เพื่อความไม่น่าเบื่อจนเกินไป แล้วเข้ากับเว็บบอลอย่าง soccersuck ผมขอใส่ตัวเลือกให้ท่านๆได้คิดกันเล่นๆก่อนนะครับ
1) ภูเขาที่มีความสูงมากที่สุดในโลกมีชื่อว่าอะไร
ก. ภูเขาเอฟเวอร์เรสต์
ข. ภูเขาเอฟเวอร์ตัน
ค. ภูเขาเอฟ.เอ.คัพ
ง. ภูเขามอนะเคอะ
จ. ภูเขาตะนาวศรี
คำตอบที่ถูกต้องคือ มอนะเคอา ซึ่งเป็นจุดสูงสุดบนเกาะฮาวาย (Mauna Kea อ่านว่า มอ-นะ-เค-อะ ไม่ใช่ มัวนาเคีย)
แม้ ยอดภูเขาไฟที่ดับสนิทลูกนี้สูงกว่าระดับน้ำทะเลไม่ถึงครึ่งหนึ่งของเอเวอร์ เรสต์ นั่นคือเพียง 4,206 เมตร
แต่เมื่อวัดความสูงจากตีนเขาที่อยู่ที่ระดับพื้นดินใต้ทะเลจะสูงถึง 10,200 เมตร ซึ่งจะสูงกว่าเอเวอร์เรสประมาณ 1,200 เมตร
ถ้าว่ากันด้วยเรื่อง ของภูเขาแล้ว ข้อตกลงที่ยอมรับกันในปัจจุบันคือคำว่า “สูงสุด” (highest)
จะหมายถึงการวัดจากระดับน้ำทะเลไปถึงยอดเขา ส่วนคำว่า “มีความสูงที่สุด” (tallest) จะหมายถึงการวัดการตีนเขาถึงยอดเขา
ดังนั้น ในขณะที่เอเวอร์เรสต์เป็นภูเขาที่สูงที่สุดในโลกที่ระดับ 8,848 เมตร มันกลับไม่ใช่ภูเขาที่มีความสูงที่สุดแต่อย่างใด
การวัดความสูงของภูเขานั้นซับซ้อนกว่าที่ตาเห็น เพราะการมองหายอดเขาเป็นเรื่องง่าย แต่ที่ยากคือการมองหาตีนเขา
ยก ตัวอย่างเช่น บางคนแย้งว่า ภูเขาคิริมันจาโรในประเทศแทนซาเนียซึ่งมีความสูง 5,895 เมตรนั้นสูงกว่าภูเขาเอเวอร์เรสต์
เพราะมันตั้งอยู่กลางที่ราบในทวีปแอฟริกา ในขณะที่เอเวอร์เรสต์นั้นเป็นเพียงหนึ่งในยอดเขาหลายๆยอดที่โผล่ออกมาจากฐาน
ขนาดมหึมาของเทือกเขาหิมาลัย ซึ่งเป็นที่ตั้งของภูเขาที่สูงที่สุดในโลกอันดับรองลงมาอีก 13 ลูก ขณะที่บางคนอ้างว่า
วิธีที่สมเหตุสมผลที่สุดคือการวัดระยะทางจากยอดเขาไปจนถึงจุดกึ่งกลางของโลก
เนื่อง จากโลกใบนี้ไม่ได้กลมดิ๊กอย่างสมบูรณ์แบบ แต่ออกไปทางวงรีนิดๆ
ดังนั้น ระยะทางจากเปลือกโลกบริเวณเส้นศูนย์สูตรไปจนถึงจุดกึ่งกลางของโลก
จึงมากกว่าระยะทางจากเปลือกโลกบริเวณขั้วโลกไปจนถึงจุดกึ่งกลางของโลกประมาณ 21 กิโลเมตร
จึงถือเป็นข่าวดีสำหรับภูเขาทั้งหลายที่ตั้งอยู่บริเวณ เส้นศูนย์สูตรที่จะได้มีชื่อเสียงโด่งดังบ้าง (อย่างภูเขาซิมโบราโซในเทือกเขาแอนดีส)
แต่ก็หมายถึงการยอมรับว่า แม้แต่ชายหาดในประเทศเอกวาดอร์ก็ยังสูงกว่าเทือกเขาหิมาลัยด้วยเช่นกัน
