การแต่งงาน คือพิธีการที่เป็นการประกาศให้คนในสังคมรอบๆ ตัว ทราบโดยทั่วกันว่า คนทั้งสองได้ตัดสินใจที่จะใช้ชีวิตร่วมกันไปตลอดช่วงเวลาที่เหลืออยู่ ซึ่งคนที่จะยืนคู่กันในงานแต่งงานนั้น แน่นอนว่าจะต้องเป็นคนที่รัก กันและเลือกเฟ้นมาเป็นอย่างดี และพร้อมที่จะแชร์ทุกๆ เรื่องไปด้วยกันทั้งชีวิต
แน่นอน เรื่องเซ็กซ์ ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น ดังนั้น ถึงแม้จะไม่ค่อยมีคนนิยมกล่าวถึงเรื่องนี้กัน แต่ใครๆ ก็คงรู้ว่าในค่ำคืนของวันแต่งงาน คู่บ่าวสาวจะต้องทำอะไรกันบ้าง จริงอยู่ที่เรื่องเพศในทุกวันนี้ เป็นเรื่องที่เปิดกว้างขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก หนุ่มสาวหลายคู่ก็อาจจะเคยมีเพศสัมพันธ์กันก่อนหน้าที่จะเดินทางมาถึงวันแต่งงานแล้วก็ได้ หากแต่ก็ยังมีอีกหลายคู่ที่ไม่ได้เป็นแบบนั้น ถ้าหากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นคนที่มีความคิดอนุรักษ์นิยมมากๆ และไม่เคยข้องแวะกับเรื่องเพศสัมพัธ์มาก่อนหน้านี้เลย มาค้นพบความจริงในวันแต่งงานว่า คู่ของตน กลับเป็นคนที่ผ่านศึกสงครามมาอย่างหนัก คงจะเสียความรู้สึกไม่ใช่น้อย ในกรณีที่ฝ่ายชายเคยผ่านหญิงอื่นมาก่อน ดูเหมือนว่าในสังคมบ้านเรานั้น จะไม่รู้สึกว่าผิดบาปสักเท่าไร แต่ถ้าหากเป็นฝ่ายหญิงที่ผ่านศึกมามากกว่าฝ่ายชายแล้วล่ะก็ เจ้าบ่าวก็คงจะรู้สึกแปลกๆ
ถึงแม้จะฟังดูไม่ยุติธรรม แต่สังคมบ้านเราก็มีความเห็นไปทางนั้นจริงๆ ดังนั้นจึงมีสาวๆหลายคนเลือกที่จะ 'แสร้งทำ'เพื่อแสดงให้ฝ่ายชายเข้าใจว่าตนไม่ประสีประสาในเรื่องเพศ แต่การแสร้งทำที่ว่านั้น มันจะเป็นเรื่องที่ดีจริงไหม หรือฝ่ายเจ้าบ่าวนั้นจะทราบหรือไม่ว่าเป็นการหลอกเพื่อให้เขารู้สึกดี แล้วไอ้ความรู้สึกดีที่ว่านั้นมันจะดีจริงหรือ ??
“ก็ต้องยอมรับนะว่า คนทั่วไปในสังคม ก็ยังให้ความสำคัญกับเรื่องของความบริสุทธิ์ของคนที่จะแต่งงานด้วยอยู่ ทั้งๆ ที่รู้อยู่ว่ามันเป็นไปได้ยาก ทั้งนี้ผมก็เชื่อว่ามันก็ยังมีอยู่นะ แต่ถ้ารักไปแล้ว ตั้งใจจะอยู่ด้วยกันแล้วก็คงไม่เป็นไร” ร่มไทร ศักดาเดช ชายหนุ่มตอนปลายวัย 30 ต้นๆ แสดงทัศนคติถึงเรื่องนี้ ในฐานะที่วัยของเขา เป็นได้ทั้งคนรุ่นเก่าและรุ่นใหม่
“เรื่องความบริสุทธิ์นี่มันคือปัจจัยรองๆ ไม่ใช่ปัจจัยหลัก แต่ก็ยอมรับว่ามันเป็นเรื่องที่ทำให้ชีวิตคู่ดีขึ้น เอาเป็นว่าถ้าใครสามารถรักษาความบริสุทธิ์มาจนวันแต่งงานได้ ผมก็จะนับถือเลยนะว่าเจ๋งมาก แต่ถ้าไม่ได้ ผมก็ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา”และเมื่อถามถึงเรื่องของการที่เจ้าสาวบางคนมีการแสร้งทำในคืนวันแต่งงานนั้น ร่มไทรก็ให้ความเห็นว่า
"ถ้าเรารู้อยู่แล้ว ผมก็จะเซ็งเลยนะ คือเราไม่ได้ต้องการอะไรแบบนั้นหรอก มันอาจจะเป็นความหวังดีของเขา แต่ถ้าถึงขั้นจะแต่งกันแล้วมันก็ต้องเคลียร์กันก่อนนะ ผมจะถามตรงๆ เลย ไม่ต้องมาหลอกกันหรอก”
จากทัศนะคติของคนทั้งสองเพศที่ที่มีต่อเรื่องนี้ ก็อาจจะพอสรุปได้ว่า การแสร้งไร้เดียงสาในคืนวันแต่งงาน ก็คงจะไม่ใช่เรื่องที่จำเป็นอีกต่อไป เพราะถึงแม้มันจะสร้างความสุขเล็กๆ น้อยๆ ให้กับคู่ของเราในช่วงแรก แต่ในระยะยาว ถ้าหากความจริงถูกเปิดเผย ความรู้สึกที่จะเสียไปก็คงจะไม่คุ้มค่ากับความสุขเล็กๆ น้อยๆ ที่ได้มาในช่วงเริ่มต้นเป็นแน่แท้
เพราะถ้าคนสองคนตัดสินใจจะเดินทางไปข้างหน้าด้วยกันแล้ว
เรื่องราวที่เคยพลาดพลั้งในอดีต ก็จะเป็นเพียงร่องรอยจางๆ ที่อยู่เบื้องหลัง
และไม่มีค่ามากไปกว่าหนทางที่ทอดยาวอยู่ตรงหน้าเป็นแน่
เรื่องราวในอดีตเราไม่อาจจะกลับไปแก้ไขได้...
ทุกอย่างสำคัญที่วันนี้และตรงนี้ แต่ที่พูดแบบนี้ก็ไม่ได้หมายความว่า
จะสนับสนุนให้มีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงานนะค่ะ....ทุกอย่างควรเป็น
การกระทำที่มีสติและยึดหลักขนบธรรมเนียมประเพณีที่ดีงาม
ของไทย....เพราะถ้าผ่านจุดตรงนั้นมาได้ เมื่อถึงวันสำคัญของชีวิต
จริง ๆ จะได้ไม่ต้องมานั่งเครียดและแสร้งทำ...หรือโกหกอีกฝ่าย