10 อันดับ ฆาตกรหญิงที่โหดที่สุด

อันดับ10. ควีนแมรี่ ที่ 1 (Queen Mary I  ) (ค.ศ. 1516 – 1558)

ราชินีแมรี่เป็นพระธิดาพระองค์เดียวใน กษัตริย์เฮนรี่ที่ 8 และพระนางแคทเธอรีน แห่งอารากอน พระองค์เคยเกือบที่จะสวรรคตในช่วงวัยทารกมาแล้วแต่รอดมาได้ และขึ้นครองราชย์สมบัติหลังจากพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 6 สิ้นพระชนม์ ด้วยการปลดราชินีเก้าวันอย่าง เลดี้เจน เกรย์ ออก และขึ้นครองราชย์แทน โดยราชินีแมรี่ชูนโยบายที่พระองค์เน้นเป็นพิเศษ คือการที่ทำให้ประเทศอังกฤษเป็นประเทศที่นับถือนิกายคาธอลิกอย่างเดียว พระองค์เลยคิดหาทางกำจัดพวกโปรแตสแตนท์ในประเทศให้หมดสิ้น โดยใช้หลายๆวิธี สาวกนิกายโปรแตสแตนท์ที่มีชื่อเสียงหลายคนถูกจับประหาร ทำให้พระนางมีนามหนึ่งว่า “Bloody Mary” หรือ “แมรี่บ้าเลือด” ซึ่งฉายานี้มาจากการจับสาวกนิกายโปรแตสแตนท์ ขึ้นแขวนคอบนตะแลงแกงในคราวเดียวกว่า 800 คน

 
อันดับ 9. ไมร่า ฮินด์ลีย์ (Myra Hindley) (ค.ศ.1942 – 2002)

ไมร่า ฮินด์ลีย์ และคู่รัก เอียน เบรดี้ เป็นผู้ก่อคดี “Moors murdersฆาตกรรมแห่งท้องทุ่ง” โดยเหตุเกิดที่แถวเมืองแมนเชสเตอร์ในสหราชอาณาจักรในราวช่วงทศวรรษที่ 60 ฆาตกรโหดคู่นี้ถูกจับเพราะกระทำการลักพาตัว, ทารุณกรรมทางเพศ, ทรมานและฆาตกรรม เด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี 3 คน และเด็กวัยรุ่นอายุ 16 และ 17 ปี โดยหลักฐานที่พบประกอบด้วย เทปที่บันทึกระหว่างกำลังทำการฆาตกรรมที่มีเสียงผู้ตายกำลังกรีดร้อง ขณะที่ไมร่าและเบรดี้กำลังข่มขืนและทรมาน  ในระหว่างการสอบสวนและวันตัดสินเธอยังมีท่าทีกินลูกอมอย่างไม่สะทกสะท้าน ซ้ำยังทำท่าทางกร่างและแสดงความยโสโอหัง จนกลายเป็นลักษณะพิเศษที่เป็นที่จดจำของเธอ จนกลายเป็นบุคคลคนที่ชาวอังกฤษเกลียดชังที่สุดในประวัติศาสตร์
 

อันดับ 8. ราชินิ อิซาเบลล่า แห่ง แคสไทล์ (Isabella of Castile) (ค.ศ.1451 – 1504)

ราชินิอิซาเบลล่าที่ หนึ่ง แห่งสเปน เป็นที่รู้จักกันดีในฐานะผู้อุปถัมภ์ของ คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส กับพระสวามีของพระนาง กษัตริย์เฟอร์ดินานด์ที่ 2 แห่งราชวงศ์อารากอน ทั้งสองพระองค์ร่วมกันมีส่วนในการรวมประเทศสเปน ภายใต้การนำของหลานชายของพระองค์ โดยแผนการรวมชาตินี้ ราชินิอิซาเบลล่าได้ แต่งตั้งให้ นายพล โทมาส เดอ ทอร์คิวมาดา ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่สอบสวน (โดยวิธีทรมาน) รุ่นแรกๆ เป็นผู้บัญชาการในการสอบสวนทรมาน จนวันที่ 31 เดือนมีนาคม ค.ศ.1492 มีบันทึกว่าเป็นวันออกกฤษฎีกาแอลฮัมบราโดยมีคำสั่งให้ขับไล่ ชาวยิวและชาวมุสลิมออกนอกประเทศ นอกจากนั้นประชาชนราว 2 แสนคนที่หลงเหลืออยู่ในประเทศสเปน ถ้าไม่เปลี่ยนศาสนาจะถูกจับมาลงโทษอย่างทารุณ ในปี ค.ศ. 1974 สันตะปาปาพอลที่ 6 กล่าวถึงการกระทำของพระนางว่า" สมควรทำ" และอวยพร ให้พระนางเป็นนักบุญ ในโบสถ์นิกายคาทอลิก ในฐานะข้ารับใช้ของพระเจ้า