ถึง แม้หิมาลัยจะมีขนาดมหึมา แต่ก็มีอายุน้อยอย่างน่าทึ่ง
เพราะตอนที่มันก่อตัวขึ้นมา ไดโนเสาร์เพิ่งสูญพันธุ์ไปเมื่อ 25 ล้านปีเท่านั้นเอง
ในประเทศเนปาล เอเวอร์เรสต์เป็นที่รู้จักในนาม “โชโมลังมา” แปลว่ามารดาแห่งจักรวาล ส่วนที่ทิเบตมันมีชื่อเรียกว่า “ซากามาร์ธา”
แปลว่าหน้าผากแห่งนภา ทุกวันนี้มันก็เหมือนกับเด็กวัยรุ่นส่วนใหญ่ที่มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง ซึ่งยังคงเจริญเติบโตอยู่ตลอดเวลา
ถึงแม้จะด้วยอัตราที่ไม่น่าตื่นใจนัก คือปีละไม่ถึง 0.25 นิ้ว และเขาลูกนี้ถูกพิชิตโดยชาวเนปาลที่มีชื่อว่า เทนซิ่ง นอร์เกย์ หรือเป็นที่รู้จักกันในนาม “เชอร์ป้า เทนซิ่ง” ผู้ซึ่งเป็นไกด์พา เอ็ดมันด์ ฮิลลารี่
(นักปีนเขาชาวนิวซีแลนด์ผู้ที่มักได้รับการบันทึกว่าเป็นคนแรกที่พิชิตเขา ลูกนี้) ไปยังยอดเขาเอเวอร์เรสต์ในปี ค.ศ. 1953 (คือว่า เทนซิ่ง นอร์เกย์ ไปถึงยอดเขาก่อน) ส่วนการตั้งชื่อภูเขาเอเวอร์เรสต์นั้น
ก็เพื่อเป็นเกียรติแก่เซอร์ จอร์จ เอเวอร์เรสต์ นักสำรวจชาวเวลส์ ผู้เดินทางไปสำรวจตั้งแต่ตอนใต้ของอินเดียไปจนถึงเนปาลตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 19
2) สถานที่ใดแห้งแล้งที่สุดในโลก
ก. สนารมราชมังฯ
ข. ทะเลทรายซาฮาร่า
ค. ทะเลทรายซาฮา
ง. ทวีปแอนตาร์กติก้า
จ.. ทวีปแอนเดอร์สันโดนรถชนไม่ใช่นานี่
คำตอบคือทวีปแอนตาร์กติก้าที่ขั้วโลกใต้
พื้นที่บางส่วนของทวีปแห่งนี้ไม่มีฝนตกมาเป็นเวลา 2 ล้านปีแล้ว
ในทางเทคนิคแล้ว คำจำกัดความของคำว่าทะเลทรายคือ สถานที่ๆได้รับน้ำฝนไม่ถึง 10 นิ้วต่อปี
ทะเลทรายซาฮาร่าได้รับน้ำฝนไม่ถึง 1 นิ้วในแต่ละปี
ปริมาณ น้ำฝนโดยเฉลี่ยของแอนตาร์กติก้าก็ไม่ต่างออกไปสักเท่าไหร่ แต่ก็มีพื้นที่ 2 เปอร์เซ็นต์ของทวีปนี้ที่ปราศจากน้ำแข็งและหิมะ
รวมทั้งไม่มีฝนตกลงมาเลย พื้นที่บริเวณนี้เรียกว่าหุบเขาแห้ง (Dry Valley)
สถานที่แห้งแล้ง ที่สุดในโลกอันดับรองลงมาคือ ทะเลทรายอะตากาม่าในประเทศชิลี
ซึ่งในบางพื้นที่ไม่มีฝนตกมานานกว่า 400 ปีแล้ว และปริมาณน้ำฝนโดยเฉลี่ยตลอดทั้งปีก็น้อยกว่า 0.004 นิ้ว
เมื่อเปรียบเทียบกับทะเลทรายทั้งหมดแล้ว มันจึงครองตำแหน่งทะเลทรายที่แห้งแล้งที่สุดในโลกไปโดยปริยาย
