋า... พ่อยังคงนอนหลับ ดูซี่...พ่อนอนหลับทำไมต้องใส่รองเท้าด้วย
พ่อทำไมไม่ถอดรองเท้าเหมือนเช่นเคย"
"ตอนบ่าย หลวงพ่อสวดมนต์เสร็จ ทำไมต้องเอาไม้กระดานมาปิดเตียงนอนของพ่อ
ไม่ให้หนูดูหน้าพ่ออีกแล้วหรือ พ่อหายใจไม่ออกนะครับ...."
"พ่อไม่ยอมลุกขึ้นจาอเตียงแล้วหรือ"
"หนูต้องการหาพ่อ พ่ออยู่ไหน... โฮ... โฮ.."
"ดูซิ ไฟไหม้ใหญ่ ไฟกำลังเผาอะไรครับ.. แม่ "
ยามค่ำ พวกเราหวนกลับมายังเชิงตะกอน
"แม่จ๋า... กองกระดูกนี้เป็นของใคร.. "
ภรรยาผู้ตาย มองดูลูกน้อยด้วยน้ำตาคลอเต็มเบ้า
ส่วนพี่สาวและน้องสาวของผู้ตายเบือนหน้าไปทางอื่น ด้วยทนสภาพที่หดหู่ไม่ได้
น้ำตาไหลนองหน้าสะอึกสะอื้น
สารพันปัญหาที่ไร้เดียงสาของเด็กน้อยยากที่จักหาคำตอบ
ภรรยาผู้ตายกล่าวกับเด็กน้อยด้วยเสียงสะอึกสะอื้นว่า
"นี่...นี่.. ก็คือพ่อของเจ้านั่นแหละ ลูกเอ๋ย.. "
"ไม่จริ๊ง....... ไม่จริง..... ทำไมพ่อต้องเป็นเช่นนี้ ที่แท้พ่อไปไหน....
หนูต้องการหาพ่อ พ่อ... พ่อจ๋า..... พ่ อ..จ๋า.. โฮ....
.