อันดับ 7. เบเวอรี่ เอลลิทท์ (Beverly Allitt) (ค.ศ. 1968-?)

เธอได้รับฉายาหนึ่งว่า " The Angel of Death หรือนางฟ้าแห่งความตาย !!!! " เบเวอรี่ เกล เอลลิท หนึ่งในฆาตกรต่อเนื่องหญิงที่ชาวอังกฤษเป็นที่รู้จักกันดี เธอทำงานเป็นนางพยาบาลดูแลเด็กๆ และถูกจับในข้อหาฆาตกรรมเด็ก 4 คน และทำให้บาดเจ็บสาหัสอีก 5 คน (ที่จริงมากกว่านั้น) โดยการฉีดสารอินซูลินหรือโพแทสเซียมที่ใช้เพื่อเร่งการทำงานของหัวใจมากเกินไป จนเด็กตายอย่างทรมาน ซึ่งปัจจุบันเธอยังถูกจองจำอยู่ในคุก เพราะที่ประเทศอังกฤษไม่มีโทษประหารชีวิต
 

อันดับ 6. เบลล์ กันเนส (Belle Gunness) (ค.ศ.1859 - 1931)

เบลล์ กันเนส เจ้าของฉายา “A female Bluebeard  ผู้หญิงเคราน้ำเงิน” เป็นหนึ่งในฆาตกรต่อเนื่องหญิงที่ฆ่าคนมากที่สุดในอเมริกา ด้วยส่วนสูง 6 ฟุต (183 เซนติเมตร) และหนักกว่า 200 ปอนด์ (91 กิโลกรัม) เชื้อชาตินอร์วีเจียนที่ตัวใหญ่และแข็งแรง โดยเธอใช้ร่างกายอันใหญ่ยักษ์นี้สังหารสามีของเธอทั้งสองคนและลูกๆทั้งหมดของเธอโดยฆ่าเพื่อหวังเงินประกันชีวิต และขโมยทรัพย์สินเอามาเข้ากระเป๋าของเธอ นอกจากนั้นยังมีรายงานมากมายว่าเธอน่าจะฆ่าคนมากกว่าหนึ่งร้อยราย แต่เธอดันชิงฆ่าตัวตายก่อนโดยการเผาตัวเองพร้อมกับบ้าน แต่ผลชันสูตรศพของเธอนั้นหลายๆฝ่ายไม่เชื่อว่าศพนี้เป็นของเธอ เพราะศพนั้นเตี้ยกว่าส่วนสูงของเบลล์ถึงหกฟุตด้วยกัน ต่างกันถึงสองนิ้ว
 

อันดับ 6. แมรี่ แอนน์ คอตต้อน (Mary Ann Cotton) (ค.ศ.1832 – 1873)