เรียกได้ว่าแห้งแล้งกว่าทะเลทรายซาฮาร่าถึง 250 เท่าเลยทีเดียว
นอก จากแอนตาร์กติก้าจะเป็นสถานที่ๆแห้งแล้งที่สุดในโลกแล้ว มันยังเป็นสถานที่ๆมีน้ำมากที่สุดและมีลมกรรโชกรุนแรงที่สุดในโลกอีกด้วย
โดยเราจะพบน้ำจืด 70 เปอร์เซ็นต์ของโลกได้ที่นี่ในรูปของน้ำแข็ง และความเร็วลมก็รุนแรงที่สุดเท่าที่เคยมีการบันทึกมาเลยทีเดียว
ลักษณะ พิเศษของหุบเขาแห้งแอนตาร์กติก้าเกิดขึ้นจากสายลมพัดลงเขา (Katabatic wind)
ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่ออากาศที่หนาวเหน็บและหนาแน่นถูกพัดลงมาจากภูเขา ด้วยอิทธิพลของแรงโน้มถ่วง ความเร็วลมดังกล่าวอาจรุนแรงได้ถึง 322 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ส่งผลให้ความชื้นทั้งหลาย ไม่ว่าจะอยู่รูปของน้ำ น้ำแข็ง และหิมะ ระเหยไปจนหมด
แม้ว่าแอนตาร์กติก้าจะเป็นทะเลทราย แต่เรื่องน่าขันคือ
พื้นที่ตรงส่วนที่แห้งที่สุดของทวีปกลับถูกเรียกว่า โอเอซิส มันมีสภาพคล้ายกับดาวอังคารมากจนนาซ่าใช้เป็นสถานที่ทดสอบภารกิจของยาน ไวกิ้ง
3) สิ่งมีชีวิตที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกคืออะไร
ก. ปลาวาฬ
ข. ปลาวาฬชุบแป้งทอด
ค. ปลาวาฬชุบพี่แป้งทอด
ง. ปลาวาฬชุบพี่แป้งทอดในโรงพยาบาล Hospital Band
จ. เห็ด
คำตอบคือเห็ด!!!
และ มันก็ไม่ได้เป็นเห็ดสายพันธุ์ที่หายากแต่อย่างใด
คุณอาจมีเห็ดโคนญี่ปุ่น (honey mushrooms) ซึ่งมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Armillaria ostoyae อยู่ในสวนของคุณก็เป็นได้
โดยมันจะเจริญเติบโตบนซากต้นไม้ที่ตายแล้ว
ถ้า โชคดี หวังว่าเห็ดในสวนของคุณคงไม่เจริญเติบโตจนมีขนาดเท่ากับเห็ดที่ได้รับการ
บันทึกว่ามีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งอยู่ที่วนอุทยานแห่งชาติแมลเฮียร์ในรัฐโอเรกอน โดยเห็ดที่นั่นได้แผ่ขยายตัวเองปกคลุมพื้น
ที่ถึง 9 ตารางกิโลเมตรและมีชีวิตอยู่มานาน 2,000 ถึง 8,000 ปีมาแล้ว ส่วนใหญ่จะอยู่ใต้พื้นดินในรูปของผืนใยสีขาวที่พันกันยุ่งเหยิงเป็นจำนวนมาก
(เปรียบเสมือนรากของเห็ด) แผ่ขยายชอนไชไปตามรากต้นไม้ ทำให้ต้นไม้เหล่านั้นตาย และโผล่พ้นผิวดินออกมาบางครั้งในรูปของเห็ดโคนญี่ปุ่นหน้าตาไร้เดียงสา
