รุ่งเช้าของวันที่ 5 กันยายน
เสียงโทรศัพท์ที่กุฏิของอาตมาดังขึ้นกระทบโสตทำลายความคลืยคลื้มของอาตมาจากการจำวัด
เมื่ออาตมารับสายจึงรู้ว่าเป็นน้ำเสียงของท่านพระภิษุก ไคเจียวฮวบซือ
ท่านได้รับข่าวตั้งแต่เมื่อคืนนี้ว่า จะมีการแขวนคอนักโทษประหาร 2 คนในวันพรุ่งนี้
ดังนั้น ท่านได้รีบธุดงค์จากเกาะ ปีนัง มา
เพื่อดูใจนักโทษทั้งสองรายเป็นครั้งสุดท้าย
นักโทษประหารเด็ดขาด 2 คนนี้ คนหนึ่งอายุ 27 ปี อีกคนหนึ่งอายุ 50 ปี
เขาทั้งสองได้ขอร้องบอกกล่าวแก่เจ้าหน้าที่เรือนจำว่า ขอให้ประหารคนที่อาวุโสกว่าก่อน
ทั้งนี้ก็เพราะว่าทั้งสองนี้เป็นเพื่อนสนิทมิตรสหายที่รักกันมาก
แต่ทว่าถูกแยกขังกันคนละห้อง
เมื่ออาตมาตอบรับทางโทรศัพท์เป็นที่เรียบร้อย ภายหลังวางหูโทรศัพท์
อาตมารู้สึกมีใจหดหู่ ใจคอตีบตัน และตื่นแต้น เนื่องจากว่า
ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่อาตมามีโอกาศเข้าเรือนจำเฝ้าดูการประหารนักโทษอย่างใกล้ชิด
วันพรุ่งนี้แล้วหนอ อาตมาจักได้พบปะมิตรสหายครั้งแรก
และกำลังจะร่ำลากันเป็นครั้งสุดท้าย
ครั้นแล้ว อาตมาก็ได้พบกับนักโทษ เจียงเชียง
เขาได้สำแลงตัวว่าเป็นผู้แทนของกลุ่มนักโทษประหารทั้งหลาย เขาได้ขอร้องอาตมาว่า
ขออำนาจแห่งธรรมะวาสนา ให้อาตมาเรียบเรียงและตีพิมพ์ความสำนึกต่อบาป
ความยึดมั่นในพระธรรม อันเป็นดวงประทีปชักนำเขาทั้งหลาย
ตื่นตาตื่นใจละทิ้งจากกองกิเลส ลงเผยแพร่ยังหนังสือนี้ อาตมารีบรับปากทันที
ขณะที่ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงสำเด็จพระอนุตระสัมมาสัมโพธิญาณ พระองค์ทรงตรัสว่า
"อัศจรรย์ยิ่ง สรรพสัตว์ทั้งหลายต่างมีจิตพุทธะอยูในจิตวิญญาณ
แต่ด้วยอาสวะกิเลสตันหาที่ห่อหุ้มปิดบังจิตเดิมแท้นี้
สรรพสัตว์ทั้งหลายจึงไม่สามารถใช้จิตเดิมแท้นี้มาส่องทางแทงทะลุแจ้งเป็นปัญญาบริสุทธิ์ดั่ง
ตถาคต"
จิตเดิมแท้หรือจิตพุทธภาวะล้วนมีติดอยู่กับจิตวิญญาณของสรรพสัตว์ทุกชาติภพ
คนเราทุกคนสามารถสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าได้ เพียงแต่คนเรากระทำกรรมดี
ตั้งใจปฏิบัติธรรม จนกระทั่งสามารถหลุดพ้นจากการเกิดและดับ
ซึ่งหมุนเวียนในวัฏฏะสงสารไม่มีที่สิ้นสุด ก็จักถึงประตูแห่งพระพุทธได้
แต่ละวัน เราทั้งหลายมีญาณตนภายในทั้ง 6 สมผัสกับญาณตนภายนอกทั้ง 6
เกิดเป็นผลกรรมอันประกอบด้วย โลภะ โทษะ และโมหะ เป็นเหตุให้เกิดเป็นตัวยึดมั่น
เป็นตัวกู ของกู กระทำการอกุศลกรรม
แต่ถ้าหากเราทั้งหลายสามารถเข้าถึงพระธรรมที่ประกอบด้วย ศีล สมาธิ ปัญญา
เคร่งครัดและศรัทธาในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพระพุทธเจ้า
ก็จักสามารถขจัดสิ่งที่เป็นมายาเหล่านี้ได้ เกิดเป็นความรู้แจ้ง เห็นจริง
ส่องเป็นดวงประทีปเกิดปัญญาสว่างไสว
คนที่กระทำแต่กรรมชั่ว เขาก็ยังมีโอกาศทำกรรมดีรอเขาอยู่ มีวาสนาเข้าถึงทางแห่งธรรมะ