นาง แมรี่ แอนน์ คอตต้อน สตรีชาวอังกฤษ เป็นนักฆ่าต่อเนื่องเพื่อผลประโยชน์อีกรายหนึ่ง แต่งงานเมื่ออายุ 12 ปีกับ นายวิลเลียม มาวเบรย์ คู่แต่งงานใหม่นี้อาศัยที่พลีเมาท์ เมืองเดวอน ต่อมาพวกเขามีลูกด้วยกันห้าคน สี่คนตายเพราะโรคกรดในกระเพาะอาหารและปวดท้องอย่างรุนแรง จากนั้นพวกเขาก็ย้ายไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ แต่เหตุการณ์ร้ายก็ยังตามมา เมื่อลูกที่เลี้ยงตายถึงห้าคนในระยะเวลาใกล้เคียงกัน ต่อมานายวิลเลียมก็ตายตามลูกๆ ไปด้วยโรคลำไส้ไม่ทำงานในเดือนมกราคม ปี 1865 ประกันสังคมของอังกฤษจ่ายเงินสินไหมชดเชยให้เธอถึง 35 ปอนด์สเตอริง  แต่เหตุการณ์ร้ายก็ยังไม่สิ้นสุด เพราะต่อมา สามีคนที่สองของเธอ จอร์จ วาร์ด ก็เสียชีวิตเพราะปัญหาเกี่ยวกับลำไส้เช่นเดียวกับหนึ่งในลูกอีกสองคนที่เหลือของเธอ ด้วยการตายถี่ของคนในครอบครัวแมรี่ทำให้มีการสอบสวนเกิดขึ้น จนพบว่า นาง แมรี่ แอนน์ มีความผิดฐานวางยาสามีสามคน, คู่รัก, เพื่อน, แม่ของเธอ, และลูกๆอีกหนึ่งโหล ทั้งหมดเสียชีวิตจากอาการป่วยที่ท้อง ผลคือเธอถูกแขวนคอที่ เดอร์แฮม เคนท์ตี้ กาออล ในวันที่ 24 เดือนมีนาคม ปี 1873 ด้วยข้อหาฆาตกรรมด้วยการวางยาพิษสารหนู เธอตายอย่างช้าๆ เพราะเพชฌฆาตใช้เชือกแขวนคอสั้นเกินไปสำหรับการประหาร

 
อันดับ 4. อิลซ่า คอชห์ (Ilse Koch) (ค.ศ.1906 – 1967)

ได้รับฉายาเยอะจริงสำหรับผู้หญิงคนนี้ เช่น “the Witch of Buchenwald. นางแม่มดแห่งบูเชนวาล์ด” , “หญิงเลวแห่งบูเชนวาล์ด” เธอเป็นภรรยาของนายพลคาร์ล คอชห์ ผู้บัญชาการแห่งค่ายกักกันของนาซีประจำค่ายบูเชนวาล์ด(1937-1941) และมาจดาเนค (1941-1943) เธอเป็นคนบ้าอำนาจมากและเมื่อเธอได้ทำงานแทนสามี เธอก็มีเวลาว่างอันแสนสนุกสนานกับการทรมานและข่มขืนนักโทษในค่ายกักกันจนฉาวโฉ่ จนเป็นที่ร่ำลือในความโลกีย์  ว่ากันว่ารอยสักตามร่างกายของเธอนั้นมาจากการสังหารคนในค่ายกักกันหนึ่งคนต่อหนึ่งขีด (ขีดในร่างกายเธอมีประมาณ 250,000 ขีด!!) แต่ผลสุดท้าย เธอก็แขวนคอฆ่าตัวเองตายในเรือนจำหญิงอิคช์แอคช์ ในวันที่ 1 เดือนกันยายน ปี 1967
 

อันดับ 3. เออร์ม่า เกรเซอ (Irma Grese) (ค.ศ.1923 -1945)

อีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ที่น่าภูมิใจ(ในความอัปยศ)ของนาซีในยุคหลัง เออร์ม่า เกรเซอ หรือ “Bitch of Belsen. หญิงเลวแห่งเบลเซ่น” เธอเป็นทหารรักษาการณ์ที่แคมป์กักกันเรเวนส์บรุคค์, ค่ายนรกเอาส์ชวิทซ์ และ เบอร์เย่น – เบลเซ่น ถูกย้ายมาประจำการที่เอาส์ชวิทซ์ในปี1943 โดยได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพลสำรองพิเศษหน่วยควบคุมดูแล ซึ่งเป็นยศที่ใหญ่เป็นลำดับที่สองของทหารหญิงในค่าย ในวันสิ้นปี เธอจับนักโทษหญิงชาวยิวกว่า 30,000 คน มาสนุกกับเกมส์อันพิศดารของเธอ ประกอบด้วย การทารุณกรรมเหล่านักโทษ โดยให้สุนัขที่ถูกฝึกฝนและกำลังหิวโหยกัด รวมถึงการทารุณกรรมทางเพศต่างๆจนนักโทษรับไม่ไหว การยิงปืนตามอำเภอใจ การตีอย่างทารุณด้วยแส้แบบเปีย และเลือกนักโทษเข้าห้องรมแก๊ส เธอชอบเรื่องซาดิสต์ทรมานคนมากๆ จนนักโทษหลายคนในค่ายรู้จักเธอดีในภาพลักษณ์หญิงใส่รองเท้าบูทหนัก และพกปืนสั้นเพื่อให้สะดวกในการทรมานนักโทษ
 

อันดับ 2. แคทเธอรีน ไนท์ (Katherine Knight) (ค.ศ.1956 – ?)