เดิมที นั้นมีการคิดกันว่า เจ้าเห็ดโคนญี่ปุ่นยักษ์แห่งโอเรกอนนี้เจริญเติบโตแยกเป็นกลุ่มๆกระจายไป ทั่วทั้งป่า
แต่ปัจจุบันนักวิจัยได้ยืนยันแล้วว่า มันเป็นสิ่งชีวิตหนึ่งเดียวที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งเชื่อมประสานกันอยู่ใต้พื้นดิน
อะไรคือสิ่งที่ใหญ่ที่สุดที่ปลาวาฬสีน้ำเงินสามารถกลืนลงไปได้
ก. หัวของลูคัส เลว่า
ข. ลูกกะตาของเมซุส โอซิล
ค. ส้มหนึ่งผล
ง. รถยนต์หนึ่งคัน
จ. รถบรรทุก 10 ล้อหนึ่งคัน
คำตอบคือส้มโอหนึ่งผล
เรื่องที่น่าสนใจคือ ลำคอของปลาวาฬสีน้ำเงินมีขนาดแทบจะเท่ากับสะดือของมัน (ซึ่งมีขนาดประมาณจานใส่สลัด)
แต่มีขนาดเล็กกว่าเยื่อแก้วหูของมันเล็กน้อย (ซึ่งมีขนาดเท่าจานใส่อาหาร)
ตลอดระยะเวลาแปดเดือนในแต่ละปี ปลาวาฬสีน้ำเงินแทบจะไม่ได้กินอะไรเลย
แต่พอย่างเข้าฤดูร้อน พวกมันแทบจะไม่ได้หยุดกินเลย โดยสวาปามอาหารเข้าไปมากถึงวันละ 3 ตัน
คุณอาจจะพอจำได้จากชั้นเรียนชีววิทยาว่า อาหารของพวกมันคือพวกสัตว์มีเปลือกสีชมพูขนาดเล็กคล้ายๆกับกุ้ง ซึ่งมีชื่อเรียกว่า ตัวเคย (krill)
ซึ่งจะถูกกลืนลงกระเพาะของปลาวาฬราวกับกลืนน้ำผึ้งเลยทีเดียว ตัวเคยจะมีมาให้สวาปามครั้งละเป็นฝูง
แต่ละฝูงมีขนาดมหึมา โดยอาจหนักได้กว่า 100,000 ตันเลยทีเดียว
krill เป็นคำที่มาจากภาษานอร์เวย์ ซึ่งมีรากศัพท์มาจากคำว่า kriel ในภาษาดัตช์ หมายความว่า “ลูกปลาน้อย”
และทุกวันนี้ยังถูกนำไปใช้แทนความหมายคำว่า “คนแคระ” และ “เรื่องขี้ประติ๋ว” อีกด้วย
ดังนั้น การที่ปลาวาฬมีขนาดลำคอแคบๆจึงหมายความว่า มันไม่อาจกลืนโยนาห์ลงไปได้
(โยนาห์คือนักบวชในคัมภีร์ไบเบิลที่ถูกจับโยนลงทะเลเพราะถูกกล่าวหาว่าเป็นต้นตอของพายุรุนแรง
แต่พระเจ้าได้ให้ปลาใหญ่ซึ่งก็คือปลาวาฬกลืนลงท้องไปแล้วว่ายไปคายที่ชายหาดเพื่อทดสอบศรัทธาของพระองค์)
ปลาวาฬชนิดเดียวที่มีลำคอกว้างพอจะกลืนคนลงไปได้คือปลาวาฬสเปิร์ม แต่เมื่อเข้าไปในตัวมันแล้ว
ของเหลวภายในท้องของมันซึ่งมีความเป็นกรดสูงมากก็ทำให้การรอดชีวิตเป็นไปไม่ ได้เลย อย่างในกรณีของ “โยนาห์คนใหม่” ซึ่งสร้างความฮือฮาเมื่อปี 1891 นั้น เจมส์ บาร์ทลี่ย์ อ้างว่าเขาถูกปลาวาฬสเปิร์มกลืนลงไปและถูก
ลูกเรือของเขาช่วยเหลืออกมาในอีก 15 ชั่วโมงให้หลัง ก็ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นเรื่องโกหกหลอกลวง