รู้และเข้าใจในวิธีแห่งพระพุทธศาสนา ปฏิบัติตนแก้ไขวิถีของความเป็นมนุษย์
นี่แหละเป็นการแสดงออกของความเป็นจิตพุทธะ
ดังนั้น ในโลกนี้จึงไม่มีหนทางตัน หรือไม่มีที่ที่จะไปสำหรับคนที่เคยกระทำกรรมชั่ว
นอกจากว่าเขายังไม่มีวาสนา ยังไม่ถึงเวลาพบพาน หรือยังมีอกุศลจิตครอบงำเขาอย่างแรง
ทำให้เขาไม่ยอมรับ คนเรามิใช่เป็นอัจฉะริยะทุกคนเสมอไป ต่างต่สู้ ดิ้นรน
ว่ายวนอยูในโลกแห่งกิเลสตัณหาตลอดเวลา
นักโทษประหารก็เช่นเดียวกัน เพียงตัดสินใจผิดเดินทางเข้าสู่หนทางแห่งอบาย
แต่นี่มิใช่หมายความว่า ความผิดจักติดเป็นชนักติดตัวเขาตลอดไป ไม่อาจปลดเปลื้อง
การเกิดมาเพียงเพื่อการดำรงชีพเพียงชาติเดียว การเกิดมิใช่เพียงแค่การเริ่มต้น
มันมีที่มาจากการกระทำของสรรพสัตว์เมื่อครั้งอดีตชาติภพที่ส่งผลมาให้เกิด
คนที่กระทำแต่อกุศลกรรมทั้งในอดีตและปัจจุบัน หากสามารถรู้แจ้ง สำนึก
ตื่นจากการชักพาของอบาย เรียนรู้เข้าใจในหิริโอตัปปะ ยอมรับผิดสารภาพต่อบาป
เปลี่ยนวิถีการกระทำ อกุศลกรรม มาประกอบแต่กุศลกรรม ก็จักไม่ถึงอบายภูมิ
"การกระทำของคนโทษเริ่มจากจิต เมื่อจิตสำนึกต่อบาปบุญคุณโทษ ดังนั้น เมื่อจิตดับ
ความเป็นโทษก็ย่อมดับสลาย"
ด้วยประกาละฉะนี้
การมีชีวิตเกิดดับหมุนเวียนไม่มีที่สิ้นสุด การศึกษาเข้าสูประตูมรรคาของพุทธะนั้น
หนทางยาวไกล
แต่คนที่มีความพยายามเกิดมาในชาติปัจจุบันก็สามารถเข้าถึงประตูแห่งพุทธะนั้นได้
แสดงว่า ในอดีตชาติเขาได้ทำกรรมวาสนาเป็นบุพเพที่สั่งสมมาอย่างดีแล้ว
หรือได้รับการชักนำจากกุศลกรรมในปัจจุบันชาติ ถ้าหากคนที่เกิดมาสามารถสดับฟัง
และปฏิบัติตามคำสอนตามธรรมะของพระบรมศาสดาทุก ๆ ชาติ
ก็เท่ากับว่าได้รับเมล็ดปลูกฝังพิชชะพืชเพื่อความเจริญงอมงามของต้นนิพพาน
เป็นหนทางเพียงทางเดียวที่สามารถหลุดพ้นระงับการเกิดดับได้
ในโลกทุกวันนี้ มีบุคคลที่ตังปณิธานทางโพธิสัตว์มรรคจำนวนมาก
คือเข้าใจมองเห็นความทุกข์ยากของสรรพสัตว์ บังเกิดความเมตตาการุณ
ชักพาสรรพสัตว์ให้พ้นจากห้วงทุกข์
โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสิ้นหวังของคนโทษที่ต้องด้วยคำพิพากษาประหารชีวิต
แต่ด้วยเวลาอันน้อยนิดของชีวิตที่ยังหลงเหลือ ก่อนที่เขาเหล่านั้นจักละจากโลกนี้ไป
ก็ยังพอมีโอกาศนำพระพุทธรรมส่องเป็นดวงประทีปให้เขาเหล่านั้นเดินเข้าสู่พุทธวิธี
ช่วยขัดเกลาสันดานดิบ กลายเป็นบุพเพวาสนาในวัฏฏะสงสาร ซึ่งล้วนเป็นมายาอันประกอบด้วย
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เมื่อนักโทษเหล่านี้ขณะกำลังรับโทษประหาร
เมื่อบ่วงเชือกประหารคล้องลงสู่รอบคอ
แสดงถึงตัวแทนจากมัจจุราชได้รับอาณัติสัญญากระชากลากดวงวิญญาณ
นักโทษประหารที่ได้รับการชี้ทางจากดวงประทีปแห่งพระพุทธะ กลับมีความแน่วแน่ มั่นคง
จิตใจไม่หวั่นไหว เตรียมตัวเดินทางไปสู่ดินแดนแห่งพุทธะ โลกสุขาวดี