แคทเธอรีน ไนท์ สตรีชาวออสเตรเลียนคนแรกที่โดนโทษประหารชีวิตโดยไม่มีการอุทธรณ์ เป็นฆาตกรต่อเนื่องที่ฆ่าสามีเธออย่างโหดเหี้ยมที่สุดเท่าที่โลกมีมา เธอเคยบดฟันปลอมของสามีเก่าคนหนึ่งของเธอจนแหลกละเอียด และปาดคอลูกสุนัขอายุ 8 สัปดาห์ของสามีอีกคนหนึ่งก่อนจะเชือดตาของเขาออก  แต่ที่ดังที่สุดคือคดีฆ่า นายจอห์น ชาร์ล โธมัส ไพรซ์ เมื่อนายไพรซ์ยื่นฟ้องต่อศาลเพื่อจะขอหย่ากับนางแคทเธอรีน จนนางแคทเธอรีนโกรธแค้นมาก เลยใช้มีดแล่เนื้อ แทงนายไพรซ์จนถึงแก่ความตาย เขาถูกแทงอย่างน้อย 37 ครั้ง ทั้งหน้าและหลัง และหลายแผลถูกแทงทะลุอวัยวะภายในที่สำคัญหลายแห่ง จากนั้นเธอก็ถลกหนังเขา แล้วแขวนหนังที่ถูกถลกไว้กับขอบประตูห้องนั่งเล่น ตัดหัวเขาออกแล้วใส่ในหม้อซุป อบส่วนสะโพกบั้นท้ายของเขา แล้วเตรียมน้ำเกรวี่และผักเพื่อเป็นเครื่องเคียงเนื้ออบ โดยอาหารมื้อพยาบาทนี้ถูกปรุงขึ้นเพื่อให้เด็กๆ ในบ้านกิน แต่โชคดีที่ตำรวจมาเจอก่อนที่เด็กๆจะกลับมาถึงบ้าน


อันดับ 1.เอลิซาเบธ บาโธรี่ (Elizabeth Bathory )  (ค.ศ.1560-1614)

เธอคือฆาตกรหญิงที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดในฮังการีและของโลก ส่วนสาเหตุที่ทำให้เธอฆ่าคนเพราะคิดว่าถ้านำเอาเลือดมาชำระร่างกายผิวของเธอจะสวยสดตลอดกาล!!!! โดยเรื่องเริ่มขึ้นเมื่อมีข่าวลือหลายปีเกี่ยวกับเด็กผู้หญิงชาวไร่ชาวนาหายไปในเขตการปกครองของพระองค์ จนกษัตริย์แมทเทียสที่ 2 ต้องออกมาทำการตรวจค้นที่ปราสาทของเธอ จนกระทั่งได้พบศพของเด็กหญิงที่ตาย อย่างโหดร้ายสุดจะบรรยาย เช่น ร่างพรุนด้วยเข็ม ศพไหม้ หรือศพโดนตัดแขนหรือขา หรือชิ้นส่วนสำคัญของร่างกายออก บางศพมีการบิดเนื้อบิดหน้า,แขน และส่วนเกี่ยวกับร่างกายอื่นๆ  และทำให้อดอาหารตาย โดยเหยื่อทั้งหมดถูกคิดว่าน่าจะมีตัวเลขที่เกินกว่าร้อยศพ แต่เนื่องจากสถานะเกี่ยวกับทางสังคมของเธอ โทษประหารจึงถูกละเว้น เหลือแต่ให้ขังตลอดชีวิตในห้องขังเดี่ยวๆ ใต้หอคอยแทนจนกระทั้งเธอขาดใจตายในที่สุด

12 ต.ค. 52 เวลา 16:51 19,862 79 704
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...