ถ้าไม่นับลำคอแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับปลาวาฬสีน้ำเงินล้วนมีขนาดมหึมาทั้งสิ้น ด้วยขนาดลำตัวยาวถึง 32 เมตร
มันจึงเป็นสัตว์ที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา (ไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่าบลูแฮธเคโอซอรัสซึ่งเป็นไดโนเสาร์ที่มีขนาดใหญ่ที่ สุดที่ถูกค้นพบจะตัวใหญ่กว่า)
ลิ้นของมันหนักกว่าช้าง 1 เชือกเสียอีก หัวใจมีขนาดเท่ากับรถยนต์ 1 คัน กระเพาะอาหารสามารถจุอาหารได้มากกว่า 1 ตัน นอกจากนี้
มันยังสามารถสร้างเสียงได้มากกว่าสัตว์ชนิดใดในโลก โดยเสียงร้องความถี่ต่ำของมันสามารถตรวจจับได้โดยปลาวาฬตัวอื่นๆที่อยู่ห่าง ไกลออกไปถึง 16,000 กิโลเมตร
สิ่งประดิษฐ์ใดจากฝีมือมนุษย์ที่สามารถมองเห็นได้จากดวงจันทร์
ก. กำแพงเมืองจีน
ข. กำแพงเมืองชล
ค. กำแพงเมืองชลบุรี
ง. กำแพงเมืองชลบุรี เอฟ.ซี. ปู๊นๆ
จ. กำแพงเบอร์ลิน
ฉ. กำแพงเบอบาตอฟ
ช. กำแพงเบอกาม๊อด
ซ. กำแพงเบอบาตอฟทำไมไม่ใช้เบอกาม็อด
คำตอบคือไม่มีข้อใดถูก
เพราะไม่มีสิ่งประดิษฐ์ใดบนโลกที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าจากดวงจันทร์
แนวคิดที่ว่ำแพงเมืองจีนเป็นวัตถุที่มนุษย์สร้างขึ้นเพียงอย่างเดียวที่มองเห็นได้จากดวงจันทร์นั้น
ได้แพร่สะพัดออกไปอย่างกว้างขวาง และก็ได้สร้างความสับสนในเรื่องของดวงจันทร์กับอวกาศเป็นอย่างมาก
จริงๆแล้วอวกาศอยู่ไม่ไกลเลย โดยห่างจากพื้นผิวโลกประมาณ 97 กิโลเมตร
จากจุดนั้น เราสามารถมองเห็นสิ่งประดิษฐ์ได้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นถนนหลวง เรือที่กำลังแล่นในทะเล
รางรถไฟ หัวเมืองต่างๆ ไร่ข้าวโพด หรือแม้แต่อาคารบางหลัง
อย่างไรก็ตาม หลังจากหลุดวงโคจรโลกไปได้แค่ไม่กี่พันกิโลเมตร และมองไม่เห็นสิ่งประดิษฐ์ใดๆบนพื้นโลกได้อีกเลย
ดังนั้น ถ้าเรายืนบนพื้นผิวดวงจันทร์ซึ่งห่างจากโลกมากกว่า 402,336 กิโลเมตร แม้แต่ทวีปทั้งผืนก็ยากที่จะมองเห็นได้
ใครเป็นผู้ประดิษฐ์เครื่องยนต์ไอน้ำ
ก. เจมส์ วัตต์
ข. เจมส์ บอนด์
ค. โธมัส นิวโคแมน
ง. ลูคัส เบนิเตส เลว่า
จ. นักวิทยาศาสตร์จากอียิปต์คนหนึ่งชื่อเฮร่อน
คำตอบคือ จ.
เฮร่อนได้รับรางวัลข้อนี้ไป เขาสร้างก่อนเครื่องยนต์ในปี 1711 ของนิวโคแมนเป็นเวลาถึง 1,600 ปี
เฮร่อนอาศัยอยู่ในเมืองอเล็กซานเดรียประมาณคริสตศักราชที่ 62 นอกจากจะเป็นที่รู้จักในฐานะนักคณิตศาสตร์และนักเลขาคณิตแล้ว
เขายังเป็นนักประดิษฐ์ที่มองการณ์ไกลอีกด้วย และแอโรไพล์ (ลูกบอลกลม) ของเขาถือว่าเป็นเครื่องยนต์ไอน้ำตัวแรกที่ทำงานได้จริง
ซึ่งใช้หลักการเดียวกับการขับเคลื่อนด้วยแรงดันของก๊าซ โดยไอน้ำจะขับเคลื่อนลูกเหล็กทรงกลมให้หมุนไป 1,500 รอบต่อนาที โชคร้ายสำหรับเฮร่อนที่ไม่มีใครนึกออกว่าจะนำมันไปใช้ประโยชน์อย่างไร
สิ่งประดิษฐ์อันล้ำสมัยชิ้นนี้จึงถูกสบประมาทว่าไม่ได้เป็นอะไรไปมากกว่าสิ่งประดิษฐ์อันน่าตลกขบขันชิ้นใหม่เท่านั้นเอง
น่าประหลาดใจเฮร่อนไม่รู้ว่าได้มีการประดิษฐ์รางรถไฟขึ้นมา 700 ปีก่อนหน้าเขาแล้ว
โดยเป็นฝีมือของเพอเรียนเดอร์จอมเผด็จการแห่งโครินธ์ในยุคกรีกโบราณ รางรถไฟที่ว่านี้มีชื่อเรียกว่า ดิโอคอส (ทางลื่นไหล) มันมีระยะทาง 6 กิโลเมตรพาดข้ามบริเวณคอคอดโครินธ์
โดยเป็นถนนที่ปูพื้นด้วยหินปูนลูกบาศก์ ซึ่งถูกแซะรางคู่ขนานห่างกัน 1.5 เมตร รถเข็นจะวิ่งไปตามรางนี้ และเรือทั้งหลายก็จะถูกนำมาบนรถเข็นเหล่านี้ โดยมีแรงงานทาสเป็นผู้ทำหน้าที่เข็นรถ นี่จึงเป็นคลองบกที่เป็นทางลัดในการเดินทางระหว่างทะเลอีเจียนและทะเล ไอโอเนียน
ดิโอคอสถูกใช้เป็นเวลานานกว่า 1,500 ปี จนกระทั่งชำรุดทรุดโทรมลงในปี ค.ศ. 900 หลักการของรถไฟจึงถูกลืมเลือนไปนานเกือบ 500 ปี
จนกระทั่งเริ่มมีคนคิดจะนำมันมาใช้ในเหมืองในช่วงศตวรรษที่ 14
นักประวัติศาสตร์ชื่อ อาร์โนลด์ ทอยน์บี ได้เขียนสุดยอดบทความที่พยากรณ์ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
ถ้าสิ่งประดิษฐ์ทั้งสองสิ่งนี้ถูกนำไปสร้างอาณาจักรกรีกที่สยายปีกไปทั่วภูมิภาคของโลก
โดยมีพื้นฐานอยู่บนเครือขายรางรถไฟ การปกครองระบอบประชาธิปไตยแบบเอเธนส์ และศาสนาพุทธที่ก่อตั้งขึ้นจากคำสอนของพิธากอรัส
เฮร่อนยังเป็นผู้ผลิตตู้จำหน่ายสินค้าแบบหยอดเหรียญอีกด้วย โดยเมื่อหยอดลงไป 4 ดรั๊กม่า
ก็จะมีน้ำศักดิ์สิทธิ์ไหลออกมา 1 จอก รวมทั้งประดิษฐ์อุปกรณ์พกพาที่ป้องกันไม่ให้ใครมาดื่มไวน์ที่เราถือไปในงานเลี้ยงด้วย
ใครเป็นผู้ประดิษฐ์โทรศัพท์
ก. อเล็กซานเดอร์ เกรแฮม เบลล์
ข. อเล็กเซอร์เฟอร์ กูสัน เบลล์
ค. อเล็กซานเดอร์ เนสต้า
ง. อเล็กซานเดอร์ เคล็บ
จ. แอนโตนิโอ เมอุคชี่
ช. ลูคัส เลว่า
คำตอบคือ ลูคัส เลว่า
ไม่ใช่แล้ววว onion16
คำตอบคือแอนโตนิโอ เมอุคชี่
ไม่ใช่อเล็กซานเดอร์ เกรแฮม เบลล์ อย่างที่เราร่ำเรียนกันมาในตำรา
แต่เป็น แอนโตนิโอ เมอุคชี่ นักประดิษฐ์ชาวฟลอเรนซ์ต่างหาก
เมอุคชี่เป็นคนปราดเปรื่องแต่เอาแน่เอานอนไม่ได้ เขามาถึงอเมริกาเมื่อปี 1850 และในปี 1860 เขาก็ได้นำเครื่องต้นแบบของอุปกรณ์ไฟฟ้าที่เรียกว่า เทเลโทรโฟโน (teletrofono)
ออกมาแสดงเป็นครั้งแรก หลังจากนั้นก็ได้ยื่นจดทะเบียนสิทธิบัตรชั่วคราวในปี 1871 ก่อนหน้าสิทธิบัตรโทรศัพท์ของอเล็กซานเดอร์ เกรแฮม เบลล์ นานถึง 5 ปี
ในปีเดียวกันนั้น เมอุคชี่ล้มป่วยลงหลังจากได้รับอุบัติเหตุจากการระเบิดของหม้อต้มไอน้ำของเรือข้ามเกาะสเตเทน
และเนื่องจากพูดภาษาอังกฤษไม่ได้มากนักและประทังชีพอยู่ได้ด้วยเงินบริจาค เขาจึงมีเงินไม่ถึง 10 ดอลล่าร์สำหรับยื่นต่อสิทธิบัตรชั่วคราวในปี 1874
เมื่อเบลล์จดสิทธิบัตรโทรศัพท์ของตนในปี 1876 เมอุคชี่จึงยื่นเรื่องฟ้องร้อง
เขาได้ส่งภาพร่างและเครื่องต้นแบบไปยังห้องทดลองที่เวสเทิร์น ยูเนี่ยน แต่บังเอิญเหลือเกินที่เบลล์ทำงานที่ห้องทดลองนั้นพอดิบพอดี
เอกสารและเครื่องต้นแบบของเมอุคชี่จึงอันตรธานหายไปอย่างเป็นปริศนา
ขณะที่ข้อพิพาทยังคงค้างคาอยู่ เมอุคชี่ก็เสียชวิตในปี 1889
ส่งผลให้เบลล์เป็นผู้ได้รับการยกย่องในงานประดิษฐ์ชิ้นดังกล่าวไปเสียทั้งหมด ไม่ใช่เมอุคชี่ ในปี 2004
สภาผู้แทนราษฎรของสหรัฐอเมริกานำความยุติธรรมกลับคืนมาบางส่วน โดยได้ร่วมกันผ่านมติว่า
“ชีวิตและความสำเร็จของเมอุคชี่ควรได้รับการยกย่อง และผลงานการประดิษฐ์ของเขาก็สมควรได้รับการยอมรับเช่นกัน”
สรุปก็คืองานนี้ เมอุคชี่ถูกเบลล์ขโมยผลงานไปอย่างหน้าด้านๆนั่นเอง